หยวนจูวเย่ ได้ซื้อโคมไฟงดงามมาอันหนึ่งเพื่อหวังจะมอบให้กับ ฟ่งหลันหลั่น และขอให้นางร่วมปล่อยโคมไฟดวงนี้คู่กันกับเขา
สตรีน้อยไม่ค่อยมั่นใจในความหมายที่อีกฝ่ายกำลังสื่อสารออกมา แต่นางไม่อยากให้เขาคิดเกินเลยไปมากกว่าคำว่าสหาย จึงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม แถมยังดึงแม่ทัพหนุ่มมาเป็นข้ออ้างชิ้นใหญ่อีกด้วย
"ขอบคุณน้ำใจของคุณชายหยวน แต่ข้าขอรับไว้ด้วยใจ เพราะวันนี้ข้าเป็นคนทำให้นายน้อยต้องทิ้งงานของเขาเพื่อตามข้าออกมาเที่ยวในค่ำคืนนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องทำหน้าที่สาวใช้ของเขาให้เสร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์เช่นกัน"
หยวนจูวเย่เผยแววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้สึกผิดหวังจากการถูกสตรีที่ตนหมายปองปฏิเสธต่อหน้าคู่แข่งอย่างชัดแจ้ง แต่ก็พยายามทำหน้านิ่งเก็บอารมณ์ไว้ข้างใน
แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจ และหยวนจูวเย่ก็ไม่มีทางยอมถอดใจง่าย ๆ อย่างแน่นอน หากแต่คืนนี้ต้องจำใจยอมรับและเคารพในการตัดสินใจของนาง เพื่อรักษาน้ำใจและมิตรภาพกันไว้
ส่วนมู่เซียวหลานเองก็ดูมีสีหน้าเศร้าซึมลงไปอย่างถนัดตาไม่ต่างจากหยวนจูวเย่ ซึ่งฟ่งหลันหลั่นนั้นรู้ดีว่าเพราะเหตุใด นางจึงเป็นเช่นนั้น
นายหญิงแห่งหอมู่ต๋าแอบหลงรักบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ข้างเดียว และนางไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาให้ใครเห็น มีเพียงฟ่งหลันหลั่นผู้ซึ่งรู้จักคบค้าสนิทสนมกันมานานจึงพอจะรู้ใจสหายตน และนั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่สตรีน้อยปฏิเสธในไมตรีของหยวนจูวเย่
คงเพียงหลงอี้หลิงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยืนยิ้มในใจ ราวกับเขาได้ชนะศึก อีกครั้ง
ครู่ต่อมาทั้งสี่ก็ได้เขียนคำขอของตัวลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ
'ขอให้ข้าสืบรู้สาเหตุการตายของตาเฒ่าได้ในเร็ววัน ข้าจะได้ทวงแค้นคืนให้พวกมันอย่างสาสม และขอให้แม่ทัพหนุ่มผู้นี้จงพบเจอแต่ความสุข เลิกทำหน้าตาเคร่งเครียดกลัดกลุ้มตลอดทั้งวันเสียที และขอให้เขาแคล้วคลาดจากภัยอันตรายและปลอดภัยจากศัตรูที่หวังปองร้าย'
ด้านแม่ทัพหนุ่ม แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้ แต่ก็ได้หลับตาลงพร้อมกับอธิษฐานในใจเช่นกัน
'ขอให้นางสมหวังตามคำขอทุกประการ ขอให้ทีความสุขและอยู่เคียงข้างเช่นนี้ไม่แยกจากกันไปตลอดกาล'
ดูเหมือนว่าทั้งฟ่งหลันหลั่นและหลงอี้หลิงต่างก็ขอพรให้อีกฝ่ายอย่างห่วงใยซึ่งกันและกัน
หลังจากที่ทั้งสี่ปล่อยโคมไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าล่องลอยออกไปไกลได้ไม่นาน เหล่าพลุไฟมากมายก็ถูกประโคมจุดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวันเทศกาลอย่างงดงามวิจิตรตระการตา ส่องแสงเรืองรองราวกับมีบุปผาชาตินานาพันธุ์นับหมื่นดอก เบ่งบานสะพรั่งพร้อมกันอยู่บนผืนนภาในราตรีนี้
"ท้องฟ้าราตรีนี้ช่างงดงามยิ่งนัก! เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าได้เห็นพลุไฟสวย ๆ แถมยังมีสหายรู้ใจร่วมชมความงามนี้ด้วยกัน หากวันหน้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้น ข้าก็คงไม่เสียใจแล้ว"
ฟ่งหลันหลั่นกล่าวชื่นชมความงามของดอกไม้ไฟที่แตกกระจายอยู่บนท้องอย่างละลานตา แววตาฉายประกายความบริสุทธิ์อันใสซื่อและความสุขที่ล้นทะลักออกมา ทำให้สามคนที่เหลือพลอยซึมซับความรู้สึกดี ๆ นั้นไปด้วย
ทั้งสี่คนพร้อมใจกันแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าด้วยกันอีกครั้ง ปล่อยวางความทุกข์ ละทิ้งหน้าที่ หยุดพักกายใจชั่วคราว และดื่มด่ำกับความสุขความเปรมปรีดิ์ตรงหน้านี้อย่างผ่อนคลาย
ในทันใดนั้นเอง ละอองสีขาวราวกับปุยนุ่นก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ใช่แล้ว หิมะแรกของปีเริ่มโปรยปรายลงมาดั่งฝนพรำ ราวกับเป็นการมอบของขวัญชิ้นพิเศษอันงดงามเพื่อชโลมใจให้กับหนุ่มสาวและผู้คนมากมายในค่ำคืนนี้
เพลาล่วงเลยผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ทั้งสี่ก็ได้แวะกินขนมบัวลอยจากพ่อค้าหาบเร่ ซึ่งตั้งแผงวางขายอยู่ตรงริมถนน ในตอนนี้คนที่ดูมีความสุขที่สุดจนล้นออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน เห็นทีจะเป็นฟ่งหลันหลั่นอีกเช่นเดิม
สตรีน้อยถือถ้วยขนมหวานไว้ในมือ และมองหน้าสหายทั้งสามตรงหน้าและส่งยิ้มหวานละมุนให้กับทุกคนอย่างจริงใจ
'ตาเฒ่า! ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วนะ ตอนนี้ข้ามีสหายที่ดีตั้งสามคน ไม่ว่าวันข้างหน้า ข้าจะต้องพบเจอกับเรื่องร้ายอันใด ข้าก็จะไม่หวั่นเกรงและจะไม่มีวันลืมค่ำคืนอันแสนสุขที่มีร่วมกันกับพวกเขาอย่างแน่นอน'
ฟ่งหลันหลั่นรำพึงรำพันถึงตาเฒ่าของนางในใจ จากนั้นก็ตักขนม บัวลอยในถ้วยที่ถืออยู่เข้าปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
พ่อค้าเจ้าของร้านขนมหวานเดินมาพูดคุยกับสตรีน้อยด้วยสีหน้า แววตาปลื้มปริ่มใจ
"แม่นางน้อยเป็นคนแรกเลยที่กินขนมบัวลอยแล้วแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขมากมายเช่นนี้ คนทำขนมเช่นข้าเห็นแล้วรู้สึกปลื้มใจไปด้วย เพราะดูจากการแต่งตัวของพวกท่านน่าจะเป็นคนสูงศักดิ์ แต่กลับมีน้ำใจแวะมาอุดหนุนร้านหาบเร่ซอมซ่อที่ตั้งอยู่ข้างทางเช่นนี้"
พ่อค้าขนมหวานกล่าวพลางวางถ้วยขนมบัวลอยลงตรงหน้าสตรีน้อยอีกถ้วย
"เอ้า! ถ้วยนี้ข้าขอทำให้แม่นางเพิ่มเป็นพิเศษ แทนคำขอบคุณของข้าขอรับ"
ฟ่งหลันหลั่นทำตาโตลุกวาวเมื่อได้รับขนมหวานเพิ่มอีกถ้วยโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินสักอัฐ จึงรีบหันขวับไปกล่าวขอบคุณพ่อค้าขนมหวานอย่างหน้าชื่นตาบาน
"โอ้! ขอบคุณน้ำใจของท่านมาก ข้าจะทานให้อร่อยเลย"
สตรีน้อยก็รู้ดีว่าพ่อค้าแม่ค้าที่หาบเร่ตั้งแผงขายของตามถนนข้างทางในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ แถมยังเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แทนที่จะได้อยู่ฉลองกับครอบครัวที่บ้าน แต่เป็นเพราะชีวิตอันขัดสนไร้ซึ่งเงินทองใช้จ่ายเพียงพอ จึงต้องปล่อยให้ครอบครัวฉลองตามลำพังและตน ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องออกมาทำงาน
เมื่อกล่าวขอบคุณในน้ำใจของพ่อค้าขนมบัวลอยอย่างจริงใจ สตรีน้อยก็ได้หันไปมองแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาออดอ้อนเว้าวอนเขา ในมือก็ยังคงถือถ้วยขนมบัวลอยไว้ตอลดเวลา
"นายน้อย..." เสียงใสหวานออดอ้อนเบาหวิว เสมือนขนนกที่กำลังสะกิดใจที่คันยุบยิบของเขา และยังกะพริบตาปริบ ๆ ให้กับแม่ทัพหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
หลงอี้หลิงสบตาสาวใช้และยังคงนั่งนิ่งเงียบ
ครู่ต่อมาเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างอ่อนใจ เพราะตัวเองไม่สามารถปฏิเสธแววตาออดอ้อนของสตรีน้อยตรงหน้าได้เลย ก่อนที่จะล้วงเข้าไปในตัวเสื้อด้านในและส่งถุงเงินของตนยื่นให้กับนาง
การกระทำนั้นของหนุ่มสาวตรงหน้าทำให้หยวนจูวเย่และมู่เซียวหลานมองออกว่าบ่าวและนายสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันอย่างแน่นอน เพราะถึงขนาดว่าแค่มองตาก็เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดให้มากมาย
ฟ่งหลันหลั่นยิ้มแฉ่งหน้าบาน กล่าวขอบคุณแม่ทัพหนุ่มและรีบรับถุงเงินจากเขาอย่างรวดเร็ว "ขอบคุณนายน้อย ข้ารับปากว่าจะชดใช้คืนให้ท่านในภายหลังแน่นอน"
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินตรงปรี่เข้าไปหาพ่อค้าขายขนมบัวลอยที่กำลังง่วนอยู่กับการร้องเรียกลูกค้าให้แวะมาอุดหนุนร้านของตน นางยื่นถุงเงินในมือส่งให้เขาทั้งหมด โดยที่ตัวนางไม่ได้เปิดดูจำนวนเงินด้านในด้วยซ้ำ
พ่อค้าขนมบัวลอยเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกใจและแปลกใจระคนกัน ที่จู่ ๆ สตรีน้อยผู้นี้ก็ส่งถุงเงินถุงใหญ่ให้เขาเช่นนี้
"มะ แม่นางน้อย สิ่งนี้คือ...?"
"ท่านรับไปสิ นี่คือน้ำใจจากท่านแม่ทัพหลิง นายน้อยของข้าเอง คืนนี้ท่านจะได้รีบเก็บร้านและกลับไปฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้กับครอบครัว" สตรีน้อยกล่าวด้วยถ้อยคำที่เป็นกันเองกับพ่อค้าขนมหวาน แถมยังยกความดีความชอบนั้นให้กับแม่ทัพหนุ่ม ทั้ง ๆ ที่เป็นความคิดของตน
พ่อค้าขนมหวานยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะแค่มองด้วยสายตา เขาก็พอจะประมาณได้ว่าเงินถุงนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าราคาค่าขนมหวานทั้งร้านของเขาในวันนี้เสียอีก และพลางเบนสายตามองไปยังแม่ทัพหนุ่มตรงโต๊ะของลูกค้าอย่างประหม่า
หลงอี้หลิงพยักหน้าเบา ๆ ตอบรับยืนยันในคำกล่าวของฟ่งหลันหลั่น พ่อค้าขนมหวานจึงยอมยื่นมือไปรับถุงเงินนั้นจากสตรีน้อย และพอเปิดออกดู ด้วยความเกรงใจจึงกล่าวปฏิเสธที่จะรับเงินเพราะเขาคิดว่ามันมากเกินไป พร้อมกับยื่นถุงเงินนั้นคืนกลับให้เจ้าของดังเดิม
"โอ้แม่นาง! เงินจำนวนนี้มันมากเกินไป ข้าน้อยมิอาจจะรับไว้ได้ขอรับ"
ฟ่งหลันหลั่นกุมพ่อค้าขนมบัวลอยพร้อมกับถุงเงินนั้นไว้แน่นและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
"ท่านรับไปเถอะ ถือซะว่าเป็นของขวัญจากพวกเรา ค่ำคืนอันแสนสุขเช่นนี้ ท่านควรจะได้กลับไปฉลองกับครอบครัว จริงหรือไหม"
พ่อค้าขายขนมบัวลอยได้ฟังถ้อยคำนั้น เขาถึงกับนั่งทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความซาบซึ้งใจจนแทบจะก้มกราบเท้าสตรีน้อยแปลกหน้าผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยน้ำใจ
"ขะ ข้าขอขอบคุณน้ำใจของพวกท่านเป็นอย่างมาก ที่มีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อแบ่งปันเงินทองสิ่งมีค่านี้ต่อคนทุกข์ยากเช่นพวกเรา..." น้ำเสียงของเขาฟังคล้าย ๆ จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ทำให้คนได้ยินเวทนาสงสารอย่าง จับใจ
ฟ่งหลันหลั่นรีบเข้าประคองตัวพ่อค้าขนมบัวลอยให้ลุกขึ้นก่อนที่หัวเข่าของเขาจะแตะถึงพื้น
"อย่าได้คุกเข่าให้กับผู้ใดง่าย ๆ สิ่งที่ท่านควรทำในเวลานี้คือรีบเก็บของและกลับบ้านไปฉลองงานเทศกาลนี้กับครอบครัว" สตรีน้อยกล่าวกับพ่อค้าขนมหวานอย่างเมตตาและอ่อนโยน
หลงอี้หลิงกับหยวนจูวเย่รู้สึกประทับใจในน้ำใจและความมีเมตตานี้ของฟ่งหลันหลั่นที่มีต่อผู้ที่ยากไร้และลำบากกว่าตน
ส่วนมู่เซียวหลานนั้นรู้จักและสนิทสนมกับสตรีน้อยผู้นี้มานาน จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด เพราะที่เมืองจิ่ว ฟ่งหลันหลั่นเปรียบเสมือนเทพธิดาน้อยบนดินของเหล่าคนยากไร้เลยก็ว่าได้
หยวนจูวเย่แอบหงุดหงิดใจเล็กน้อย เพราะคุณความดีนี้ของฟ่งหลัน-หลั่นมาจากเงินของหลงอี้หลิง หากเป็นจากเขา มันคงจะดีมิใช่น้อย จึงพูดด้วยน้ำเสียงลอย ๆ ดุจสายลม ถ้อยคำแกมเหน็บแนมแม่ทัพหนุ่มเพื่อหวังระบายความริษยาขุ่นเคืองในใจที่มี พลางคลี่พัดในมือของตนออกและสะบัดไปมาเบา ๆ
"ท่านแม่ทัพหลงของพวกเราช่างใจป้ำเสียเหลือเกิน ที่ยอมยกถุงเงินขนาดใหญ่เช่นนั้นให้กับสาวใช้ เพื่อไปมอบให้กับผู้อื่นอย่างง่ายดายโดยไม่เสียดาย เห็นทีข้าคงต้องหัดเอาอย่างท่านบ้างเสียแล้ว แม่นางฟ่งจะได้หันมาชื่นชมข้าบ้าง"
แม่ทัพหนุ่มได้ฟังถ้อยคำเสียดสีกระแนะกระแหนของหยวนจูวเย่ที่มีฝีปากราวกับสตรี เขาพยายามวางตัวนิ่ง สะกดกลั้นอารมณ์ของตนไม่ให้วิ่งเต้นตามคำยั่วยุกวนโทสะของบัณฑิตหนุ่มรูปงามผู้นี้
อีกทั้งสำหรับเขานั้นเรื่องเงินถือเป็นเรื่องเล็กน้อย กระนั้นใจเขาก็อดจะกล่าวสวนขึ้นไม่ได้
"ขุนนางทุกคนมีหน้าที่ช่วยองค์ฮ่องเต้ดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าประชาชน คุณชายหยวนเองก็เป็นผู้มากความสามารถและชาญฉลาด หากวันข้างหน้าท่านได้เข้ารับราชการ ข้าหวังว่าท่านจะคำนึงถึงความถูกต้องและผลประโยชน์สุขของปวงชนเป็นสำคัญ อย่าได้คิดหลงเดินทางผิดเหมือนกับใครอีกหลายคน"
ประโยคที่ดูเหมือนจะเป็นการสนทนาตอบโต้ปกติทั่วไป แต่น้ำเสียงเข้ม แววตานิ่งดุจพยัคฆ์หลับ ใบหน้าเรียบตึงของหลงอี้หลิง มีหรือที่หยวนจูวเย่กับมู่เซียวหลานจะไม่เข้าใจในความหมายและเจตนาที่เขาแฝงไว้
หยวนจูวเย่ยังคงควบคุมอารมณ์และสติของตนได้ดีไม่แพ้แม่ทัพหนุ่ม และตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาเรื่องกับอีกฝ่าย คงต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจึงฉีกยิ้มอารมณ์ดี แกล้งทำตัวเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญต่อไป
"ท่านมีอุดมการณ์ของท่าน ข้าก็มีอุดมการณ์ของข้า ความสุขของผู้อื่นข้าหาได้สนใจไม่ ข้าสนใจเพียงแต่ความสุขของตนและความสุขของสตรีที่ข้าหมายปองเท่านั้นพอ"
ในขณะที่หยวนจูวเย่กล่าว สายตาของเขาก็หันไปมองยังฟังหลันหลั่นด้วยแววตาหวานหยาดเยิ้ม จากนั้นก็เก็บพัดในมือรวบเข้าหากันและลุกขึ้นเดินไปสมทบกับนางทันที
มู่เซียวหลานซึ่งเอาแต่นั่งเงียบ ฟังบุรุษทั้งสองคนโต้ตอบคารมกันอยู่พักใหญ่แล้ว พอหยวนจูวเย่ลุกเดินปลีกตัวลุกออกไปจากโต๊ะ นางจึงถือโอกาสนั้นกล่าวบางอย่างกับแม่ทัพหนุ่ม
"ท่านแม่ทัพหลง ข้าขอกล่าวอะไรสักอย่างกับท่านจะได้หรือไม่"
น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะอ่อนหวานของสตรีผู้โฉมยงกล่าวถามอย่างนอบน้อมต่อบุรุษผู้องอาจน่าเกรงขามตรงหน้า
หลงอี้หลิงมีการคบหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับมู่เซียวหลานมาหลายปี ดังนั้นเขาจึงดูไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือขัดข้องต่อการสนทนากับนาง
"เชิญแม่นางมู่กล่าวมาได้เลย"
มู่เซียวหลานหยิบถ้วยชาอุ่น ๆ ตรงหน้าขึ้นดื่มด้วยท่วงท่ากิริยาอ่อนหวานอย่างละมุนละม่อม ก่อนจะวางลงบนโต๊ะและเผยยิ้มหวานละไมบนดวงหน้างาม พร้อมชายตาขึ้นมองบุรุษตรงหน้าอย่างมีจริตจะกร้าน
"ข้ารักและห่วงใยฟ่งหลันหลั่นดุจดั่งเสมือนหนึ่งคนในครอบครัว ตอนนี้นางอยู่ในการดูแลของท่าน ข้าได้แต่หวังว่า...ท่านจะทำดีต่อน้องสาวคนนี้ของข้าอย่างจริงใจเช่นกัน"
หลงอี้หลิงเข้าใจในความหมายนั้นของมู่เซียวหลานชัดเจน หากแต่เขายังมีความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะของสตรีงดงามผู้ที่กำลังถูกกล่าวถึง
"เรื่องนั้นแม่นางมู่ไม่ต้องกังวล ตั้งแต่วันที่ฟ่งหลันหลั่นได้สละชีวิตตัวเองเข้าช่วยเหลือท่านย่าเอาไว้ที่เมืองจิ่ว นับตั้งแต่วันนั้นนางก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกข้า ด้วยเกียรติของแม่ทัพและคนสกุลหลง ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดีที่สุด"
มู่เซียวหลานได้ฟังคำกล่าวยืนยันอันหนักแน่นและมองเห็นแววตา แน่วแน่จริงจังของทัพหนุ่มที่เผยออกมา ทำให้นางเผยรอยยิ้มอันพึงพอใจขึ้นบนดวงหน้างามอีกครั้ง
"ดี! หวังว่าท่านแม่ทัพจะรักษาสัญญา มิเช่นนั้น วันใดที่ท่านทำให้นางเสียใจ ข้าจะกลับมาพานางไปจากเมืองหลวงนี้ทันที"
ประโยคนี้ของมู่เซียวหลานแม้จะฟังดูนุ่มนวลรื่นหูเหมือนทุกครั้ง แต่หลงอี้หลิงกลับรู้สึกได้ถึงประกายรังสีอำมหิตแวบขึ้นมาบนแววตาสวย คมกริบคู่นั้น
พอทั้งสองสนทนากันจบ ต่างฝ่ายก็หันไปมองยังฟ่งหลันหลั่นและหยวนจูวเย่ ซึ่งทั้งคู่กำลังช่วยพ่อค้าขายขนมบัวลอยเก็บของกลับบ้านราวกับพวกเขาเป็นเจ้าของร้านเสียเอง ต่อจากนั้นแม่ทัพหนุ่มกับสตรีงดงามแห่งเมืองจิ่วก็ลุกขึ้นเดินไปรวมกลุ่มและยื่นมือเข้าช่วยอีกแรง
เพลาล่วงเลยผ่านยามจื่อ[1]ไปมากพอสมควร งานเทศกาลเฉลิมฉลองในค่ำคืนนี้ก็ได้จบลง
ก่อนทั้งสี่จะแยกจากกัน ฟ่งหลันหลั่นได้ขอร้องให้หยวนจูวเย่ไปส่ง มู่เซียวหลานกลับยังที่พักของนางแทนตนเอง
บัณฑิตหนุ่มไม่อยากขัดใจสตรีน้อยจึงได้ตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
[1] ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 - 24.59 น.
ระหว่างทางที่หลงอี้หลิงกับสาวใช้ของเขากำลังเดินกลับเรือนหลงหลิงด้วยกันนั้น สตรีน้อยเหลือบมองไปเห็นแผงขายเหล้าร้านหนึ่งยังคงตั้งวางอยู่ ซึ่งเจ้าของร้านชายวัยกลางคนกำลังเก็บร้านพร้อมกับปาดเหงื่อบนใบหน้าอันหยาบกร้านของเขาด้วยความเหนื่อยล้า
ฟ่งหลันหลั่นหันขวับมองยังแม่ทัพหนุ่มอย่างฉับไวและจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตใส
หลงอี้หลิงชิงเอ่ยถามแกมดุขึ้นก่อนอย่างรู้ทันสาวใช้
"ดึกดื่นขนาดนี้ เจ้ายังอยากจะดื่มสุราอยู่อีกกระนั้นรึ! ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว ใครใช้ให้เจ้ามอบให้พ่อค้าร้านขายขนมไปจนหมดกันล่ะ"
ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังคำตอบ นางก็เผยสีหน้าแววตาสำนึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ลดละความต้องการที่มีในตอนนี้ มือน้อยทั้งสองข้างพลันยกขึ้นและจับแขนของแม่ทัพหนุ่มไว้หมับ
"ข้ารู้ว่านายน้อยรูปงามของข้าย่อมมีวิธี ได้โปรดซื้อสุราให้ข้าสักไหเถิดนะ ข้ารับปากว่าหลังจากคืนนี้ ข้าจะทำตัวดี ๆ ไม่ดื้อและไม่หาเรื่องให้ท่านต้องมาปวดหัวกับข้าอีกแน่นอน" น้ำเสียงหวานออดอ้อนจากสตรีน้อย ยากที่แม่ทัพหนุ่มจะหาคำมาปฏิเสธนางได้
เฮอะ แม่ทัพหนุ่มกระเดาะลิ้น แค่นหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเอียงหน้าและชายตาลงต่ำสบตากับดวงหน้างามน่ารัก ซึ่งตัวนางสูงแค่ระดับหน้าอกของเขาเท่านั้น และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังพยายามใช้สายตาออดอ้อนสุดฤทธิ์เพียงเพื่อสุราไหเดียว
"เจ้ารับปากข้าแล้วนะ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวถามย้ำอย่างมีเลศนัย
"แน่นอน! ข้ารับปากท่าน" สตรีน้อยขานรับอย่างหนักแน่นแข็งขัน
จากนั้นทั้งสองคนจึงได้เดินเข้าไปหาพ่อค้าร้านขายสุรา
แม่ทัพหนุ่มได้เจรจาขอซื้อสุราชั้นดีของร้านที่วางขายอยู่ทั้งหมด โดยที่เขาหยิบมาเพียงไหเล็ก ๆ หนึ่งไหและส่งยื่นให้กับฟ่งหลันหลั่น ก่อนจะหันกลับไปบอกเจ้าของร้านให้ไปเก็บเงินที่กับพ่อบ้านใหญ่ของเรือนหลงหลิงในวันพรุ่งนี้
พ่อค้าร้านขายสุรารู้จักแม่ทัพหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างดี จึงได้ตอบตกลงอย่างง่ายดาย แม้อีกฝ่ายจะได้มอบป้ายหยกส่วนตัวไว้ให้เพื่อเป็นหลักประกัน ความมั่นใจแต่เขาก็ปฏิเสธเพราะเชื่อใจ และกล่าวขอบคุณพวกเขาอย่างซาบซึ้งใจไม่ต่างจากพ่อค้าร้านขายขนมบัวลอยก่อนหน้านี้
เมื่อฟ่งหลันหลั่นได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างสมใจแล้ว นางก็เดินถือไหสุรากลับเรือนหลงหลิงอย่างมีความสุขหน้าตาชื่นบาน
หลงอี้หลิงเดินตามหลังสตรีน้อยต้อย ๆ และมองนางไม่วางตา แม้ว่าเขาจะยังสงสัยในเรื่องชาติกำเนิดของอีกฝ่าย แต่ความน่ารักสดใสของนาง ทำให้เขาลืมเรื่องพวกนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
แม่ทัพหนุ่มผู้ที่มักเผยสีหน้าเรียบตึง เคร่งเครียดกลัดกลุ้มตลอดเวลา แถมยังแสดงท่าทีดุดัน เหี้ยมเกรียมต่อผู้ที่พบเห็นเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม
มาบัดนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน รัศมีความสุขพวยพุ่งโอบล้อมคนทั้งคู่
ข้ากรำศึกมาก็มากมาย ได้รับชัยชนะมาก็ไม่น้อย แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้อย่างศิโรราบต่อสตรีน้อยผู้นี้กระนั้นหรือ
....
เซียงไค 盛開