ตอนที่ 454 เอ่ยถามดาบ
การถูกสิงสู่ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
มันคือการทำลายกฎเกณฑ์ของโลกอย่างรุนแรง และจะส่งผลพวงต่อเส้นทางแห่งโชคชะตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ผลกระทบของมันจะขยายออกไปเป็นวงกว้าง ชนิดที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ผู้นำเฉียน การที่ท่านยอมบอกสิ่งนี้กับข้าออกมาตรงๆ เช่นนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
ท่าทีการแสดงออกของเฉียนซานเย่ดูจะสั่นไหวเล็กน้อย
“เดิมทีแล้ว ความตั้งใจของข้าก็คือ ยามเมื่อหวังหงษ์เต๋าเริ่มเปิดใช้งานใบหยกนี้ ตัวข้าก็จะเริ่มทำการสิงสู่กายเขาทันที”
“ตราบใดที่หวังหงษ์เต๋าสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ข้าก็จะสามารถเข้าสู่จิตเทวะของเขา จากนั้นก็ซ่อนตัวตน และเมื่อใดก็ตามที่เขากำลังต่อกรกับศัตรู ข้าก็จะฉวยจังหวะนั้นเข้ายึดครองร่างกายของเขา ทำให้ทั้งคนทั้งร่างของเขาสูญเสียการควบคุม เปิดโอกาสให้ศัตรูเข้าโจมตี และพินาศสิ้นไปพร้อมๆ กัน”
“และหากเขาเลือกที่จะมอบใบหยกนี้ให้แก่ลูกศิษย์ ข้าก็จะสิงสู่ศิษย์ผู้นั้นแทน”
“จากนั้น เมื่อยามที่ข้าได้กลายเป็นศิษย์เขา ข้าก็จักหมั่นฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และคอยลอบสังเกตหวังหงษ์เต๋าในทุกๆ การเคลื่อนไหว จนกระทั่งค้นพบถึงจุดอ่อนของเขา”
“แล้วก็เฝ้ารอ .. เฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ข้ามั่นใจแล้วว่ามีโอกาสมากพอที่จะลอบสังหารเขาได้ สุดท้ายก็จักลงมือและล้างหนี้แค้นด้วยเลือดซะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว
เฉียนซานเย่ผู้นี้ เป็นถึงดาบคู่เอกลักษณ์ เป็นบุรุษที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุคสมัยของเขา
ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดเช่นนั้น กลับมองแผนการไม่ขาด และดันโดนลูกศิษย์ของตนสังหารจนกระทั่งเป็นฝ่ายตกตายเองเสียนี่
แต่ก็นะ มันเป็นการพลาดท่าให้กับลูกศิษย์ที่ไม่เคยทำอะไรบกพร่องเลยตลอดระยะเวลาสามร้อยปีที่อยู่ร่วมกันมา
เนื่องจากนี่เป็นข้อเสนอของเฉียนซานเย่ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่อาจทำเป็นละเลยมันได้
กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ความอัปยศที่ท่านผู้ทรงเกียรติแบกรับเอาไว้คงจะหนักหนาไม่น้อย แต่แผนการของท่านก็ไม่เลวเลย เพียงแค่มันยังไม่ประสบผลสำเร็จก็เท่านั้นเอง”
“ใช่ หวังหงษ์เต๋าแม้เป็นคนละโมบ แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีนิสัยขี้ระแวง ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะค้นพบใบหยกชิ้นนี้แล้วก็ตามที แต่ก็ยังมิกล้าที่จะทดลองฝึกฝนอยู่ดี”
บนใบหน้าของเฉียนซานเย่เผยร่องรอยของความคาดไม่ถึง “แม้จะได้รับทักษะดาบที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานแล้วก็ตามที ทว่าเจ้าตัวกลับเกิดความสงสัยว่า ‘อาจมีบางสิ่งเกี่ยวกับใบหยกชิ้นนี้ที่มันไม่ปกติก็เป็นได้’ เขาบังเกิดความกลัวว่าข้าจะเตรียมการสังหารเขาไว้อย่างลับๆ ดังนั้นตั้งแต่ที่ได้รับใบหยกมา กระทั่งผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งพันปี หวังหงษ์เต๋าก็ยังมิคิดเฉียดกายมาสัมผัสต้องใบหยกแผ่นนี้เลย”
“นั่นคงเป็นเพราะเขาได้ลอบสังหารท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว “และเขารู้ว่าท่านมีกลยุทธ์มากมายไร้ที่สิ้นสุดไว้คอยแก้แค้น ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ที่อาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่านั่นได้”
เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “นอกจากนี้ เขายังไม่เคยคิดจะมอบเทคนิคดาบนี้ให้แก่ลูกศิษย์ตนเลย จนภายหลังข้าทราบมาว่ากระทั่งศิษย์ตัวเอง เขาก็ยังไม่ไว้วางใจ และได้ใช้วิชาต้องห้ามกับศิษย์ในการควบคุมทุกการกระทำของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง”
“ดูเหมือนว่าเขาจะบังเกิดอาการหลอกหลอนภายในจิตใจ จึงหวั่นเกรงศิษย์ของตน ว่าจะกระทำการเฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนเคยทำกับอาจารย์เอาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว
“และนั่นคือเหตุผลที่ใบหยกถูกปิดผนึกเอาไว้ที่นี่ ทำให้ข้าไม่เคยได้รับโอกาสที่จะทำตามแผนการที่ได้วางเอาไว้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว
“เช่นนั้นสิ่งที่ท่านต้องการจะทำต่อไปคืออะไร? หาร่างสิงสู่อีกใช่หรือไม่?”
“ไม่หรอก ข้ากับเจ้ามิได้เป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ต่อกัน และอีกอย่าง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา” เฉียนซานเย่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ
และเอ่ยเสริมอีกว่า “นี่มันก็ล่วงเลยมายาวนานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว จิตวิญญาณของข้าได้มาถึงขีดจำกัด และมิอาจฝืนทนรอได้ไหวอีกต่อไปแล้ว”
เฉียนซานเย่วาดมือออกไป และใบหยกก็ลอยกลับเข้ามาในมือของเขา
“ข้าสัมผัสได้ถึงเจตดาบในกายเจ้า ตัวเจ้าเองเป็นผู้ฝึกดาบใช่ไหมล่ะ”
“มิผิด”
“เช่นนั้นกล้าให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินหรือไม่ ว่าเจ้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า”
“นั่นคือการแลกเปลี่ยนที่ท่านต้องการงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง หากเจ้ากล้าสาบาน ข้าจะส่งต่อเทคนิคดาบให้แก่เจ้า”
เฉียนซานเย่หยุดไปสักพัก ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ
“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้าช่างบริสุทธิ์ชนิดหาตัวจับได้ยากยิ่ง มันเหมาะสมสำหรับทักษะดาบที่ข้ารังสรรค์ขึ้น ตราบใดที่เจ้-”
เฉียนซานเย่ต้องการจะเอ่ยต่อไปอีกไม่กี่คำ ทว่ากู่ฉิงซานก็เปล่งเสียงขัดเขาซะก่อน
“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าให้คำมั่นสาบานว่าจักกำจัดหวังหงษ์เต๋าให้จงได้”
ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดกระแสลมที่มองไม่เห็นโคจรวนรอบกายกู่ฉิงซาน
เฉียนซานเย่ชะงักงันไป
เจ้าหนุ่มผู้นี้ เหตุใดมันจึงเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาราวกับเป็นเพียงเรื่องง่ายดายเช่นนี้?
“คำมั่นสาบานมิใช่เรื่องล้อเล่นนะเจ้าหนุ่ม สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว หากละเมิดคำมั่น ผลพวงที่ตามมาจักร้ายแรงยิ่ง” เฉียนซานเย่กล่าวอธิบายอย่างจริงจัง
“เรื่องนั้นข้าทราบ แต่ข้าเองก็ยังเลือกที่จะสาบานว่าจักสังหารคนผู้นั้นอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว
“เพราะอะไร?”
“เพราะเขาเป็นคนสังหารบิดาข้า ซึ่งเป็นผู้นำนิกายรุ่นนี้”
“เหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนั้น?”
“เพราะบิดาข้ากำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าซึ่งก็คือลมปราณจิต ทว่าตัวหวังหงษ์เต๋าเวลานี้กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกเขาเป็นศัตรูกัน ดังนั้นหวังหงษ์เต๋าจึงได้สังหารบิดาข้าจนตกตายก่อนที่จะกลายเป็นตนที่ต้องตายลงเสียเอง”
กู่ฉิงซานมิได้โกหก เพราะนี่คือสิ่งที่สองศิษย์รักของหวังหงษ์เต๋าเป็นผู้กล่าวมันออกมาด้วยตนเอง
เฉียนซานเย่ตกอยู่ในภวังค์ ลังเลไปสักพักหนึ่ง
เบื้องหน้าตนคือผู้ฝึกดาบ ขณะเดียวกันก็มีสาวใช้หน้าตางดงามที่เป็นถึงขอบเขตพันวิบัติถึงสองคน สถานะในนิกายของคนผู้นี้ย่อมมิใช่สามัญอย่างแน่นอน
จากรูปการณ์แล้ว อีกฝ่ายมีโอกาสสูงที่จะเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักหรือบุตรชายของผู้นำนิกายจริงๆ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ฝึกดาบ! ผู้ฝึกดาบที่เปล่งคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ว่าจักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!
ฟ้าดินเป็นพยาน คำสาบานไม่สามารถโป้ปดได้
บุคคลผู้นี้จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน และการโกหกหลอกลวงผู้อื่นด้วยคำที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้มันจะมีประโยชน์อะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของชายผู้นี้ยังเป็นผู้นำนิกายยุคปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ยังถูกลอบสังหารลงโดยหวังหงษ์เต๋า
หากเป็นในกรณีนี้ การที่จะมอบเทคนิคดาบให้แก่เขา มันย่อมจะเป็นการดีกว่า
สามปรมาจารย์ตำหนัก สมควรที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า
และผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า หากต้องต่อกรกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส … มันก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้
เฉียนซานเย่ถอนหายใจ และเอ่ยออกมาในที่สุด “หวังหงษ์เต๋าเอ๋ย หวังหงษ์เต๋า สิ่งที่เจ้ากระทำกับข้าในครั้งอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่เจ้าจะถูกกระทำเช่นเดียวกันบ้างแล้ว!”
“ที่คือเวรกรรม จากกฎแห่งการกระทำอย่างแท้จริง!”
ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะลั่นออกมา
นับตั้งแต่ที่ตนได้เลือกเข้ามาสิงสถิตอยู่ในใบหยก ก็เป็นวันนี้นี่แหละที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่สุด
เฉียนซานเย่กำใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบแน่นขึ้น
เขาเฝ้ามองดูกู่ฉิงซาน และพลันตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกดาบเช่นกันนี่นา
ใช่แล้ว เจ้าหนุ่มนี่เป็นผู้ฝึกดาบนี่นา …
เฉียนซานเย่เงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ความคิดภายในจิตใจของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
“ในขณะที่ข้ากำลังจะหายไป ใคร่ขอเอ่ยถามเจ้าอีกสักคำถามหนึ่งจะได้ไหม” เขาเอ่ยปาก
“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับ
“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้า มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการสังหาร นอกจากนี้มันยังรุนแรงยิ่ง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากผู้ฝึกดาบบังเกิดความกระหายเลือดมากเกินไป มันจะส่งผลร้ายต่อวิถีดาบของคนผู้นั้นในระยะยาว”
“แน่นอน ข้ารู้”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงยังมิเปลี่ยนแปลงเจตดาบของตน?” เฉียนซานเย่เอ่ยถาม
“เพราะดาบมีไว้ใช้เพื่อสังหารศัตรู นั่นคือความเป็นจริงที่เรียบง่ายที่สุดสำหรับผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจักสังหารทุกคนที่สมควรจะถูกฆ่ากระนั้นหรือ?” เฉียนซานเย่ไล่ถามต่อ
“ไม่หรอก มันไม่มีใครที่เกิดมาแล้วคู่ควรจะถูกสังหารลงด้วยดาบ”
กู่ฉิงซานส่ายศีรษะของเขา “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบน่ะ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมิใช่ผู้ที่ถูกสังหาร แต่คือผู้ที่ข้าจำต้องปกป้องเอาไว้ต่างหาก”
เฉียนซานเย่พอได้ฟังความคิดเห็นนี้ สีหน้าและแววตาของเขาก็เผยถึงการยอมรับ
“ นี่แหละ … นี่แหละคือผู้ฝึกยุทธที่เหมาะสมแก่การถูกเรียนว่าผู้ฝึกดาบที่แท้จริงล่ะ!”
เขาบ่นพึมพำ ความคิดในจิตใจก็กลายเป็นกระจ่างชัด
“หากเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่มีคำถามอื่นใดอีก”
เฉียนซานเย่จีบมือออกแปรผันสัญลักษณ์ต่าง ๆ อย่างไวว่อง ก่อนจะกระแทกมันลงบนใบหยกจนบังเกิดแสงสว่างจ้า
“เมื่อครู่ข้าได้คลายกับดักในใบหยกออกแล้ว”
เขากล่าวอย่างช้า ๆ “ตอนนี้ ข้ากำลังจะเขียนเทคนิคดาบลงในใบหยก และหวังว่าเจ้าจะสามารถสืบทอดทักษะดาบต่อจากข้าได้”
ว่าแล้ว ใบหยกก็ถูกยกขึ้น และแปะลงบนหน้าผากเขา
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ใบหยกก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางเวหา ทว่าร่างเงาของเฉียนซานเย่กลับค่อยๆ เลือนหายไป
“สุดท้าย สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเจ้าก็คือ ในยามที่ข้ากำลังรักษาตัวอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่มารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้พอดิบพอดี”
“และเกี่ยวกับมารโลกา ข้ามีมุมมองบางอย่างที่แตกต่างออกไปและยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้”
ในสายตาของเขา บังความหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นเข้าหากันทันที “โปรดบอกความคิดเห็นของท่านมาเถิด ข้าจักรับฟังมันด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง”
“มันไม่สามารถพูดได้ … อันตรายเกินไป” เฉียนซานเย่ส่ายหัว
ว่าแล้วเขาก็หยิบใบหยกอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา และทำท่าทีเหมือนกับว่าจะใส่ข้อมูลบางอย่างลงไป
“เมื่อไหร่ที่เจ้าพร้อม ก็ขอให้อ่านใบหยกชิ้นนี้”
ขณะกล่าว เสียงของเฉียนซานเย่ก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง
ร่างกายของเขาวูบไหวไปมา ราวกับว่ามิได้มีตัวตนอยู่จริง ขณะเดียวกันก็ค่อยแตกเป็นจุดแสง กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
เขาได้มาถึงช่วงนาทีสุดท้ายของการดำรงอยู่ในร่างจิตวิญญาณแล้ว
“อาวุโส นี่ท่าน … ” สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย
เฉียนซานเย่ “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะรู้จักกันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทว่าเจตดาบและห้วงสติอารมณ์ของเจ้า มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความคลับคล้ายคลับคลาในวิถีดาบแห่งข้า”
เสียงของเขาอ่อนโทรมลง มันเล็กจ้อยจนเกือบจะไม่ได้ยิน
“ดังนั้น สิ่งที่ข้าทิ้งไว้เบื้องหลังก่อนจะจากไปนั้นมิใช่เพียงแค่เทคนิคดาบ แต่มันคือวิถีดาบทั้งหมดแห่งข้า!”
ร่างกายของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน
โดยไม่คาดคิด จู่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามกลับเลือกที่จะกระทำเช่นนี้อย่างกระทันหัน!
เฉียนซานเย่จ้องมองกู่ฉิงซาน ปากอ้าเผยอเล็กน้อย ทว่าก็ยังมิได้เปล่งคำใดออกมา
เขากำลังจะกล่าว แต่ก็ดันเกิดลังเลขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม
กู่ฉิงซานรู้ดีว่าเขาต้องการจะเอ่ยสิ่งใด
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย โค้งคารวะอย่างนอบน้อม ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ข้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า ด้วยทักษะดาบของท่าน!”
เฉียนซานเย่พอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มแห่งความปิติออกมา
จากนั้น เขาก็กลายเป็นจุดแสงสว่างไสว พวกมันวิ่งวนไปมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพากันทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าราวกับธารน้ำตกที่พลิกคว่ำ
แล้วรังสีแสงเรืองรองดั่งธารน้ำตกก็จางหายไป
หนึ่งในตัวตนที่เป็นดั่งตำนาน … ได้จากไปแล้ว
ใบหยกค่อย ๆ ลดระดับลงจากกลางอากาศ แล้วลอยมาตกลงใกล้ๆ กับมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
“นายน้อย ระวังตัวให้ดี มันอาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้” ฉินรั่วขมวดคิ้ว
“วางใจเถอะ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีกับดัก เขาถึงขั้นวางแผนที่จะสิงสู่ลูกศฺิย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยเชียวนะ บางที เขาอาจจะยังคงหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังของใบหยกที่ทิ้งไว้แผ่นนี้ก็ได้นะ” ว่านเอ๋อถามด้วยความสับสน
“จะไม่มีอุบายหรือลูกเล่นแบบที่เจ้ากล่าวหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัว
น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ท่าทีการแสดงออกมั่นคงไม่หวั่นไหว
ฉินรั่วและว่านเอ๋อพอได้ฟัง ก็หันมามองหน้ากันและไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยสิ่งใดออกไปดี
ขณะที่กู่ฉิงซานกำใบหยกในมือแน่น และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจยืดยาว
“เพราะระหว่างผู้ฝึกดาบด้วยกันน่ะ ไม่มีลูกเล่นอะไรทั้งสิ้น พวกเขามีเพียงแค่ดาบเท่านั้น”
…………………………………..........