webnovel

0209 ดวงดาราอันงดงาม

ตอนที่ 209 ดวงดาราอันงดงาม

สองตาของชายชราเบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว สูดหายใจยาวเหยียด

อาการป่วยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ร่องรอยของเลือดฝาดเริ่มปรากฏขึ้นตามผิวหนัง

ดวงตาของเขาเปล่งประกายคึกคะนองเล็กน้อย ราวกับสิงโตเฒ่าที่กำลังจ้องมองไปยังอาณาจักรของตนเป็นครั้งสุดท้าย

“ออกไปให้หมด ฉันต้องการที่จะพูดคุยกับหลานสาวตามลำพังสักครู่” เขาเอ่ยสั่ง

เมื่อหมอหลายคนได้ยินได้เห็น ก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือช่วงเวลาฮึกเหิมครั้งสุดท้าย ก่อนที่ชายชราจะกลับคืนสู่แสงสว่าง

พวกเขาหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะทยอยกันออกไปอย่างเงียบๆ

และทันทีที่เดินออกจากห้องไป ทั้งหมดก็รีบวิ่งออกไปนอกอาคาร เพื่อแจ้งข่าวที่ผู้คนเฝ้ารอมาเนิ่นนานเสียที

“ที่บอกว่าหลานตัดสินใจแล้ว...หมายความว่ายังไง” ชายชราถอนหายใจ

ซูเซี่ยเอ๋อร์มองตรงไปยังอีกฝ่าย เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเด็ดขาด “หนูยินดีที่จะเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อตระกูลซู ตราบใดที่ตระกูลซูของเรายังคงสามารถยืนหยัดอยู่ในรัฐบาลกลางได้ต่อไป”

“หนูต้องการจะทำให้ตระกูลซู เป็นตระกูลที่ทรงพลังมากที่สุดในเก้าตระกูลใหญ่”

“และในช่วงตลอดชีวิตของหนู หนูจะนำพาตระกูลซูก้าวเดินต่อไป ต่อสู้จนกว่าตัวหนูจะตกตายลงขึ้นสู่สรวงสวรรค์”

เสียงของเธอแม้จะค่อยๆ ช้าลง ทว่ากลับมั่นคงมากขึ้น

บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้มแย้ม เผยให้เห็นถึงความโล่งใจ

เขาอ้าปากออกมา แต่ก็นิ่งไปสักพัก รวบรวมกำลัง ก่อนจะหัวเราะออกมาดังๆ และกล่าว “ปู่มองคนไม่ผิดจริงๆ ในรอบยี่สิบปี ทั่วทั้งตระกูลซู มีเพียงหลานเท่านั้นที่ครอบครองเอกลักษณ์ของผู้นำที่แท้จริง”

“เอกลักษณ์หรือคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อร์เอ่ยถาม

“ชาญฉลาด แน่วแน่ กล้าหาญอย่างไร้ที่เปรียบ” ชายชรากล่าวอย่างช้าๆ

“หนูน่ะเหรอ กล้าหาญ?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ลดหัวลงและกล่าว “หนูไม่คิดว่าตัวเองกล้าหาญหรอก ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงไม่จบลงเหมือนในทุกวันนี้”

ชายชรายิ้ม หัวเราะอย่างหนักและกล่าว “ความกล้าหาญมันไม่สามารถมองเห็นกันได้ง่ายๆ หรอกนะ ภายใต้สภาวะปกติน่ะ การกระทำที่แลดูกล้าหาญ แท้จริงแล้วมันเรียกว่าประมาทต่างหาก”

“หลายคนยินดีพยักหน้าหงึกๆ ราวกับไก่จิกเม็ดข้าวเมื่อต้องเผชิญหน้าภายใต้แรงกดดันของชะตากรรม แต่ผู้ที่มีความกล้าหาญ จะคิดหมายเอาชนะความยากลำบากทั้งหมด แม้กระทั่งลบตัวตนในอดีตทิ้งไป เพื่อที่จะได้รับชีวิตใหม่มา”

เขามองดูหลานสาวของตน ราวกับกำลังมองอัญมณีล้ำค่า

“เจ้ามีความกล้าหาญซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้ แต่เจ้าไม่อาจซ่อนมันจากสายตาของปู่ไปได้หรอก”

“คนที่มีคุณสมบัติแบบนี้นี่แหละ จึงจะกล่าวได้ว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของมนุษยชาติ”

“ในแง่ของความสามารถรายบุคคล เจ้าเป็นเพียงคนเดียวในรอบสามสิบปี ของตระกูลซูที่สามารถปลดผนึกธาตุทั้งห้าขั้นสี่ได้ แถมยังเป็นรุ่นเยาว์ที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นอีกด้วย”

“เซี่ยเอ๋อร์ แต่ต้องรู้เอาไว้นะ ว่าเจ้าน่ะมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง”

“ท่านปู่โปรดชี้แนะให้หลานด้วย” ซูเซี่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น และเอ่ยขออย่างจริงจัง

ชายชราส่ายหัว ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพิจารณาว่าสมควรจะพูดมันออกไปอย่างไรดี

เนิ่นนาน เขาถึงจะเอ่ยปาก “บางครั้งปู่ก็คิดว่า เจ้านี่ช่างแตกต่างคนอื่นๆ ในครอบครัวจริงๆ”

“ท่านปู่กำลังหมายถึงอะไร?”

“ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าไม่เคยจะพูดคำโป้ปดใดๆ ออกมาเลย”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ชะงักไป และเอ่ยถาม “ก็แล้วนั่นมันไม่ดีหรือคะ?”

ชายชราเอ่ยตอบ “หลานต้องเข้าใจนะว่า สำหรับเรื่องนี้ การกระทำของเจ้าน่ะมันตรงกันข้ามกับแนวทางของพวกชนชั้นสูง”

“พ่อแม่ของเจ้า เป็นแบบอย่างไม่แตกต่างไปจากชนชั้นสูงทั่วๆ ไป ที่ฟุ้งไปด้วยคำโป้ปด แม้จะให้คำมั่นสัญญา แต่พวกเขาก็จะตัดสินใจในภายหลังอยู่ดี ว่าจะทำตามที่กล่าวหรือไม่ โดยใช้ผลประโยชน์และเกียรติยศที่จะได้รับเป็นที่ตั้ง”

ชายชราเอ่ยต่อว่า “เซี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนฉลาด สิ่งเดียวที่ปู่เป็นห่วงก็คือ เจ้าซื่อสัตย์เกินไป ซึ่งนี่มันจะทำให้เจ้าต้องประสบความสูญเสียในอนาคต”

ซูเซี่ยเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “หนูเข้าใจแล้วท่านปู่”

“อืม ดีแล้วล่ะ ถ้าจัดการเรื่องนี้ได้ ปู่ก็สบายใจแล้ว…ใช่ สบายใจแล้วจริงๆ ปู่รู้สึกว่าตัวเองจะสามารถจากไปได้อย่างไร้ห่วงใดๆ แล้ว”

ซูเซี่ยเอ๋อร์จับมือของชายชรา แต่มิได้เอ่ยคำใดออกไป

ในตอนนั้นเอง บังเกิดเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากภายนอก และทันใดนั้นประตูก็ถูกกระแทกเปิดอย่างแรง

ลูกหลานในตระกูลซูหลายคนเดินเข้ามา รายล้อมรอบเตียงของซูซิงเฉา

โดยไม่รู้ว่าจริงใจหรือเสแสร้ง เวลานี้ใบหน้าของผู้คนทั้งหมดต่างแสดงถึงความเศร้าสลด

ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ จ้าวมณฑลทั้งแปด

นอกเหนือไปจากซูซิงเฉานี่นอนป่วยอยู่บนเตียงแล้ว ณ ขณะนี้ จ้าวมณฑลทั้งเก้าก็ได้มาถึงแล้ว

จ้าวมณฑลทั้งแปดคนเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ บนตัวสวมชุดคลุมสีดำที่ดูเคร่งขรึมและดุดัน

มันคือชุดคลุมในตำนาน

กล่าวกันว่าบนชุดคลุมทั้งหมด มันถูกเติมแต่งไปด้วยดวงดาราและดวงดาราเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนจักรวาลที่แท้จริง ดังนั้นนี่จึงมิใช่แค่เพียงชุดคลุมธรรมดา

ถ้ามันไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วล่ะก็ ไม่เพียงแค่ซูเซี่ยเอ๋อร์ แต่ทุกคนในห้อง คงเข้าไปเฝ้ามองชุดคลุมพวกนั้นอย่างใกล้ชิดไปแล้ว

ในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง เมื่อใดก็ตามดั่งเช่นช่วงเวลานี้ จ้าวมณฑลทั้งแปดจะสวมใส่ชุดคลุม และมายังเตียงของจ้าวมณฑลที่กำลังจะจากไป เพื่อเฝ้ารอคอยเป็นสักขีพยานถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการสืบทอด

นี่คือกฎเหล็กของรัฐบาลกลาง ที่ดำเนินมาแล้วนับร้อยๆ ปี

“สหายซิงเฉา นายตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?” จ้าวมณฑลคนหนึ่งเอ่ยถาม

“ฉันตัดสินใจได้แล้ว...”

ซูซิงเฉาจ้องมองไปยังลูกหลานที่รายล้อมรอบตัวเขา

แม้จะรู้ตัวว่าโอกาสของตนนั้นน้อยนิดขนาดไหน แต่ในสายตาของทุกผู้คน ก็ยังคงปรากฏถึงความกังวลและความปรารถนาอันล้ำลึก

ซูเซิงเหวินก้าวออกมายังเบื้องหน้า และจับมือพ่อของเขา สีหน้าดูโศกเศร้า เฝ้ารอคำประกาศครั้งสุดท้ายของบิดาตน

ทว่าซูซิงเฉากลับมิได้มองมายังเขา ในปากเอ่ยกล่าว “ผู้นำตระกูลซูคนต่อไป ก็คือซูเซี่ยเอ๋อร์”

ฝูงชนทั้งห้องพลันเงียบงัน

และมาดามซูเป็นคนแรกที่กรีดร้องออกมา “ไม่ นี่มันเป็นไปได้ได้ ทำไมท่านถึงข้ามรุ่นของพวกเราไป และเลือกให้เด็กคนนี้เป็นจ้าวมณฑลแทนกันล่ะ?”

ซูเซิงเหวินเผยสีหน้าอันยากจะเชื่อออกมา ปากขมุบขมิบอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่รู้ว่าตนสมควรจะพูดสิ่งใดออกมาดี

“นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณใช่ไหม?” จ้าวมณฑลอีกคนกล่าว

“ใช่แล้ว ต้องเป็นเธอเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาสถานการณ์ปัจจุบันของเก้าตระกูลได้ มีเพียงเธอที่จะทำให้ความพยายามกว่าหลายร้อยปีของพวกเราไม่สูญเปล่า”

สิ้นประโยคเหล่านี้ หากคนที่รับฟังมิได้เข้าใจเรื่องราวใดๆ พวกเขาคงจะคิดเพียงว่าซูซิงเฉากำลังเอ่ยชื่นชมซูเซี่ยเอ๋อร์อยู่

อย่างไรก็ตาม อีกแปดจ้าวมณฑลกลับทำแค่เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ

พวกเขาหันมามองหน้ากันและพยักหน้าให้อีกฝ่าย

“พวกเราเคารพในการตัดสินใจของคุณ” ทั้งหมดกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

ชายชราเผยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นออกมา และในที่สุดก็มองไปยังลูกชายของเขาที่อยู่ใกล้ๆ และรีดพลังเอ่ยปากออกมา “ความสามารถของเจ้ามันยังไม่เพียงพอ หากได้รับสืบทอดตำแหน่งจ้าวมณฑลไป มันจะไม่เป็นการดี แต่ตอนนี้เจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการได้ ขอจงข้ามผ่านเรื่องนี้ไป และใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างเป็นสุข”

แล้วเขาก็หันไปมองซูเซี่ยเอ๋อร์ กวักมือเรียก “เซี่ยเอ๋อร์ มานี่สิ”

ซูเซี่ยเอ๋อร์เดินไปจับมืออีกฝ่ายเอาไว้

ทันใดนั้นเอง โดยที่ไม่มีใครจะทันได้มองเห็น ประกายไฟฟ้าพลันบังเกิดขึ้นบนมือของซูซิงเฉา มันถูกส่งผ่านเข้าไปในมือของซูเซี่ยเอ๋อร์

ประกายไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกายของซูเซี่ยเอ๋อร์ และหายไปอย่างรวดเร็ว

สมาชิกตระกูลซูในห้อง ไม่มีใครทราบถึงเรื่องนี้ รวมไปถึงซูเซี่ยเอ๋อร์ ก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เช่นกัน

จ้าวมณฑลอีกแปดคนที่กำลังจ้องมอง เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน

บางคนเริ่มถอนหายใจออกมา

ขณะที่บางคนเผยสีหน้าซับซ้อน งึมงำเสียงต่ำ

บางคนหันหน้าหนีไปอีกทางเบนสายตามองออกไปนอกประตู

บางคนก็จ้องมองมายังซูเซี่ยเอ๋อร์อย่างเงียบๆ มิได้เอ่ยคำใดออกมา

มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้รับรู้ว่าการสืบทอดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

และหากไร้ซึ่งการสนับสนุนจากเจ้าสิ่งนั้น ตาแก่ซูก็คงจะตายลงในไม่ช้า

“ตระกูลซู ขอฝากฝังให้เจ้า…” ในที่สุดชายชราก็เอ่ยปากขึ้น

ซูเซี่ยเอ๋อร์มิได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแค่เฝ้ามองชายชราและพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ชายชรายิ้ม สองตาค่อยๆ หุบลง ความสงบบังเกิดขึ้นในจิตใจ

เขาผ่อนลมหายใจยาว ก่อนที่ร่างกายจะไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป

ซูเซี่ยเอ๋อร์มองไปยังร่างของชายชรา หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงเป็นสองสาย

ท่ามกลางความว่างเปล่า ชุดคลุมดำพลันปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ พาดทับร่างของเธอ

บนชุดคลุม มันคือดวงดาราอันกว้างใหญ่

ซูเซี่ยเอ๋อร์สวมชุดคลุม และอารมณ์ของทั้งคนทั้งร่างก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

บัดนี้ตัวเธอแลดูสูงส่ง ลึกลับ และทรงอำนาจไม่ด้อยไปกว่าจ้าวมณฑลทั้งแปดคนอื่นๆ เลย

“ซูเซี่ยเอ๋อร์” จ้าวมณฑลทั้งแปดเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

เธอหันหน้าไปมองพวกเขา

“นับจากนี้ไป เจ้าจะได้เป็นจ้าวมณฑลแห่งตระกูลซู”

“และในตอนนี้ เจ้าต้องออกไปกับพวกเรา ไปยังบั้นปลายของโลก เพื่อบรรลุพิธีกรรมสืบทอดตำแหน่งของเก้าตระกูลใหญ่ให้เสร็จสมบูรณ์”

“ระยะทางมันค่อนข้างไกล พวกเราต้องรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

พิธีกรรมสืบทอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

พิธีกรรมดังกล่าว เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราในประวัติศาสตร์ของเก้าตระกูล และมีเพียงจ้าวมณฑลเท่านั้นที่จะทราบถึงเนื้อหาของมัน

ใครก็ตามที่คิดสอดรู้สอดเห็น จะต้องถูกฆ่าตายโดยไร้ซึ่งความปรานี

ซูเซี่ยเอ๋อร์หันไปมองจ้าวมณฑลทั้งแปด หยาดน้ำตาค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ

“กรุณารอสักครู่ หนูยังต้องการที่จะบอกลาท่านปู่ตามลำพัง”

จ้าวมณฑลทั้งแปดหันมามองหน้ากัน ก่อนจะสลับไปมองศพของชายชราอีกครั้ง สักพักก็เริ่มเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา

“ใช้เวลาให้คุ้มค่าล่ะ พวกเราจะรอเธออยู่ข้างนอก”

“ขอบพระคุณมาก หนูจะไม่ปล่อยให้พวกคุณต้องรอนานอย่างแน่นอน” ซูเซี่ยเอ๋อร์พยักหน้า

“ได้ยินแบบนั้นก็ดี เอาล่ะ คนอื่นๆ ด้วย ออกไปข้างนอกได้แล้ว” จ้าวมณฑลกล่าว

ผู้คนในตระกูลซู แต่ละคนบังเกิดความคิดอันหลากหลาย แต่พวกมันก็ไม่มีเวลาที่จะมัวคิด และถูกขับไล่ออกไปโดยจ้าวมณฑลทั้งแปด

ประตูถูกปิดลงจากด้านนอก

ภายในห้องผู้ป่วย ความเงียบสงบกลับคืนมาอีกครั้ง

ซูเวี่ยเอ๋อมองไปยังใบหน้าของชายชรา ปาดน้ำตาในมุมหางตาของเธอ

“ท่านปู่ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา และขอบคุณที่มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่หนู”

“มีบางอย่างที่หนูจะต้องบอกปู่อยู่นะ”

เธอเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวล เอื้อมมือออกไปจัดผมที่ยุ่งกระเซอะกระเซิงของชายชรา และจัดปกคอเสื้อของเขาให้เรียบร้อย

ผ่านไปสักพัก เด็กสาวจึงเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง

“ในตลอดชีวิต หนูไม่เคยโกหกท่านปู่มาก่อนเลย…ยกเว้นเพียงแค่วันนี้”

“ใช่แล้วล่ะ หนูไม่คิดจะปกป้องตระกูลซู”

“เพราะหนูรังเกียจทุกคนที่นี่ พวกเขาทั้งหมดมีชีวิตอยู่แต่ในความมืดมิดและโสมม นอกจากผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับแล้ว ไม่มีอะไรในโลกที่พวกเขาคิดจะให้ความสนใจอีก”

เธอก้มลงมองชายชรา

“ท่านปู่บอกว่าหนูมีความกล้าหาญที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่าใช่ไหม ในตอนนี้ พอหนูได้มาคิดเกี่ยวกับมัน หนูว่าท่านปู่พูดถูกแล้วล่ะ”

ซูเซี่ยเอ๋อร์เลียริมฝีปากตน แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“หนูจะไม่มีวันยอมให้ใครมาควบคุมชะตากรรมของตน”

“เรื่องนี้หนูขอให้คำมั่นสัญญา”

เธอลุกขึ้นยืน โบกสะบัดชุดคลุมดวงดาราอันกว้างใหญ่ และผลักประตูเดินออกไป

...........................................................