ตอนที่ 173 ไม่แตกต่างกัน
คิ้วของซางหยิงฮ่าวขมวดเข้าหากัน “ไม่ใช่แบบนั้น ผมไหว้ล่ะ กินอาหารไปเงียบๆ เสียงคุณดังเกินไปจนผมชักจะเริ่มปวดหัวแล้ว”
“จุ๊ๆ ทำไมฉันถึงต้องมาทำตาที่แกพูดด้วยกันนะ”
เหลียวฮังหุบปากลง สายตายังคงเพ่งมองเย่เฟย์หยูขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ผีดิบนักฆ่านี่ยังกินข้าวกันกับเขาด้วยหรือ?”
เย่เฟย์หยูตอบแบบไม่เสียเวลาคิด “อาหารพวกนี้มิอาจเติมเต็มความหิวโหยของฉันได้ สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันอิ่มท้องคือการฆ่าสังหารเท่านั้น”
“แต่ฉันก็ยังสามารถลิ้มรสของมันได้อยู่” เขาวางช้อนส้อมลง และหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก “ฉันสามารถกินสิ่งเหล่านี้ได้ พวกมันอร่อยมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยได้กินพวกมันมาก่อนเลย”
“แกนี่เป็นวัยรุ่นที่น่าสนใจไม่เลวเลยนะเจ้าหนุ่ม” เหลียวฮังเอ่ยปากพลางมองตาเขา “ฉันชื่นชมคนที่แบบแกจริงๆ หลังจากนี้ไป สนใจที่จะมาเป็นผู้ติดตามของฉันหรือเปล่า?”
เย่เฟย์หยู “คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอ”
“ผายลมเถอะ! ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งแห่งรัฐบาลกลางนะ จะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอได้อย่างไร?”
เย่เฟย์หยูเหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและเผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา
ในเวลานั้นเอง ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นบนแขนของเขา พร้อมกับเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ดังขึ้น
“ค้นพบเป้าหมาย ห่างออกไปสามร้อยห้าสิบเจ็ดกิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเคลื่อนที่เข้าสู่เมืองหลวง”
พอได้ฟัง เย่เฟย์หยูก็เอื้อมมือขึ้นไปคว้าจับกุ้งมังกรตัวใหญ่ขึ้นมาจากโต๊ะ ลุกขึ้นและเตรียมเดินจากไป
วินาทีต่อมา กระดูกเรียวแหลมคู่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาบนแผ่นหลังเขา
“นั่นแกคิดจะทำอะไร...” เหลียวฮังมองไปยังกระดูกเรียวแหลมที่ราวกับเดือยของสัตว์ร้าย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความกังวลใจ
“ไปเติมเต็มความรู้สึกหิวโหย”
ขณะกล่าว เย่เฟย์หยูก็เดินมาถึงหน้าต่าง ก่อนจะบังเกิดเสียงหวีดแหลมของอากาศที่เสียดสี ทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีแดงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เย่เฟย์หยูออกไปรับมือกับใครงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถาม
“ผีดิบนักฆ่าที่สามารถแพร่กระจายโรคระบาดได้” เทพธิดาเอ่ยตอบ
“อย่างงั้นหรือ นั่นสินะ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดการกับมัน ไม่อย่างงั้นคงจะมีผู้คนล้มตายมากขึ้นเรื่อยๆ” กู่ฉิงซานกล่าวสนับสนุน เขาก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ แล้วตอนนี้ พวกเราจะไปที่ไหนกันดี” เทพธิดาเอ่ยถามอย่างกะทันหัน
“ไปยังที่อยู่ปัจจุบันของซางหยิงฮ่าวนั่นแหละ แต่ระหว่างทาง ฉันมีเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากจะต้องเอ่ยถามจากคุณ”
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติเชิญกล่าว”
กู่ฉิงซานเริ่มแสดงท่าทีตึงเครียด “เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับสถานที่ที่ฝนพวกนี้โปรยปรายลงมาบ้างไหม?”
...
อีกด้านหนึ่ง
เย่เฟย์หยูจากบนท้องฟ้าในมุมสูง ลดระดับลง ทะลุผ่านชั้นเมฆทะมึน และในที่สุดก็ร่อนลงบนพื้นที่เปิดโล่งที่รกร้าง
ปรากฏร่างของโครงกระดูกที่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษเนื้อเน่าเปื่อย และปลดปล่อยหมอกสีเหลืองจางๆ กระจายออกมาโดยรอบ กำลังเคลื่อนที่ไปยังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อโครงกระดูกเห็นเขา มันก็หยุดฝีเท้าลง
มันเอ่ยด้วยเสียงฟ่อๆ คล้ายเสียงของงู “ฉันก็มอบเมืองให้แกไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมหลังจากนั้นถึงได้มารังควานฉันอีก?”
“เมืองที่ผู้คนเกือบทั้งหมดถูกแกฆ่าตายไปแล้วนั่นน่ะหรือ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรสำหรับฉันอีกเล่า?” เย่เฟย์หยูกล่าว
น้ำเสียงแผ่วเบาของโครงกระดูกแปรเปลี่ยนเป็นคมชัด “ฉันก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว ตอนนี้แกยังต้องการอะไรอีก?”
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมแกถึงต้องมาไล่ตามฉัน” มันเอ่ยต่อ “โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเฝ้ารอให้พวกเราฆ่าสังหาร แกกับฉันก็เป็นพวกกลายพันธุ์ระดับสูงคล้ายคลึงกัน ไม่จำเป็นต้องมาฆ่าแกงกันเองเลย”
“คล้ายคลึงกัน? ฆ่ากันเองอย่างงั้นหรือ?”
เย่เฟย์หยูเอียงคอ และโยนกุ้งมังกรในมือของเขาออกไป
โครงกระดูกคว้าจับกุ้งมังกรตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อก้มลงมอง เขาก็ขว้างมันลงบนพื้นทันที
“นี่แกคิดจะทำอะไร ถึงได้โยนเจ้าขยะไร้ประโยชน์แบบนี้มาให้ฉัน” มันเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เย่เฟย์หยูมองไปยังกุ้งมังกรที่แหลกเหลวบนพื้นดินด้วยความรู้สึกเสียดาย “อาหารอร่อยๆ แบบนั้น แต่แกกลับไม่สนใจมันเลย”
เขายกมือขึ้น
ปรากฏประกายเลือดสีแดงเข้มขึ้นอันไร้ที่สิ้นสุดในฝ่ามือของเขา กำลังเต้นระบำราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันอย่างที่แกพูดนะ”
ทันใดนั้น เดือยแหลมก็กระพือขึ้นอย่างกะทันหัน ส่งร่างของเย่เฟย์หยูที่กำลังยิ้มกริ่มพุ่งตัวออกไปอย่างแรง!
...
บนรถเหินเวหาขนาดเล็ก
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ คุณกำลังจะหมายถึงสิ่งใดกันแน่?”
“ฉันหมายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้”
“นอกเหนือไปจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ยังไม่พบเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติใดๆ”
“ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น…” กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำ
ระบบเทพสงครามจะไม่มีทางลวงหลอกผู้คน ในเมื่อมันบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรงในห้วงเวลาและมิติ มันย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ว่าแต่สิ่งนั้นคืออะไรกันนะ?
“น้ำฝนอย่างงั้นหรือ...” กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ
และทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากออกมา “เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยแสดงแผนภาพบนจอม่านแสงว่ามีจุดไหนบ้างที่ฝนกำลังตกลงมาให้ฉันดูหน่อย”
“โปรดรอสักครู่ ฉันจะต้องใช้เวลาเจ็ดวินาทีในการเชื่อมต่อและรับสัญญาณดาวเทียมพยากรณ์อากาศจากทั่วทุกมุมโลก” เทพธิดากล่าว
ภาพบนจอม่านแสงเกิดการเปลี่ยนแปลง และแสดงให้เห็นถึงแผนที่โลกปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“สถานที่ที่ปรากฏเป็นแถบสีแดง จะบ่งชี้ว่ามีสภาพอากาศฝนตกหนัก”
และต่อมา บนแผนที่โลกเกือบทั้งหมดก็ถูกปกคลุมไปด้วยแถบสีแดง
ส่วนต่างๆ บนแผนที่ นอกเหนือไปจากมหาสมุทร เกือบทุกจุดล้วนเป็นพื้นที่แถบสีแดงทั้งสิ้น
มีเพียงแค่สถานที่ที่เมฆหมอกไม่สามารถเข้าถึงได้เท่านั้น ที่สภาพอากาศยังคงสดใสอยู่
จ้องมองไปยังแถบสีแดงที่กำลังส่องสว่าง บนใบหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏถึงความตึงเครียดอย่างชัดเจน
ฝนได้ตกลงมายังเฉพาะสถานที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่เท่านั้น นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับมัน
น่าจะแน่นอนแล้ว ว่าฝนนี้คือการบ่งบอกถึงวันสิ้นโลกที่แท้จริง
เนื่องเพราะนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการแทรกซึมผ่านเข้ามาในโลกโดยการใช้สภาพภูมิอากาศ และค่อยๆ ปลูกฝังแรงผลักดันจากภายนอกอย่างช้าๆ
ฝนนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการแทรกซึมสิ่งต่างๆ มากมายลงไปยังผืนโลกเบื้องล่าง
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “แจ้งไปยังหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาและชีวเคมี รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ให้เริ่มวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำฝนอย่างเร่งด่วนที่สุด”
“รับทราบ จะรีบดำเนินการทันที”
จอม่านแสงมืดดับลง และแผนที่โลกก็หายไปจากสายตา
กู่ฉิงซานยังคงขบคิดเกี่ยวกับมัน ปากเอ่ยถาม “แล้วในเรื่องอุณหภูมิจากทั่วทุกมุมโลก มีการเปลี่ยนแปลงบ้างไหม?”
เทพธิดากงเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ไม่พบถึงความผันผวนหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน”
กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจบรรเทาความตึงเครียดลงเล็กน้อย เอ่ยงึมงำ “ถึงแม้ว่าฝนจะตก แต่ก็ยังไม่ใช่อย่างที่คิด...”
“เอาเถอะ ตอนนี้ก็มุ่งความสนใจไปกับเรื่องของฝนที่ตกลงมาอย่างผิดปกติไปก่อนก็แล้วกัน จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางชีวเคมีออกมา หลังจากนั้นช่วยแจ้งให้ฉันทราบด้วยล่ะ”
“รับทราบแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “นอกจากนี้ จากบันทึกข้อความ ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานได้รับการร้องขอให้ไปทำการเข้าร่วมประชุม เป็นจำนวนกว่าห้าฉบับแล้ว”
“ใครเป็นคนร้องขอ?”
“ท่านประธานาธิบดี”
“ฉันไม่...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ตอนนี้ ฉันพึ่งได้รับคำร้องขอของเขามาเป็นที่หก”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ…พวกเราอยู่ไกลแค่ไหนจากที่ประชุม?”
“เขาอยู่ในฐานทัพอากาศส่วนปีกขวาของเมือง ห่างจากพวกเราไปหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามกิโลเมตร”
“คุณบอกเขาไปว่า พวกเรากำลังจะรีบไปทันที” กู่ฉิงซานกล่าว
“ทราบแล้ว”
สำหรับท่านประธานาธิบดี กู่ฉิงซานก็ยังคงชื่นชมเขาและประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ
ท่านประธานาธิบดีได้ทำงานเพื่อผู้คนในรัฐบาลกลางอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตนี้ เขาก็ยังแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทอย่างหนัก แม้กระทั่งกู่ฉิงซานก็ยังเกิดความเคารพ
รถเหินเวหาขนาดเล็ก เลี้ยวโค้งเป็นครึ่งวงกลม และตรงไปยังอีกทิศทางหนึ่งทันที
ณ สถานที่ประชุม ภายในสำนักงาน
กู่ฉิงซานเดินผ่านการตรวจตราอย่างเข้มงวดหลายต่อหลายชั้น ก่อนจะเข้าไปยังสำนักงาน และพบกับบุคลากรหลายคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา แต่ละคนเอ่ยหารือกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
ส่วนท่านประธานาธิบดี นั่งแยกออกไปอยู่หลังโต๊ะไม้มะฮอกกานีสีแดงขนาดใหญ่
เขาขยับแว่นตา ก้มหน้าลงเล็กน้อย สองแขนวางอยู่บนโต๊ะ กำลังอ่านเอกสารบางอย่างในมือ และบ่อยครั้งที่ยกปากกาขึ้นมาขีดเขียนมัน
กู่ฉิงซานสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใบหน้าของประธานาธิบดีดูจะแก่ขึ้นยิ่งกว่าเดิมอยู่หลายส่วน
แผ่นหลังของเขาที่มักจะเที่ยงตรงเหมือนดั่งนิสัย บัดนี้โค้งงอ ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
“ท่านประธานาธิบดี ผมมาถึงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ประธานาธิบดีเงยหน้าขึ้น เขาจึงตระหนักได้ถึงการมาเยือนของกู่ฉิงซาน
“ในที่สุดเธอมาก็เสียที” เขายืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม และถอดแว่นตาวางลงบนโต๊ะ
“คุณดูเหมือนว่าจะมีเรื่องเร่งด่วน พอได้ข่าวผมก็เลยรีบมาทันที ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่ไม่ได้ตอบรับตั้งแต่ครั้งแรกนะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่ มันเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ และฉันคิดว่าสมควรจะฟังความคิดเห็นของเธอเสียก่อน” ประธานาธิบดีเชคแฮนเขาและกล่าว
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ประธานาธิบดีเบนสายตาไปยังเหล่าบุคลากรคนอื่นๆ “พวกคุณออกไปก่อน ฉันมีเรื่องบางอย่างต้องการจะพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว‘
เจ้าหน้าที่หลายคนลุกขึ้น หันไปผงกหัวให้กู่ฉิงซาน และพากันเดินออกไป
เมื่อประตูถูกปิดลง
สีหน้าของประธานาธิบดีก็คลายลง ก่อนจะหันกลับมา
“จะรับกาแฟหรือชาดีล่ะ?” เขาถาม
“ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากหรือกครับ ผมสามารถทำมันด้วยตัวเองได้”
“ไม่เอาหน่า นี่มันเรื่องเล็กน้อย ถือว่าเป็นการชดเชยที่ฉันบอกว่าจะไปกินข้าวกับเธอ แต่ก็ยังหาเวลาไม่ได้เสียทีก็แล้วกัน ตอนนี้เอาเป็นมัดจำโดยการดื่มอะไรกันก่อนสักเล็กๆ น้อยๆ ฉันเอาชานะ แล้วเธอล่ะ”
“ถ้างั้นผมขอเป็นชาเหมือนกันครับ”
“ได้เลย”
ทั้งสองนั่งลง ยกชาขึ้นมาจิบ
“เรื่องที่เธอกำลังทำ ฉันพอจะรู้มาบ้างแล้ว” ประธานาธิบดีกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้า
“บางทีจากทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง ฉันคงจะเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่มีผู้ร่วมกันใช้ตำแหน่งผู้นำสูงสุด”
“ขอโทษครับที่ทำอะไรไม่ปรึกษา ผม...”
“ไม่ๆๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ฉันไม่ได้หมายความในแง่ที่มันไม่ดี”
ประธานาธิบดีเอ่ยต่อ “มันเป็นเรื่องดีซะอีก เพราะแบบนั้น มันจะทำให้ฉันไม่รู้สึกว่าตนเองต้องสู้อยู่อย่างเดียวดาย”
“เอาล่ะ เรื่องอำนาจการตัดสินใจสูงสุดน่ะฉันอนุมัติให้เธอกระทำการได้เลยด้วยตนเอง บอกตรงๆ นะว่าถึงตอนแรกฉันจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ภายในใจลึกๆ ฉันก็หวังไว้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน”
.........................................