webnovel

0455 รับเทคนิคดาบ

ตอนที่ 455 รับเทคนิคดาบ

เฉียนซานเย่ได้ส่งมอบใบหยกทั้งสองให้แก่กู่ฉิงซาน

หนึ่งคือใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบตลอดชั่วชีวิตของเขา

ขณะที่อีกหนึ่ง คือใบหยกที่เขาเพิ่งหยิบขึ้นมา และเขียนความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อมารโลกาลงไป

กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกทั้งสองนี้ ก่อนจะทำการสำรวจมันโดยเริ่มจากใบแรก

กู่ฉิงซานคว้าจับมัน

ใบหยกชิ้นแรก กล่าวได้ว่าคุณลักษณะของมันช่างเรียบเนียน โปร่งใสและเปล่งประกาย มิอาจรู้ได้เลยว่ามันถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมานานขนาดไหนแล้ว

รู้หรือไม่ว่า ว่าจริงๆ แล้วใบหยกทั่วๆ ไปน่ะ เดิมทีมันจะเป็นเพียงสีขาวขุ่น ขณะที่มีเพียงใบหยกที่มีเนื้อหาล้ำค่าอยู่ภายในเท่านั้น ที่ผู้ฝึกยุทธจักหวงแหนมัน และเก็บรักษาเอาไว้ใกล้ตัว หรือกระทั่งหยิบฉวยมันขึ้นมาชื่นชมบ้างเป็นครั้งคราว

และในกระบวนการนี้เอง ที่ผู้ฝึกยุทธจะเผลอถ่ายเทพลังวิญญาณของตนลงไปในใบหยกโดยไม่รู้ตัว ปีแล้วปีเล่า เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สีของใบหยกจึงชัดเจนขึ้น โปร่งใสขึ้น และมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กล่าวได้ว่าไม่ว่าผู้ใดต่างก็ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้

ดังนั้น เมื่อได้พบเจอกับใบหยกที่มีสีที่ดี คุณลักษณะดูยอดเยี่ยม หลายคนจึงมักจะสงสัยว่าเนื้อหาใดกันหนอ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในมัน

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กได้เด้งเตือนขึ้นมาทันใด

“นี่คือวิชาลับในการฝึกยุทธที่ถูกแบ่งออกเป็นสองวิถี โดยจะแบ่งออกเป็นในส่วนของกระบี่และดาบ”

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แถมยังเปล่งประกายเจิดจ้า

ดูเหมือนว่ามันจะต้องการให้กู่ฉิงซานได้มองดู

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรวดเดียว และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำอย่างลับๆ

ในครั้งช่วงเวลาที่มีพื้นฐานวรยุทธต่ำกว่าก้าวสู่เทพ ผู้ฝึกยุทธมักจะชอบสะสมอาวุธเอาไว้หลากหลายชนิด และมักจะหยิบฉวยมันเพื่อใช้ในการโจมตีหลากหลายรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่สามารถก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตก้าวสู่เทพได้ ผู้ฝึกยุทธก็จะต้องเลือกอาวุธหลักของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานจึงได้ละทิ้งธาตุสายฟ้า หรือกล่าวอีกอย่างว่ามันคือเทคนิคมนตรา และอาวุธธนูไป และหันมาฝึกเข้าสู่วิถีดาบอย่างแท้จริง

เพราะวิถีดาบ มันเป็นอะไรที่สุดแสนจะวิเศษยิ่ง!

เมื่อผู้ฝึกยุทธตัดสินใจว่าจะเข้าสู่วิถีดาบ เขาก็จำเป็นต้องละทิ้งอาวุธอื่นๆ ที่ตนเคยได้ใช้งานไป

กู่ฉิงซานกลับสู่โลกจริงในครั้งก่อน หลังจากที่เขาได้ช่วยเหลือเย่เฟย์หยูในช่วงปราศรัยเลือกตั้งแล้ว เขาก็มุ่งไปยังทะเลทรายมาชาล่า และเริ่มทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทันที

ในช่วงเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ตัดสินใจเลือกแล้วว่าตนจะก้าวไปในวิถีแห่งดาบ

แม้ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้ฝึกยุทธที่สามารถใช้อาวุธหลักได้ถึงสองชนิดอยู่ แต่ทว่านั่นมันเป็นเพราะอาวุธหลักทั้งสองของพวกเขาน่ะมันมิใช่ดาบ!

ผู้ฝึกดาบน่ะ จักต้องมีความชัดเจนและทุ่มสมาธิให้แก่ดาบอย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้อาวุธอื่นควบคู่กันไปกับสกิลดาบได้

ทว่าเฉียนซานเย่กลับแตกต่างออกไป ปราณดาบที่สำแดงออกมา มันบ่งบอกว่าเขาคือผู้ฝึกดาบที่แท้จริงอย่างแน่นอน

แล้วเขากลับสามารถเรียนรู้ทักษะกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างไร?

ในความเป็นจริงแล้ว มิใช่แค่เพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่งงงวย ทว่าผู้ฝึกยุทธในยุคเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ต่างก็บังเกิดความสงสัยขึ้นไม่แพ้กัน

อย่างไรก็ตามในใบหยกแผ่นแรก ก็ได้บันทึกถึงเรื่องราวที่ว่าในช่วงพันปีที่ผ่านมาและบ่งบอกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจริงๆ

ใบหยกชิ้นนี้ มันถูกบันทึกไว้แม้กระทั่งการต่อสู้ในแต่ละครั้งของเฉียนซานเย่ ในทุกๆ การโจมตีและตัดสินใจที่จะใช้เทคนิคดาบในช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ ทั้งหมดล้วนถูกเก็บไว้

ขณะที่ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างก็ยังงงงวยและไม่เข้าใจว่าเฉียนซานเย่สามารถใช้ดาบและกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่กันได้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร

และในช่วงเวลาดังกล่าวที่ผ่านพ้น ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถสืบค้นถึงความลับนี้ของเขาได้

แต่เหตุผลหลักๆ นั่นก็เพราะเฉียนซานเย่น่ะคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในยุคสมัยนั้น!

จึงกล่าวได้ว่า ตราบใดที่เขาไม่เต็มใจจะเอ่ย ก็ย่อมไม่มีใครจักสามารถง้างปากของเขาให้คายความลับที่ว่านี้ออกมาได้

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “สองวิถีที่แตกต่าง...โชคดีจริงๆ ที่ข้าได้เห็นถึงสิ่งที่บันทึกเอาไว้เหล่านี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าการจะทำความเข้าใจมันคงจะไม่ง่ายนัก”

กู่ฉิงซานมองไปยังใบหยกอีกแผ่นในอากาศ

เฉียนซานเย่กล่าวว่าใบหยกชิ้นนี้ ตนได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมารโลกาเอาไว้

เมื่อเทียบเปรียบกับความลับของวิถีดาบในใบหยกแผ่นแรกแล้ว กู่ฉิงซานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในใบหยกที่กุมความลับเกี่ยวกับมารโลกาไว้มากยิ่งกว่าเสียอีก

ฉินรั่วเอื้อมมือออกไป หมายจะคว้าจับมันมา

ทว่ากู่ฉิงซานกลับหยุดมือของเธอเอาไว้เสียก่อน

“เอ๋ นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปากออกมาด้วยความสงสัยในการกระทำของเขา

แต่แล้วร่างของฉานนู่ก็วูบไหวทันใด และหายวับไปทันทีจากในสถานที่เดิมของเธอทันที

วินาทีถัดมา เธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางเวหา

นี่เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายอย่างเรียบง่าย มันเกิดจากการที่เธอใช้สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

ฉานนู่ลงมือราวกับสายฟ้าฟาด เธอคว้าจับใบหยกและเก็บลงในถุงสัมภาระทันที

สองสาวใช้ยังมิทันได้ตอบสนอง ใบหยกแผ่นที่สองก็ถูกเก็บลงในถุงสัมภาระเสียแล้ว

ฉานนู่ค่อยๆ ลอยลดระดับลงมา

“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจ

ขณะที่บนใบหน้าของสองสาวใช้กำลังเผยถึงความงงงวย ฉานนู่ก็ได้กล่าวออกมาตามตรงว่า “เป็นนายน้อยที่ส่งผ่านความคิดมาหาข้า ว่าให้ข้าทุ่มสุดฝีมือเพื่อเก็บใบหยกแผ่นนี้ให้เร็วที่สุดให้จงได้”

เมื่อสองสาวใช้ได้ฟัง ภายในจิตใจของพวกเธอก็บังเกิดความสับสนเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นทันที

การกระทำเช่นนี้...ใช่หมายความว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะขัดขวางตนเอง มิให้อ่านใบหยกหรือไม่?

นี่กู่ฉิงซานไม่เชื่อใจพวกเธออีกอย่างนั้นหรือ?

สาวใช้ทั้งสองบังเกิดความคิดนี้ขึ้นภายในจิตใจพร้อมๆ กัน

ว่านเอ๋อมองไปทางกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “นี่เจ้าไม่เชื่อในตัวพี่สาวรั่วอย่างนั้นเหรอ? นางไม่มีทางบอกความลับภายในใบหยกให้แก่ผู้อื่นหรอกนอกจากเจ้า!”

ริมฝีปากของฉินรั่วเม้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเธอแม้จะดูตกใจ แต่ก็ไปทางเศร้าใจเสียมากกว่า

ชีวิตของเธอถูกผูกติดอยู่กับคนๆ นี้ และเธอก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะช่วยเหลือเขา แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายมิได้เชื่อใจในตัวเธอเลย

กู่ฉิงซานที่เห็นถึงฉากนี้ ก็เริ่มเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาทันใด

เขาเลยจำเป็นต้องเอ่ยอธิบายออกมาว่า “นี่มันช่างน่าปวดหัวเสียจริง พวกเจ้าใจเย็นๆ แล้วคิดดูดีๆ ก่อนสิ ที่ข้าทำ มันเป็นเพราะต้องการป้องกันไม่ให้พวกเจ้าพบเผชิญกับอันตรายต่างหากล่ะ”

ฉินรั่วเป็นคนฉลาด พอได้ฟังคำกล่าวนี้ และลองไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบดั่งที่อีกฝ่ายขอ เธอก็เอ่ยถามออกมา “แต่ก่อนหน้านี้นายน้อยกล่าวว่า ‘ระหว่างผู้ฝึกดาบน่ะ มีเพียงดาบเท่านั้น’ ใช่หรือไม่”

เธอพึมพำ “เดิมทีแล้วดาบก็เปรียบดั่งเป็นทั้งชีวิตและความตาย...”

“หรือว่านายน้อยจะพบเจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับมันเข้า?”

“ฉินรั่ว เจ้าช่างเป็นคนที่หลักแหลมเสียจริง” กู่ฉิงซานเอ่ยชม

“มันคงจะเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ ใช่หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

“ใช่ มันคือ ‘จิตแห่งดาบ’”

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ดาบคู่เอกลักษณ์นั้นมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่นเทคนิคฝึกยุทธในใบหยกนี้ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเกิดความโลภ”

“ขณะที่ใบหยกอีกแผ่นหนึ่ง ก็ได้บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับมารโลกา ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องที่แทบจะทำให้ข้าอดใจไม่ไหวที่จะอ่านมัน”

“หลังจากที่ข้าตรวจสอบใบหยกชิ้นแรก และพบว่ามันไม่มีกับดักใดๆ แต่กลับเต็มไปด้วยเทคนิคฝึกยุทธ ตัวข้าก็จักผ่อนคลายลงตามชาตญาณของมนุษย์...และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”

“ซึ่งณ จุดๆ นี้ ยามเมื่อข้าได้รับใบหยกแผ่นที่สองมา ตามสัญชาตญาณ ตัวข้าก็จักปรารถนาที่จะรู้เนื้อหาของมัน และอดใจไม่ไหวจำต้องคว้าจับเพื่อทำการข้อมูลที่อยู่ภายในทันที”

กู่ฉิงซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“หลังจากที่ผ่านพ้นมาพันปี เฉียนซานเย่ที่อยู่ในร่างจิตวิญญาณมานาน ก็คงจะก้าวหน้าขึ้น จนถึงขั้นเรียนรู้ที่จะกลายเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ และคงจะใช้มันคิดฉวยโอกาสบางอย่าง”

“แต่ข้าก็ไม่ได้มอบโอกาสนั้นแก่เขา”

ฉินรั่วที่เพิ่งเข้าใจ ก็บังเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้งทันที

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าใบหยกแผ่นแรกที่บันทึกเทคนิคลับแห่งดาบมันไม่มีกับดัก?”

“ก็เพราะมันจำเป็นที่จะต้องไร้ซึ่งกับดักน่ะสิ มิฉะนั้น ตัวข้าที่กำลังระแวงสงสัย ก็คงจะไม่ตกหลุมพรางของเฉียนซานเย่เป็นแน่”

“แล้วเหตุใด เจ้าถึงได้ให้ฉานนู่เก็บใบหยกชิ้นที่สองไปอย่างรวดเร็วกัน?”

“เพราะเฉียนซานเย่มีวิธีการมากมายที่จะใส่บางสิ่งลงไปในใบหยกแผ่นที่สองนี้น่ะสิ บางทีอาจเป็นการแปลงตนเป็นจิตแห่งดาบและแฝงตนเข้าไป พอข้าสัมผัสต้อง เขาก็จะลอบเข้ามาสิงสู่ข้าก็เป็นได้ แต่หากมันถูกส่งเข้าสู่ถุงสัมภาระ ก็เท่ากับเข้าสู่พื้นที่อื่นซึ่งในกรณีนี้เขาจะไม่สามารถทำอะไรกับข้าได้เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีวิธีการกระโดดออกมาจากถุงสัมภาระของฉานนู่ด้วยตนเอง”

สองสาวใช้มองหน้ากันก่อนจะเบนสายตาออกไปและเห็นแค่เพียงมือของฉานนู่ที่กดประทับตราลงบนถุงสัมภาระ

“คราวนี้ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใดก็ตาม เขาก็จะไม่สามารถหลุดออกไปจากเงื้อมมือของข้าได้” ฉานนู่กล่าว

ว่านเอ๋อได้สติกลับคืน เธอหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ดังนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่า แท้จริงแล้วเจ้าก็มิได้เชื่อใจเขาตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ?”

ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าเขาจะไม่ใช้อุบายหรือเล่นตุกติดใดๆ ในยามที่อยู่ต่อหน้าใบหยกชิ้นที่สอง…นั่นเจ้าจงใจใช่หรือไม่?”

“แน่นอน เพราะว่าข้าไม่อยากจะทำให้เขาบังเกิดความสงสัยขึ้นมาน่ะสิ แม้จะเป็นในนาทีสุดท้ายก็ตาม”

“ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่เจ้าจับได้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ?” ดวงตาของฉินรั่วกระจ่างใสขึ้น

“เพราะเขาถูกวางเอาไว้ในค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งน่ะสิ”

กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่

ฉานนู่พยักหน้าและกล่าวว่า “นอกเหนือไปจากข้า หากเป็นผู้อื่นเข้าไปภายในนั้นก็คงยากที่จะกลับออกมาอีกครั้ง”

“หากอ้างอิงจากนิสัยของหวังหงษ์เต๋า การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง ดังนั้นเฉียนซานเย่แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีโอกาสที่จะได้ออกมาพบกับผู้คน หรืออีกความหมายนึงก็คือเขาไม่สมควรที่จะได้รับรู้ถึงข้อมูลใดๆ จากภายนอก”

กู่ฉิงซานกล่าว “ในขณะที่ถึงแม้ว่าข้าจะอธิบายถึงสถานะว่าเป็นปรมาจารย์ตำหนักซานเหว่ยออกไป แต่เขากลับมิได้ซักไซ้เอ่ยถามถึงอาจารย์และที่มาของข้าเลย ”

“นั่นสิ นี่มันออกจะดูแปลกๆ ไปหน่อยนะ” ฉินรั่วพยักหน้า

“สิ่งที่เขากล่าวออกมาตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องราวฆาตกรรมอาจารย์ตนอันอื้อฉาวของหวังหงษ์เต๋า แล้วจากนั้นเขาก็อ้างสรุปไปว่าข้ามิใช่ลูกศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยในทันที เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เรื่องนี้…อย่าบอกนะว่าเพื่อที่เขาจะได้อ้างตนว่าจะสอนสั่งเทคนิคดาบให้แก่ได้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยถาม

“ถูกต้อง ตราบใดที่ข้าละโมภ และบังเกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้ทักษะดาบของเขา ข้าจะต้องเออออบอกไปตามน้ำว่าตนเองมิได้เป็นศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน”

“ดังนั้นแล้ว เขาจึงมั่นใจว่าข้าได้กินเหยื่อที่เขาหย่อนลงมาแล้วอย่างแท้จริง”

ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าวว่า “แต่สิ่งที่เขาสรุปออกมามันค่อนข้างแม่นยำมาก และตัวเจ้าก็มิใช่ศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าจริงๆ ”

“แล้วเขาสรุปออกมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามกลับ

ว่านเอ๋อจดจำได้ว่า “ก็เขากล่าวว่าหวังหงษ์เต๋ามิได้ใช้ทักษะดาบ แต่ฉกาจในด้านการใช้กระบี่และวิชาควบคุมศพ ดังนั้น หวังหงษ์เต๋าก็ไม่น่าจะมีศิษย์เป็นผู้ใช้ดาบเช่นเจ้าเป็นแน่ อย่างไรเล่า”

กู่ฉิงซาน “แล้วเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ ‘นักสู้หวูเต๋า’ เล่า? หวังหงษ์เต๋าเองก็มิใช่เชี่ยวชาญในแขนงนักสู้มิใช่หรือ แล้วเหตุใดเซ่าหวูชุ่ยจึงยังเป็นศิษย์ของเขาได้กัน?”

ว่านเอ๋อพูดไม่ออกในทันใด

ฉินรั่วถอนหายใจ “จงใจใช้ความจริงปรุงแต่งให้เป็นเรื่องโกหกล่ะสินะ ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธบังเกิดความโลภในเทคนิคฝึกยุทธของเฉียนซานเย่ เขาก็จะเออออห่อหมกไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ และตกหลุมพรางในที่สุด … ช่างเป็นกลอุบายที่แยบยลยิ่งนัก”

กู่ฉิงซานเอ่ยเสริม “และในขั้นต่อมา เขาก็ใช้ความหวาดกลัวที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างก็มีอย่างมารโลกา เพื่อสร้างใบหยกชิ้นที่สองขึ้น จดจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งนิกายกวงหยางได้ทำการทดสอบเพื่อหาเบาะแสของมารโลกามาก่อน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้ว่ามันคือความปรารถนาของผู้ฝึกยุทธทั้งมวลที่ต้องการจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป”

“หนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความโลภ ขณะที่อีกหนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เขาถึงขั้นใช้เหยื่อก้อนโตมาเป็นเหยื่อล่อ จนทำให้หัวใจข้าบังเกิดความอยากที่จะได้มันมาครอบครอง ทั้งๆ ที่เขาก็คิดจะมอบมันให้อยู่แล้ว”

“แม้ว่าข้าจักไม่เอ่ยปากสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า แต่เขาก็ยังคงจะมีวิธีการอื่นที่จะใช้เกลี้ยกล่อมข้าอยู่ดี ตราบเท่าที่ข้าต้องการจะเรียนรู้ทักษะของเขา ข้าก็มั่นใจว่าเขาจะต้องขบคิดข้อเสนอที่สุดท้ายข้าก็จะต้องยินยอมตกลงเป็นแน่”

ว่านเอ๋อยกมือขึ้นกุมศีรษะ ปากบ่นพึมพำ “เหตุใดคนผู้นี้จึงสามารถวางแผนได้อย่างแยบยลถึงเพียงนี้! นี่มันชักจะน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!!”

“แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสิ้นลายลงเพราะหวังหงษ์เต๋าอยู่ดี” ฉินรั่วกล่าว

สองสาวใช้มองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะเห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ลึกเข้าไปในแววตาของอีกฝ่าย

แม้พวกเธอจะเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอด และมีประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งกว่าผู้อื่นมากมาย ทว่าในสงครามประสาทเช่นนี้ บอกได้เลยว่าไม่เคยแม้จะได้เฉียดกายสัมผัสมันมาก่อน

หากเป็นเขาที่ทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเธอ...อุบายในครั้งนี้ของเฉียนซานเย่ก็คงจะประสบผลสำเร็จไปแล้ว!

และหลังจากนี้ ยังคงมีหวังหงษ์เต๋าที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าเฝ้ารอให้พวกเธอพบเผชิญอยู่อีก!

แล้วเช่นนี้พวกเธอสมควรจะทำอย่างไรดี?

“ความสิ้นหวังมักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

เขาลดหัวลง และจ้องมองใบหยกแผ่นแรกบนมือ

ในใบหยก อัดแน่นไปด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของดาบคู่เอกลักษณ์

อย่างไรก็ตาม ในโลกล่องเวหาใบนี้ ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง ทุกผู้คนล้วนอันตราย ในหัวใจของมนุษย์ช่างน่าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยความอำมหิต

แล้วกลุ่มของกู่ฉิงซานจะสามารถมั่นใจเต็มร้อยว่าจะฝ่าวงล้อมทุกเหตุการณ์ร้ายๆ นี้ไปได้จริงๆ หรือ?

แน่นอนว่าไม่

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ณ ขณะนั้นเอง ในวิสัยทัศน์ของเขาก็ปรากฏอีกหนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“การกรองข้อมูลภายในใบหยกแผ่นแรกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”

“การวิเคราะห์โดยรวมของใบหยกเสร็จสมบูรณ์”

“ค้นพบว่าในใบหยก มีเนื้อหากว่าเก้าสิบแปดจุดเจ็ดเปอร์เซ็นต์ที่ไร้ประโยชน์”

“ทำการละทิ้งข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผิดพลาด และเริ่มผกผันข้อมูลในส่วนที่ขาดหายไป ในใบหยกนี้ยังมีเนื้อหาเทคนิคฝึกยุทธที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้หลงเหลืออยู่ทั้งสิ้นหนึ่งจุดสามเปอร์เซ็นต์”

“คุณต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลในส่วนนี้หรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างด้านชา “ต้องการตรวจสอบ”

ทันใดนั้นเอง เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในระบบเทพสงครามทันที

“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้ของโลกใบนี้”

“นี่คือเนื้อหาทั้งหมดในใบหยกที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องสมบูรณ์ โปรดวางใจและทำการตรวจสอบดูได้”

“เทคนิคลับนักดาบนิรันดร์ ค่ายกลดาบ ไท่หยี ”

…………………………………..........