ตอนที่ 249 นักฆ่า
ฝนเพลิง...
ฝนเพลิงสาดเทลงมาทั่วทุกหนแห่ง ยามปะทะกับพื้นดินก็บังเกิดแรงระเบิดดังระงมขึ้นต่อเนื่อง ส่งเสียงสะท้อนสะท้านดังออกไปไกล
ผืนดินถูกหลอมละลาย และปะทุเป็นหลุมบ่อด้วยฝนเพลิง บ่อยครั้งที่บังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เหล่ามารที่มิอาจหลบเลี่ยง ถูกทิ้งไว้กลางฝนเพลิงได้ไม่นาน ผ่านไปเพียงครู่ก็ถูกเผาไหม้เป็นตะกอน มิอาจหาร่องรอยของมันที่หลงเหลืออยู่ได้อีกเลย
มวลมารที่ยังรอดก็ถูกขับไล่ไปโดยฝนเพลิง วิ่งแตกกระจายออกไปทุกทิศทางเพื่อหลบหนี
เผ่ามารที่นี่จะแตกต่างไปจากเผ่ามารในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ พวกมันไม่มีอำนาจที่จะสามารถต้านทานเปลวเพลิงอันรุนแรงได้ จึงต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้ง
นี่ได้กลายเป็นสัญชาตญาณของพวกมันไปแล้ว
บนที่ราบ ภายในค่ายกลของมนุษย์
เผ่ามารได้ทำการล่าถอยออกไปชั่วคราว และในที่สุดเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ได้มีเวลาหยุดพักเสียที
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็บังเกิดช่องว่างผุดขึ้นมาจากตัวค่ายกลป้องกัน
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้พลันผุดลุกขึ้นและจ้องมองไปยังช่องว่างดังกล่าวในสภาพพร้อมรบทันที
ทว่าพวกเขากลับเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธในชุดเกราะทองคำ บนใบหน้าสวมใส่หน้ากากเงินกำลังเดินเข้ามา
นี่คือชุดเกราะรบของนายพลชั้นโหยวจี
มิใช่มารตนใด แท้จริงแล้วกลับเป็นมนุษย์ เหล่าผู้คนต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ผู้ฝึกยุทธยศนายพลจะมีอุปกรณ์แบบพิเศษถูกติดตั้งเอาไว้ในบัตรยืนยันตัวตน ซึ่งมันจะช่วยให้สามารถเดินทะลุค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ ผ่านเข้าหรือออกค่ายทหารได้เลยโดยตรง
“ท่านนายพล โปรดแสดงบัตรยืนยันตัวตนของท่านด้วย” ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวเดินออกมา
อีกฝ่ายหยิบบัตรยืนยันยศนายพลออกมา และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณเข้าไป
บัตรยืนยันตัวตนพลันระเบิดประกายระยิบระยับออกมา ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมปรากฏตัวอักษรที่ฉวัดเฉวียนแลคล้ายหงส์ร่อนมังกรรำขึ้นมาจำนวนหนึ่งเป็นคำว่า
“นายพลชั้นโหยวจี กู่ฉิงซาน”
ทันทีที่คำเหล่านี้ปรากฏขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในฉากนี้ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน พวกเขาต่างก็พากันลุกพรวดขึ้นมา หนึ่งฝ่ามือประสานหนึ่งกำปั้น ปากเอ่ยกล่าว “ยินดีที่ได้พบท่านนายพล!”
คนผู้นี้คือตัวตนที่น่ายกย่องอย่างแท้จริง ด้วยอำนาจของตนเพียงลำพัง กลับสามารถตัดสินแพ้ชนะของสงครามขั้นแตกหักทั้งหมดลงได้
กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อย
เขามองเข้าไปรอบๆ ค่ายทหาร
ภายในค่าย มีปรมาจารย์ค่ายกลอยู่หลายคน มีผู้ใช้ธาตุทั้งห้า และยังมีนักสู้หวูเต๋า ทว่าตามร่างกายของแต่ละคนล้วนแล้วแต่ประทับไว้ด้วยรอยบาดแผล
มีจำนวนทหารไม่มากนัก เกรงว่านี่คงเป็นเพียงค่ายทหารเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราว
“ผู้รับผิดชอบพวกเจ้า ผู้บัญชาการเล่าไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ท่านนำทีมออกไปช่วยทหารคนอื่นๆ อยู่” ผู้ฝึกยุทธกล่าว
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าขอหยุดพักในค่ายของพวกเจ้าสักครู่นะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ขอรับ เชิญพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย” ผู้ฝึกยุทธกล่าว
กู่ฉิงซานหยุดสนทนา และหาสถานที่ที่สะอาดๆ นั่งลง และเริ่มต้นควบคุมลมหายใจ
ในหัวของกู่ฉิงซานวางแผนเอาไว้ว่า หลังจากที่ได้พักฟื้นจนเพียงพอ ตัวเขาก็มิได้ตั้งใจที่จะหยุดนิ่ง แต่เตรียมที่จะเดินทางไปยังค่ายทหารของกงซุนซีโดยเร็วที่สุดทันที
เพราะภายใต้การสนับสนุนจากค่ายกลปกปักของกงซุนซี ตัวเขาก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตแก่นทองคำ และมีความแข็งแกร่งมากขึ้นที่จะใช้รับมือการสงครามในครั้งนี้
ครึ่งชั่วยามต่อมา...
จู่ๆ เขาก็ผุดลุกขึ้น สองเท้าก้าวตรงไปยังทางทิศตะวันตกของค่ายทหาร มองไกลออกไปภายนอกอย่างเงียบๆ
สองผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในการปกป้องบริเวณดังกล่าว เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “นายพลกู่ ท่านกำลังมองหาสิ่งใด?”
“มีบางอย่างกำลังมา” กู่ฉิงซานกล่าว
สองผู้ฝึกยุทธหันหัวไปมองตาม
ในระยะไกลออกไปภายนอกค่าย บัดนี้ปรากฏให้เห็นถึงควันลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ
ตามด้วยร่างของผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้น
เขาสวมใส่เกราะรบนายทหารชั้นพันเอก มือข้างหนึ่งกำลังกุมหลุมเลือดบริเวณช่องท้อง ส่วนมืออีกข้างกำลังแบกสหายที่ตกอยู่ในอาการหมดสติวิ่งตรงเข้ามา
เบื้องหลังเขา เต็มไปด้วยเผ่ามารที่กำลังสับฝีเท้าไล่ล่าราวกับกระแสธารเชี่ยว
“นั่นพันเอกหลี่ เขาได้รับบาดเจ็บ!”
“เผ่ามารกำลังมาแล้ว เตรียมตัวรับมือให้พร้อมเร็วเข้า”
เสียงตะโกนของผู้ฝึกยุทธกังวานไปทั่ว
และทหารทั้งค่ายก็วูบไหวทันที
ผู้ฝึกยุทธบางส่วนเริ่มตื่นตระหนก บางคนหยิบอาวุธขึ้นมา แต่ในสมองกลับอื้ออึง มิทราบว่าสมควรจะทำสิ่งใดดี
นั่นเพราะผู้บัญชาการค่ายยังคงอยู่ภายนอก
“อย่างไรก็เถอะ ตอนนี้พวกข้าจะออกไปรับมือมันเอง” นักสู้หลายคนเอ่ยปากกล่าว
“ไม่ พวกเราจะเป็นคนเปิดฉากโจมตีมันก่อนเอง และจะสร้างโอกาสให้พวกเจ้าบุกเข้าไปโจมตีมันอีกระลอก!” ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าเอ่ยค้าน ทั้งคนทั้งร่างเริ่มรีดพลังวิญญาณออกมา
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียง ก็บังเกิดเสียงหนึ่งที่แฝงไว้ซึ่งความกดดัน สลายความวุ่นวายทั้งหมดลง
“ไม่เอาน่า ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกี่ยงกัน เพียงแค่รอฟังคำสั่งก็พอแล้ว!”
มันเป็นเสียงของคนคนหนึ่ง
เมื่อผู้คนหันไปมอง ก็จะพบว่าแท้จริงแล้วเจ้าของเสียงเป็นผู้สวมใส่เกราะรบทองคำ กู่ฉิงซานนั่นเอง
เขาเป็นนายพลชั้นโหยวจี
และเป็นทหารที่มียศสูงสุดในตอนนี้
ใช่แล้วล่ะ ผู้บัญชาการค่ายมิได้อยู่ที่นี่ ในกรณีฉุกละหุก เจ้าหน้าที่ทหารที่มียศอาวุโสที่สุดจึงสมควรที่จะเป็นคนออกคำสั่ง
ทุกผู้คนหยุดโต้แย้ง และหันหน้าไปมองเขา
กู่ฉิงซานรีบเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว “ยกเลิกค่ายกลโจมตีทั้งหมด”
“…รับทราบ”
ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในด้านค่ายกลเผยท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันและทำตามคำสั่ง
ณ ขณะนี้หากเขาไม่ฟังคำสั่งทางทหาร โทษของเขาคือถูกสะบั้นหัวตามกฎ
“จากนั้นก็ทุ่มพลังทั้งหมดไปยังค่ายกลป้องกันเสีย”
“ปรมาจารย์ค่ายกล จงเร่งจัดวางค่ายกลป้องกันเต็มกำลัง”
“ขอรับ”
“ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าไปยืนรอบสถานีค่ายกลทั้งห้า ยืนประกบทั้งหน้าหลัง และคอยฟังคำสั่งด้วยวาจา ตระเตรียมเทคนิคมนตราให้พร้อม ในทางกลับกัน คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดซ้ำใช่หรือไม่”
“น้อมรับคำสั่ง”
“นักสู้หวูเต๋า คอยรับคำสั่งข้า ยามเมื่อข้ายกดาบขึ้น พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องออกมาภายนอก และล้อมผู้บัญชาการเจ้า คอยปกป้องเขาและนำตัวเขากลับไป เข้าใจหรือไม่”
“ทราบแล้ว!”
เหล่าผู้ฝึกยุทธเตรียมการอย่างรวดเร็ว แม้ว่าภายในจิตใจจะบังเกิดคำถามบางอย่างขึ้นมาก็ตามที
นายพลกู่บอกว่ายามเมื่อเขายกดาบขึ้น ก็ให้นักสู้คนอื่นๆ ออกไปช่วยเหลือ
แต่ด้วยเผ่ามารที่มากมายถึงเพียงนี้ จะต้องใช้วิธีใดกันเล่า จึงจะสามารถช่วยชีวิตผู้บัญชาการของพวกตนกลับมา และพบกับการสูญเสียที่น้อยที่สุด?
เหล่าผู้ฝึกยุทธตรึงสายตาไปยังกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา และเตรียมดูว่าเห็นสั่งคนอื่นแล้วตัวเขาเล่าจะลงมือเช่นไร
ทว่าทั้งหมดกลับเห็นแค่เพียงภาพติดตาของกู่ฉิงซานที่ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ตัวคนได้หายวับไปจากวิสัยทัศน์ของพวกเขาแล้ว
“ดูนั่นสิ เขาอยู่ตรงนั้น!” บางคนตะโกนออกมา
ผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าเบนสายตาไปมองตาม
เห็นแค่เพียงประกายแสงสีทองอ่อนๆ ที่ข้ามผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว และปะทะเข้ากับฝูงมารที่กระจุกกันอยู่อย่างฉับพลัน
“จงตายเพื่อข้า!”
เขาตะคอกคำหนึ่ง ทั้งคนทั้งดาบยาวในมือหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ก่อร่างดาบยาวในมือจนเปล่งรังสีดาบสีขาวนวลดั่งจันทร์ออกมา
รังสีดาบถูกกวาดออกไปเป็นเส้นโค้ง ตัดสะบั้นเผ่ามารตนแล้วตนเล่าให้กลายเป็นเพียงชิ้นเนื้อฉ่ำเลือด กระพือไปตามแรงลมกรรโชกของดาบ
เผ่ามารหลายสิบตน บ้างถูกสะบั้นเอว บ้างถูกสะบั้นหัว แยกออกเป็นสองส่วน บังเกิดเสียงโหยหวนอันน่าอนาถดังขึ้นเป็นระยะๆ
และร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้นอีกครา
ขณะนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางดงมาร และกำลังปล่อยให้มารน้อยใหญ่เหวี่ยงกรงเล็บของพวกมันเข้าโจมตีใส่เขา
“แกร๊ง!”
บังเกิดเสียงกระทบที่ฟังดูคมชัด
เกราะทองคำทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
กู่ฉิงซานหวดหลังมือฟาดคมดาบออกไป สะบั้นมารที่กำลังกวาดกรงเล็บใส่เขาอย่างเมามันออกเป็นสองส่วน
ในเวลานี้ เขาได้ปล่อยให้ร่างของนายทหารชั้นพันเอกหลี่ที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งผ่านตนเองไปแล้ว
จากนั้นก็ยกดาบขึ้น
ภายในค่ายทหาร ผู้ฝึกยุทธคนที่ได้เห็นฉากนี้ เลือดในกายเขาก็พลันเดือดพล่าน ทั้งคนทั้งร่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และเมื่อเขาเห็นกู่ฉิงซานเริ่มส่งสัญญาณ ตัวเขาก็กระโจนออกไป และมุ่งตรงไปยังตำแหน่งของผู้บัญชาการตนเองอย่างรวดเร็ว
กูฉิงซานทำการล็อกสมญาของเขาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’
จากนั้นก็ทะยานไปยังมารที่อยู่เบื้องหน้านับร้อยนับพัน
ดาบยาวปรากฏเสียง ‘ฟุบๆ’ ลอยออกไปตามอากาศที่ว่างเปล่า ตามด้วยร่างของเผ่ามารที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
ทุกที่ที่คมดาบกวาดออกไปเยี่ยมเยือน ไม่มีศัตรูตนใดเลยที่จะรับมือกับมันได้
ทันใดนั้นเอง อสูรร่างยักษ์ที่สูงพอๆ กับคนห้าคนยืนเรียงต่อกันก็แทรกตัวออกมาจากฝูงมาร ปากอ้ากรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง ทะยานตรงมายังกู่ฉิงซาน
ทุกฝีเท้าที่มันย่ำลง พื้นดินจะบังเกิดการสั่นสะเทือน และมารแต่ละตนก็หลีกทางอย่างว่าง่ายให้มันเดินออกมา
นี่คือมารยักษา มีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตแก่นทองคำ!
“ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงทะมึน
สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นบนตัวยักษา สองเท้าย่ำลงบนไหล่ หนึ่งยื่นมือออกไปคว้าที่คอของมันในฉับพลัน
“ไม่ยอมอ่อนข้อ”ถูกเปิดใช้งาน ทั้งตัวทั้งร่างของมารยักษาบิดกระตุกทันที
กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือ แล้วค่อยๆ วางมันแนบลงกับลำคอของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
หกหมื่นจิน เชือดลำคอ!
หัวมารยักษาพรวดขึ้นไปบนท้องฟ้า เลือดสดๆ จากส่วนลำคอลงไปปะทุขึ้นมาราวน้ำพุเลือด
ร่างไร้ศีรษะร่วงตกลงกระแทกกับพื้น
กู่ฉิงซานฉวยโอกาสที่กำลังตกลงมาจากร่างมารยักษา กระชับดาบยาวในมือขึ้น และกวาดมันไปยังทิศทางดงมารที่กระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ฮู้มม
รังสีดาบสาดประกายเย็นเยียบ หวดเข้าใส่กลางวงมาร ตามด้วยเสียงระเบิดลั่น บังเกิดฝนเลือกสาดเทไปทั่วบริเวณ
กู่ฉิงซานกระชับดาบในมือ และเหวี่ยงฝ่าวารีเชี่ยวเข้าใส่มวลมารอีกครั้ง
เบื้องหลังเขา เหล่านักสู้หวูเต๋าได้ทำการช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาของพวกเขาได้เรียบร้อยแล้ว และกำลังเร่งพยุงตัวกลับไป
เผ่ามารอันชั่วร้ายที่กำลังไล่ล่า ถูกขัดขวางโดยกู่ฉิงซาน ส่วนทางผู้บัญชาการก็ถูกเปิดทางให้เดินสะดวกด้วยเหล่านักสู้ ฝั่งผู้ใช้ธาตุทั้งห้า ก็เตรียมพร้อมใช้เทคนิคมนตราที่ตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าทันที หลังจากที่ผู้บัญชาการเข้ามาแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มระดมยิงมนตราถล่มอีกฝ่ายที่ย่างกรายเข้ามาใกล้อย่างโหดร้าย
เวลานี้กู่ฉิงซานฆ่าสังหารเผ่ามารไปแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นไปตามแผน ดาบในมือที่กระชับแน่นก็หลวมลง แล้วค่อยๆ ก้าวเดินกลับไปยังค่ายทหารอย่างช้าๆ
โดยมีฉากที่เผ่ามารนับไม่ถ้วนกำลังกรีดร้องอยู่เบื้องหลัง พวกมันกำลังถูกระดมยิงจนปลิดปลิวไปด้วยเทคนิคมนตราของผู้ใช้ธาตุทั้งห้า
ในเวลานี้ สมองของพวกมันพลันขบคิด ‘เบื้องหน้าเป็นคือค่ายกลป้องกันของเผ่ามนุษย์ที่ถูกตระเตรียมพร้อมไว้อย่างเต็มรูปแบบ เป็นกระดูกแข็งที่ยากจะเคี้ยว’
‘ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังมีผู้ฝึกดาบที่ดูทีแล้วคงสามารถฆ่าสังหารได้กระทั่งทวยเทพคอยหนุนหลัง’
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ในที่สุดมวลมารจำต้องล่าถอยกลับไปอย่างยินยอม
กู่ฉิงซานผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เมื่อครู่ ในตอนนี้เขาได้รับชัยชนะ กู่ฉิงซานสังเกตเห็นแสงกะพริบบนหน้าต่างสถานะ
“คุณได้ทำการฆ่าสังหารศัตรูได้อย่างสมบูรณ์ในกระบวนท่าเดียวเป็นตัวที่สามและศัตรูทั้งหมดที่ฆ่าสังหารล้วนมีขอบเขตที่สูงกว่า”
“คุณได้ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง ฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียวครบตามเงื่อนไขที่กำหนด สมญา ‘นักฆ่า’ กำลังจะถูกปลดล็อกในไม่ช้า”
“สมญานี้เป็นสมญาพิเศษ หากต้องการจะปลดล็อกมันจำต้องจ่ายด้วยห้าแต้มพลังวิญญาณ”
มองไปยังคำแนะนำเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงง
ครั้งก่อนในช่วงที่เขาอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ เขาได้ใช้คมดาบสังหารอสูรวิญญาณของเหลิงเทียนสิง จากนั้นก็ตามด้วยสังหารกระเรียนเมฆาเพลิงในกระบวนท่าเดียว และในช่วงเวลานั้น คำกล่าวที่ว่า คุณได้ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง ฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียว ก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ที่แท้กลับกลายเป็นว่า หากเขาสามารถฆ่าสังหารได้ตามเงื่อนไข ระบบก็จะปลดล็อกฉายาใหม่ให้นี่เอง
มันดูเหมือนว่าเมื่อครู่ ด้วยการสังหารมารยักษา ในที่สุด เขาก็สามารถปลดเงื่อนไขได้ตรงความต้องการของสมญาในครั้งนั้นได้เสียที
.......................................................