webnovel

0208 ของขวัญจาก

ตอนที่ 208 ของขวัญจาก…

ซูเซิงเหวิน เผยถึงความปรารถนาออกมาและกล่าว “พ่อต้องการที่จะรู้ว่าสิ่งที่เรียกกันว่าความลับนี้คืออะไร แล้วโชคก็เข้าข้างจริงๆ ที่อีกไม่นานพ่อก็จะได้ขึ้นเป็นจ้าวมณฑลแล้วในไม่ช้า”

แววตาของซูเซี่ยเอ๋อร์หม่นหมองลง เอ่ยปากแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในอดีตที่ผ่านมา ถึงมีพวกชนชั้นสูงที่ทำตัวไร้สาระมากมาย เพราะตราบใดที่พวกเขายังคงเป็นผู้สืบทอดโดยตรง สุดท้ายก็สามารถใช้อำนาจของตระกูลปกครองรัฐบาลได้อยู่ดี”

“ที่พวกเราจัดงานเลี้ยงเต้นรำนี้ขึ้น ก็เพราะพ่อต้องการให้ลูกได้เลือกสรรรุ่นเยาว์ที่จะได้ขึ้นเป็นผู้สืบทอดของเก้าตระกูลใหญ่ในอนาคต แต่น่าเสียดาย ที่หัวใจเจ้ากลับไปอยู่ที่อื่นซะนี่”

“ตอนนี้พ่อมีบางอย่างที่จะต้องบอกกับลูกให้มันชัดเจน”

“นี่คือชะตากรรมของชนชั้นสูง ของเก้าตระกูลใหญ่ ไม่มีใครสามารถขัดขืนได้”

“แล้วถ้ามีคนขัดขืนมันล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถามอย่างไม่ยินยอม

“ผู้นำตระกูลมีสิทธิ์ที่จะบังคับใช้กฎ และอีกแปดตระกูลใหญ่ก็จะร่วมมือกันบังคับใช้กฎเช่นกัน”

“เพื่อที่จะรักษาความลับอย่างเคร่งครัด คนในเก้าตระกูลใหญ่จะต้องตบแต่งกันเอง ไม่อาจแยกตัวไปออกเรือนกับบุคคลภายนอกได้”

ซูเซี่ยเอ๋อร์นิ่งงันอยู่นาน ไม่อาจเรียกสติกลับคืนมาได้

ซูเซิงเหวินถอนหายใจและกล่าว “เจ้าจงมอบหุ่นรบให้แก่ตระกูล เพื่อที่ทางเราจะได้ทำการศึกษามันอย่างละเอียดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยสามารถนำมันออกไปพร้อมกับตระกูลใหญ่ที่เข้าตบแต่งได้ เจ้าหุ่นตัวนี้จะช่วยให้เจ้าได้รับผลประโยชน์ อำนาจและเกียรติยศอย่างมหาศาลชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ซูเซี่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก และเอ่ยออกมา “แต่หนูชอบพี่ใหญ่ฉิงซาน”

ซูเซิงเหวินเผยสีหน้าเข้าอกเข้าใจอย่างชัดเจน เขาก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนเลยเอ่ยสอน “มันก็เป็นแค่เพียงความชอบชั่วเวลาหนึ่ง ผ่านไปสักพัก เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นก็จะเข้าใจเองว่าหากเทียบกับความมั่งคั่ง อำนาจและอิทธิพลที่จะได้รับแล้วนั้น เด็กหนุ่มคนนี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”

“ฟังคำพ่อนะ มอบหุ่นรบมา แล้วตบแต่งกับตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงเจ้าจะไม่ชอบสามีคนนี้ แต่พอผ่านไปในอนาคต เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง”

“จะดีขึ้นเอง?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ไม่เข้าใจ

“ถูกต้อง เจ้าเป็นถึงมืออาชีพระดับสูงผู้ใช้ธาตุทั้งห้าขั้นสี่ แถมยังครอบครองเกราะรบเพลิงนางฟ้า หลังจากแต่งงานไปแล้ว เจ้าจะมีสิทธิ์มีเสียงในแต่ละคำที่กล่าวออกมาอย่างแน่นอน ไม่ช้า อำนาจในตระกูลก็จะตกอยู่ในมือของเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถร่วมมือกับพ่อได้”

ซูเซิงเหวินกล่าวด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น “พ่อกำลังจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลซูในไม่ช้า ส่วนลูก ก็จะเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจของตระกูลอื่น หากพวกเราร่วมมือกัน อนาคตของตระกูลซูจะต้องสดใสยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยปากออกมา “แล้วท่านปู่ล่ะ ตอนนี้อาการของท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูเซิงเหวินที่กำลังจินตนาการไปถึงความสุขต่างๆ นานาพลันถูกขัดจังหวะลง ปากเอ่ยอย่างหงุดหงิด

“เขายังคงต้องอยู่ในความดูแล แต่หมอบอกว่าไม่นานเขาก็คงจะจากไปแล้ว”

“หนูจะไปหาท่านปู่”

“…จะไปก็ได้ แต่จงจำคำพูดของพ่อเอาไว้ด้วยล่ะ ว่าทุกอย่างนี้มันก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวลูกเอง” ซูเซิงเหวินกล่าวอย่างจริงใจ

ซูเซี่ยเอ๋อร์หันไปมองหน้าบิดาตนอย่างลึกซึ้ง เอ่ยออกมาเพียงวลีสั้นๆ “หนูจะสลักมันไว้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ”

“เฮ้อ จริงๆ แล้วการที่หลานสองกล้าที่จะเอื้อมมือมาแตะตัวลูกนั่นมันแย่มากจริงๆ ลูกไม่ต้องโมโหไป เรื่องนี้พ่อจะจัดการเอง” ซูเซิงเหวินเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ

ซูเซี่ยเอ๋อร์เดินออกจากห้องศึกษา แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ฉากหลังของมันช่างดำมืด เมฆสีตะกั่วลอยล่องกระจายอยู่ทั่วฟ้า เตรียมที่จะโปรยปรายเม็ดฝนในยามต่อไป

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มุมปากของเธอก็ผุดยิ้มหยันออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้

“เป็นเพราะความลับนั่นสินะ ฉันถึงต้องถูกจับคลุมถุงชนแบบนี้” เธอเอ่ยพึมพำ

แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉากในงานเลี้ยงที่แอนนากำลังจับมือกับกู่ฉิงซานถึงปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดของเธออีกครั้ง

ซูเซี่ยเอ๋อร์จิกริมฝีปากแน่น คู่ดวงตาสีดำสาดประกายเย็นเยียบ ราวกับสระน้ำลึกที่ไม่อาจเห็นพื้นเบื้องล่างได้ ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงอารมณ์หรือล่วงรู้ถึงความคิดของเธอ

เด็กสาวเอื้อมมือขึ้นมาวางลงบนหัวตัวเอง เลียนแบบท่าทางของกู่ฉิงซานอีกรอบ

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา

เธอก็ได้มาหยุดยืนอยู่ด้านนอกอาคารหลังหนึ่ง

ที่นี่เป็นศูนย์กลางอำนาจทั้งหมดของตระกูลซูมานานแล้วหลายทศวรรษ นอกจากนี้ยังเป็นที่พำนักของผู้นำตระกูลซู ซูซิงเฉาอีกด้วย

ซูเซี่ยเอ๋อร์มองไปยังอาคาร และลังเลอยู่นานก็ยังไม่ได้เดินไปเคาะประตู

คืนนี้ตระกูลซูจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครมาอยู่ที่นี่ ยกเว้นเสียแต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เท่านั้น ที่เดินสวนออกมาเป็นครั้งคราว

ซูเซี่ยเอ๋อร์เดินวนไปมาอยู่บนถนน และบางครั้งก็เดินไปหยุดยืนหน้าประตู แต่ก็ชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ถอยกลับมา

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูอย่างแผ่วเบา และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็เปิดประตูออกมาแทบจะในทันทีจนเธอตกใจต้องชักมือกลับ

ในขณะที่เธอกำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง อากาศยานขนส่งขนาดเล็กก็โฉบลงมาบริเวณถนน

“ซูเซี่ยเอ๋อร์ นี่คือพัสดุของคุณ” เสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น

“จากใครกัน?”

“จากกู่ฉิงซาน”

“อ๊า!”

ซูเซี่ยเอ๋อร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วคว้าพัสดุนั้นมาทันที

พัสดุนี้ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา ทว่าซูเซี่ยเอ๋อร์กลับรีบจนทนไม่ไหว ไม่คิดจะไปหยิบกรรไกรมาเปิดมัน

ใบมีดสีเขียวปรากฏขึ้นครอบคลุมฝ่ามือของเธอ ก่อนที่มันจะถูกตวัดลงอย่างรวดเร็ว ตัดผนึกบนพัสดุออก

ผนึกถูกเปิดออก และพบว่าภายในมันเป็นกล่อง

ซูเซี่ยเอ๋อร์แทบจะทนรอไม่ไหว เธอรีบเปิดมันและเห็นว่าในกล่องมีเพียงหนังสือเล่มเล็กๆ และขวดหยก

ขวดหยกมีสีสันสดใสไร้ที่ติ มันเปล่งประกายบริสุทธิ์ราวกับหยาดน้ำค้าง แม้กระทั่งสายตาอันแหลมคมของซูเซี่ยเอ๋อร์ ก็ยังบอกว่านี่เป็นของหายากในโลก

ซูเซี่ยเอ๋อร์รู้สึกตกหลุมรักเจ้าขวดหยกนี้ทันทีตั้งแต่แรกพบ

เธอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว สองมือหยิบขวดหยกขึ้นมา แล้วหมุนเล่นมันอยู่อย่างนั้นไม่อาจวางลงได้

ผ่านไปสักพัก เธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีหนังสือเล็กๆ อีกเล่มหนึ่ง

พอเปิดหนังสือดู อ่านไปได้สักเล็กน้อย ก็พบว่าทุกๆ คำนั้นถูกบรรจงเขียนด้วยลายมือของกู่ฉิงซาน

การ์ดใบหนึ่งร่วงตกลงมาจากหนังสือเล่มเล็ก

ซูเซี่ยเอ๋อร์รีบหยิบการ์ดใบนั้นขึ้นมา

บนการ์ด มีตัวอักษรเขียนไว้เพียงไม่กี่บรรทัด

“มณฑลฉางหนิง ได้ทำการส่งคนมาเก็บกวาดไปแล้วกว่าห้าครั้ง และในพรุ่งนี้ฉันจะส่งคนไปทำการตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ว่าจะไม่มีผีดิบนักฆ่าปรากฏตัวขึ้นอีก หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เธอก็จะได้ไม่ต้องจมอยู่แต่กับการฝึกฝนภายในบ้าน และสามารถออกมาสูดอากาศข้างนอกได้อย่างสบายใจซะที”

“สถานการณ์ในมณฑลต่างๆ ของรัฐบาลกลางค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอต้องไม่ไปเข้าร่วมเกมแห่งชีวิตนิรันดร์นะ ขอให้เชื่อฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกปวดหัวไม่น้อย”

“นอกจากนี้ ในขวดหยกยังมีเม็ดยาฟื้นฟูอยู่ด้วย ขอให้กินมันหนึ่งเม็ดต่อสามวัน หนังสือเล่มเล็กๆ นี้คือวิชาฝึกฝน มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ ขอให้เธอฝึกปรือมันอย่างตั้งใจ”

“ขอให้รีบฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อนาคตของโลกยังอยู่ในสภาวะไม่สู้ดีนัก เธอจำเป็นต้องมีพลังไว้ใช้คุ้มครองตนเอง”

“พยายามเข้าล่ะ!”

ซูเซี่ยเอ๋อร์บีบการ์ดในมือแน่น ก่อนจะคลี่มันออกแล้วอ่านทวนซ้ำๆ ไปไม่น้อยกว่าสิบรอบ โดยไม่ทันได้ตระหนักถึงหยดน้ำเล็กๆ สองสายอันอบอุ่นที่ไหลลงข้ามผ่านสองแก้ม

เธอสูดน้ำมูกและเช็ดน้ำตาตัวเอง แนบการ์ดใบนั้นลงบริเวณหัวใจ

ก่อนจะรีบเก็บรวบรวมแต่ละอย่าง อย่างระมัดระวัง

เธอยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆ สีหน้าเปล่งประกายสดใส

ในที่สุดเธอก็สามารถรวบรวมความกล้า และเดินกลับมายังประตูทางเข้าอาคาร เคาะประตูเสียงดัง

และเปิดประตูก้าวเข้าไปข้างใน

ภายในเขตผู้ป่วย

นี่คือห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ชั้นสูงที่ทันสมัย

หมอและพยาบาลหลายคนยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ส่วนซูเซี่ยเอ๋อร์ เมื่อเข้ามา เธอก็เดินตรงไปนั่งลงข้างๆ เตียง

ซูซิงเฉานอนอยู่บนเตียง ตัวเขาขณะนี้ใกล้จะสมควรถึงแก่เวลาแล้ว

ดวงตาของเขาเผยอออกเล็กน้อย มันเอาแต่จ้องมองขึ้นไปบนเพดานไม่กะพริบ ราวกับกำลังโหยหาถึงความปรารถนาบนโลกใบนี้ที่ยังคงมิอาจบรรลุมันได้สำเร็จ และไม่ยินดีที่จะหลับลง

เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ และนิ่งไปนาน ราวกับว่าแทบจะไม่อาจหายใจต่อไปได้ไหวแล้ว

“ท่านปู่ หนูแวะมาหา”

ซูเซี่ยเอ๋อร์จับมือของชายชราและบีบมันอย่างอ่อนโยน

ชายชราบีบค่อยๆ บีบตอบกลับมาอย่างแผ่วเบาเช่นกัน

“ปู่...คงจะต้องจากไปแล้ว…ปู่ได้ยิน…เสียงเรียกของท่านยมทูต…”

ชายชราพยายามเอ่ยปากกล่าวเป็นระยะๆ

“แต่ปู่ยังมีอยู่สิ่งหนึ่ง…ที่ยังไม่สามารถวางมันลงได้”

เขาจ้องมองไปยังหลานสาวของตน ในแววตาเต็มไปด้วยคำถาม

ซูเซี่ยเอ๋อร์เงียบไปนาน จนชายชราเกือบจะปิดตาลงอยู่แล้ว แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจออกมา

เธอกัดริมฝีปากและกล่าว “หนูได้ตัดสินใจแล้ว”

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน

เวลานี้ ไม่มีหนทางที่จะให้ถอยหลังกลับแล้ว

...........................................................