webnovel

0105 อาหาร

ตอนที่ 105 อาหาร 

“การปลุกสกิลทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต้มพลังวิญญาณที่เหลือ ห้าร้อยสามสิบส่วนยี่สิบ”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป 

ถังที่เต็มไปด้วยอาหารวิญญาณก็ถูกกู่ฉิงซานกินจนเกลี้ยง 

เขาก้มลงมองถังไม้ใบใหญ่ที่ว่างเปล่าและอดไม่ได้ที่จะคิดออกมา 

กินเข้าไปเยอะขนาดนี้ตัวฉันจะไม่กลายเป็นเม็ดข้าวแบบเดียวกับมันเลยหรือ? 

ตอนแรกเขารู้สึกประหลาดใจ จากนั้นพอลองคิดดูดีๆ จึงเข้าใจในที่สุด 

ผู้ฝึกยุทธธรรมดา แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถกินได้มากมายขนาดนี้ 

มันจะต้องเป็นฉินเซี่ยวโหลวที่ปรุงส่วนผสมอะไรบางอย่างลงไปอย่างแน่นอน 

สามารถทำให้คนคนหนึ่งสวาปามอาหารวิญญาณเต็มถังไม้ใหญ่จนหมดได้โดยที่เขาไม่ทันจะรู้สึกตัว ฝีมือในการปรุงอาหารวิญญาณของเขาช่างยอดเยี่ยมจนเกินบรรยายจริงๆ 

กู่ฉิงซานค่อนข้างจะชื่นชมอีกฝ่ายอย่างแท้จริง 

“ศิษย์น้องสาม” 

ห่านขาวยืนอยู่เบื้องหน้าประตูทางเข้าห้องโถง และกำลังโบกปีกข้างหนึ่งไปมาเพื่อเรียกเขา 

“สามารถออกมาได้หรือไม่ ออกมาขยับแข้งขาเพื่อปรับตัวให้เข้ากับขอบเขตใหม่” 

“ตกลง” 

กู่ฉิงซายเอ่ยตอบกลับด้วยความยินดี 

เขาเดินออกไปและก็พบกับซิวซิวที่กำลังนั่งอยู่ใต้กำแพงวัง ในมือของเธอถือชามถ้วยใหญ่ ขณะที่กำลังยกซดมันด้วยปากเล็กๆ 

ฉินเซี่ยวโหลวนั่งอยู่ตรงบริเวณพื้นที่เปิดโล่งในทางเข้าวัง ในมือถือกระบี่ยาว และกำลังร่ายรำไปตามสายลมด้วยท่วงท่าที่เปล่งประกายคล้ายพยัคฆ์ 

“ที่แท้ศิษย์พี่สองก็เป็นผู้ใช้กระบี่” กู่ฉิงซานกล่าว 

ใบหน้าของฉินเซี่ยวโหลวเริ่มแดงซ่าน ทว่าเขาก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใด 

ห่านขาวจึงถือโอกาสนี้กล่าวอย่างเงียบๆ “แท้จริงแล้วเมื่อก่อนเขาเป็นผู้ชมชอบดาบ ทว่าในช่วงการทดสอบประจำปี เขามีโอกาสได้พบเจอกับหนิงเยว่ฉาน เลยถูกเธอทุบตีอย่างกะทันหัน” 

ห่านขาวส่งเสียงฮึออกมา 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงคำกล่าวที่ครั้งหนึ่งกงซุนซีเคยได้กล่าวเอาไว้ 

“...พวกผู้ฝึกดาบเหล่านั้นชอบโอ้อวดสำแดงพลังของตนจนเกินควร นางคันไม้คันมือทนไม่ไหว จนต้องออกไปทุบตีพวกเขา” 

“และนางก็มักจะมอบโอกาสให้แก่อีกฝ่ายเสมอ ทว่านั่นต้องแลกมาด้วยการคุกเข่าอ้อนวอน เมื่อนั้นนางจึงจะหยุด” 

และกู่ฉิงซานสามารถจินตนาการถึงฉากนั้นได้อย่างสมบูรณ์ 

กู่ฉิงซานหันไปมองห่านขาวและพบว่าห่านขาวก็กำลังมองมายังเขาอยู่เช่นกัน 

หนึ่งคนหนึ่งห่านสบตากันและกัน ในแววตาของแต่ละเต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง 

“นี่...พอทราบข่าว ท่านอาจารย์จะต้องออกไปแก้แค้นคืนให้แก่ศิษย์พี่สองใช่หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“ไม่แก้แค้น นอกจากนี้ยังมอบน้ำยาวิญญาณอันแสนมีค่าและหาได้ยากยิ่งแก่หนิงเยว่ฉานอีกด้วย” ห่านกล่าว 

พรวด! 

กู่ฉิงซานหลุดขำออกมา และพยายามนึกภาพตามอย่างจริงจัง 

ทว่าหากดูจากพฤติกรรมต่างๆ ของฉินเซี่ยวโหลวแล้ว การที่เธอจะเลือกยืนอยู่ข้างหนิงเยว่ฉานไม่นับว่าน่าแปลกใจใดๆ 

“เอาล่ะๆ ศิษย์น้อง” ฉินเซี่ยวโหลวโบกกระบี่ยาวไปมา “วันนี้ข้าในฐานะศิษย์พี่ จะอยู่ช่วยสอนสั่งเจ้าให้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับขอบเขตใหม่เอง” 

ระหว่างกล่าว เขาก็สยายผมยาวที่ดูทรงเสน่ห์ ร่ายรำกระบี่ยาวออกมาถึงเจ็ดชุด ทำเอาซิวซิวเก็บความรำคาญเอาไว้ไม่ได้จนต้อง แหวะ ออกมาคำหนึ่ง 

“ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่สอง” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างลังเล “ว่าแต่ศิษย์พี่อยู่ในขอบเขตใดกัน?” 

ห่านข่าวกล่าวแทรก “เขาและหนิงเยว่ฉานเป็นนักบุญเฉกเช่นเดียวกัน ทว่าพื้นฐานวรยุทธกลับห่างไกลกันลิบ ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นกลาง” 

ส่วนหนิงเยว่ฉาน เธออยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว 

ฉินเซี่ยวโหลวจิกสายตาไปยังห่านขาวครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าว “หนิงเยว่ฉานเป็นพวกที่มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาด ส่วนข้านั้นเป็นเพียงคนปกติธรรมดาทั่วไป” 

“ปกติกระนั้นหรือ นั่งสมาธิได้เพียงหนึ่งส่วนแปดชั่วยามก็สัปหงก ฝึกฝนเพลงกระบี่ได้ไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามก็บ่นว่าเหนื่อย มีเวลาทั้งวันแต่กลับใช้ไปในการฝึกฝนแค่เพียงครึ่ง อีกครึ่งไม่กินก็นอน นี่เจ้ายังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ฝึกยุทธอีกหรือ?” ห่านขาวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว 

“นั่นก็เพราะข้า...ข้ามัวแต่มุ่งเน้นสมาธิไปกับการฝึกหกศิลป์อย่างไรล่ะ” เมื่อไม่อาจโต้แย้งได้ เขาจึงเดินตรงมายังกู่ฉิงซานและกล่าว “มาเถิดศิษย์น้อง ลองจัดมาสักสองกระบวนท่าซิ” 

“ทราบแล้ว” กู่ฉิงซานเรียกดาบพิภพออกมาด้วยความสุข 

ฉินเซี่ยวโหลวยกกระบี่ขึ้นป้องกันเอี้ยวตัวไปด้านข้างและกล่าว “ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์น้อง ข้าจะให้เจ้าเป็นคนเริ่มลงมือโจมตีก่อนในกระบวนท่าแรก” 

“เช่นนั้นไม่ขอขัดศรัทธา” กู่ฉิงซานกระชับดาบแม่นมั่น และโถมโจมตีไปยังเบื้องหน้า 

การโจมตีของดาบแรกดูธรรมดายิ่ง และความเร็วของมันก็ไม่มากเกินไป เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธสามารถต้านทานได้ 

นี่มันเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวรยุทธระหว่างคนในนิกายของตน ดังนั้นจึงจำต้องรักษามารยาทเอาไว้ 

ในนิกาย หากเรามัวแต่เชิดหน้าไม่สนใจฟ้าดิน ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็จะไม่เห็นหัวคุณ ทว่าหากคุณทำดีกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง พวกเขาก็จะให้เกียรติคุณ คอยช่วยเหลือไม่จากไปไหน หากกู่ฉิงซานลงมือเต็มกำลังแบบไม่ไว้หน้าศิษย์พี่ แล้วต่อไปในอนาคตเขาจะอยู่ร่วมกันได้เช่นไร? 

“ต้องอย่างนั้น เข้ามาเลย!” ฉินเซี่ยวโหลวมองไปยังกระบวนท่าดังกล่าว ก่อนจะพยักหน้าและวาดกระบี่ขาวออกไปต้อนรับ 

‘เพลงกระบี่แยกสะบั้น!’ 

ปง...! 

“อ๊า” 

บนท้องฟ้า ปรากฏเสียงกรีดร้องลอยตามลงมา 

ฉินเซี่ยวโหลวถูกกวาดกระเด็นออกไปด้วยคมดาบนี้ ก่อนจะข้ามผ่านไปยังหลังกำแพงวังที่สูงลิบ  ลอยไกลออกไปในท้องฟ้า เหลือทิ้งไว้เพียงจุดสีดำและหายวับไปไม่อาจมองเห็นได้อีกเลย 

กู่ฉิงซานชะงักงัน 

เขารีบหันไปทางห่านขาวและเอ่ยอธิบาย “ข้ามิได้ใช้กระบวนท่าใดๆ เลย แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ยังไม่ได้ใช้” 

พอได้ฟังห่านขาวก็หัวเราะ มันกระพือปีกพับๆ และเอ่ยกล่าว “นั่นเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ามิสังเกตหรือ ยามนี้เจ้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่แล้ว ดังนั้นดาบพิภพจึงได้ปลดพลังส่วนหนึ่งของมันที่ถูกกักเก็บไว้ออกมา เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิเจ้าได้” 

ห่านขาว “โดยปกติแล้วศิษย์พี่สองของเจ้ามักจะใช้เวลาฝึกฝนไปกับการปรุงยา ส่วนเทคนิคกระบี่นั้น...นี่คงนับว่าเป็นครั้งที่ห้ากระมังที่เขาดูจะตั้งใจฝึกฝนมัน ” 

ใบหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏเส้นเลือดปูดโปน 

นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ขอบเขตระดับก่อตั้งสมควรจะทำไม่ใช่หรือไร 

ศิษย์พี่เซี่ยวโหลวจำต้องฝึกฝนอย่างอื่นเสียบ้าง จะมาอ้างว่าตนมุ่งเน้นฝึกฝนอยู่กับหกศิลป์ไม่ได้หรอกนะ 

หนึ่งส่วนแปดชั่วยามต่อมา 

ฉินเซี่ยวโหลวทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น ใบหน้าเขาบวมเป่งจมูกเต็มไปด้วยเลือด ทั่วทั้งใบหน้าบ่งบอกถึงความหงุดหงิดใจ 

กู่ฉิงซานถือดาบพิภพในมือ และใช้ออกด้วยท่วงท่าต่างๆ ราวกับกำลังร่ายรำอย่างช้าๆ 

“ที่แท้หลังจากที่ทะลวงฝ่ามายังขอบเขตใหม่ บัดนี้ฉิงซานก็สามารถเรียกความแข็งแกร่งของดาบพิภพให้มาอยู่ที่หกหมื่นจินต่อแรงกระแทกแล้ว” ในปากฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยงึมงำ 

ห่านขาวยืนอยู่ข้างๆ ได้เอ่ยออกมา “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับพลังวิญญาณและดาบพิภพ จากนั้นดาบพิภพก็จะได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เจ้าคิด รับรู้ถึงห้วงอารมณ์ของเจ้า” 

“ทราบแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยรับคำหนึ่ง ในมือควงสะบัดดาบพิภพและเริ่มต้นฝึกฝนกระบวนท่าดาบ 

เมื่อใดก็ตามที่เขาร่ายรำดาบ คลื่นความทรงจำก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาทีละน้อย 

ยิ่งร่ายรำดาบได้รวดเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ในจิตใจของเขาก็ยิ่งย้อนระลึก และรับรู้ได้ถึงวิถีดาบได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น ภาพของพวกมัน ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับเข้ามาในจิตใจทีละน้อยๆ 

ในขณะนี้ ความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

เขาจดจำได้ว่า ในชีวิตก่อนหน้า ตลอดช่วงทั้งเจ็ดปีแรก เขาเอาแต่ฝึกฝนดาบ ฝึกฝนมันอย่างหนักราวกับปีศาจร้าย จนสุดท้ายในหัวใจของเขาก็นึกคิดถึงได้เพียงแต่เรื่องเกี่ยวกับดาบ 

ในวันหนึ่ง ขณะที่เขาต่อสู้ในแนวหน้า ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หันไปเห็นนักพรตเป่ยหยวนและสามมารนักปราชญ์พุ่งเข้าปะทะกัน 

ไม่ว่าเผ่ามารจะใช้ออกด้วยกลวิธีใด นักพรตเป่ยหยวนกลับเพียงแค่ใช้ออกด้วยหนึ่งกระบวนท่ารับมือกับศัตรูเบื้องหน้าเท่านั้น 

เพียงมอง กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงความเที่ยงแท้ของเทคนิคดาบ 

สุดท้ายแล้วเขาจึงได้ข้อสรุปว่า เทคนิคดาบสุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงการขยับดาบที่เร็วขึ้น หรือช้าลง เบาลง หรือหนักขึ้น เพียงเท่านั้น 

นั่นคือวันที่เขาได้ตระหนักถึงเจตจำนงที่แท้จริงของดาบของเขา 

ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ โดดเด่นขึ้นทีละขั้น ปีนป่ายขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด จนสามารถคว้าตำแหน่งนักดาบนิรันดร์ได้สำเร็จ 

และในโลกใบนี้ ด้วยการที่เขามีระบบซึ่งสามารถปลุกเทคนิคดาบขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ความก้าวหน้าของกู่ฉิงซานสามารถอธิบายได้ว่าฝึกฝนวันหนึ่ง เทียบเท่าเดินทางไปได้พันลี้! 

ห่านขาวจ้องมอง และจู่ๆ สองตาก็หรี่แคบลง 

มันเอ่ยพึมพำอย่างแผ่วเบา “สกิลดาบกลับมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นี่มันดูคล้ายพรสวรรค์ในหกศิลป์ของฉินเซี่ยวโหลวอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วศิษย์ผู้นี้จะถือกำเนิดมาเพื่อใช้ดาบจริงๆ” 

เมื่อถึงช่วงบ่าย ฉินเซี่ยวโหลวในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหว เขาต้องกระโดดออกไปต่อสู้แลกเปลี่ยนวรยุทธกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง เพื่อกู้ศักดิ์ศรีให้แก่ตนเอง 

ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์พี่ หากพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือศิษย์น้อง แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน 

ยิ่งไปกว่านั้น กู่ฉิงซานเองก็พึ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้ง ขั้นวรยุทธด้อยยิ่งกว่าเขา หากเซี่ยวโหลวยังไม่อาจเอาชนะได้ มันคงจะน่าอัปยศเกินไป 

หลังจากที่แลกเปลี่ยนกันไปไม่กี่กระบวนท่า กู่ฉิงซานกวาดดาบออกไปเบาๆ ส่งกระบี่ยาวของฉินเซี่ยวโหลวลอยหลุดออกจากมือไป 

ฉินเซี่ยวโหลวชะงักด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะฮ่าถึงสามครั้ง และถอนหายใจอีกสามที จากนั้นจึงเดินไปหยิบกระบี่ยาว 

ห่านขาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “เป็นอะไรของเจ้า หัวเราะออกมาทำไม?” 

“ข้าหัวเราะทำไมน่ะหรือ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “ในนิกายของเรา เจ้ามันเป็นห่าน ส่วนข้าก็มิชมชอบการฝึกยุทธ ซิวซิวก็ยังเด็กเกินไป สุดท้ายมีศิษย์น้องสามเป็นผู้ฝึกดาบ ข้าดีใจที่ในที่สุดคนที่สมควรต้องได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริงก็ปรากฏตัวขึ้นมาเสียที” 

ห่านขาวถามต่อ “แล้วที่เจ้าถอนหายใจเล่า?” 

ฉินเซี่ยวโหลวเดินแบกกระบี่ตรงไปหยุดอยู่เบื้องหน้าห่านขาวและกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจำได้ว่าท่านเคยมอบเทคนิคกระบี่ ‘คลื่นกระบี่ไร้ที่เปรียบ’ ให้แก่ข้าใช่หรือไม่” 

“อ่า” ห่านขาวกล่าว 

“ทว่าข้าจำไม่ได้แล้วว่าโยนมันทิ้งไว้ที่ใด ท่านช่วยนำมันมามอบให้ข้าอีกครั้งได้หรือไม่” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว 

“เจ้าต้องการมันกระนั้นหรือ แล้วเจ้าจะเอามันไปทำอะไร?” ห่านขาวถาม 

“ฝึกวรยุทธ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว 

ดวงตาของห่านขาวเบิกกว้าง เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ 

มันหยิบแผ่นหยกที่ไม่รู้ว่าเอามาจากที่ใดและยื่นไปให้อีกฝ่าย 

ฉินเซี่ยวโหลวรับแผ่นหยกมาและเอ่ย “ข้าพ่ายให้แก่ฉิงซานมันมิใช่เรื่องสำคัญหรอก ทว่าตอนนี้ในนิกายก็มีฉิงซานแล้ว หากข้ายังคงขี้เกียจในอนาคตสักวันหนึ่ง ที่คาดว่าคงจะมาถึงอย่างรวดเร็ว เขาคงจะแซงหน้าข้าไปแล้ว” 

“เรื่องพื้นฐานวรยุทธเขาจะสูงส่งหรือด้อยกว่าข้า นั้นก็ไม่นับว่าต้องนำมาใส่ใจ ทว่าหากเป็นในกรณีที่มีคนกล่าวหาว่าท่านอาจารย์สายตาไม่แหลมคม ที่เลือกคนอย่างข้ามาเป็นศิษย์...เช่นนั้นคงยอมไม่ได้” 

“กรณีนั้นมันคงไม่ดีแน่ ข้าไม่สามารถยอมให้ใครมาก่นด่าลับหลังท่านอาจารย์ที่เคารพได้” 

“ข้าจำต้องพยายามให้หนัก จะดีจะร้ายก็ต้องเข้าถึงวิถีกระบี่ให้จงได้ คอยดูเถอะ” 

“ก่อนที่มันจะสายเกินไป ข้าจะไม่เกียจคร้านอีกต่อไปแล้ว” 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องหญิง ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะขอเก็บตัวชั่วคราว” 

ระหว่างกล่าว เขาก็ก้มลงมองแผ่นหยก และเดินจากไปพร้อมเจตนารมณ์อันคุกรุ่น 

ในบริเวณพื้นที่เปิดโล่งทางเข้าวัง พลันตกลงสู่ความเงียบ 

กู่ฉิงซานเอ่ยชื่นชมออกมาคำหนึ่ง “ศิษย์พี่สองเป็นคนที่มุ่งมั่นดีจริงๆ” 

ซิวซิวพยักหน้าเห็นด้วย “เมื่อครู่นี้ แม้จะเพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่าข้ากลับรู้สึกได้ว่าเขากลับกลายดูหล่อเหลาอยู่นิดหน่อย” 

ห่านขาวส่งเสียงฮึฮะ ทว่าสายตาของมันกลับเต็มไปด้วยความสุข 

“เจ้าเด็กบ้านี่ ในที่สุดก็เติบโตขึ้นซะที” 

ห่านขาวกล่าว “ฉิงซาน ยามเมื่อเจ้าได้แลกเปลี่ยนวรยุทธกับเซี่ยวโหลวในครั้งหน้า ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้พลังสายฟ้าจากธาตุทั้งห้าได้” 

ซิวซิวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ว่าไงนะ? เมื่อครู่ศิษย์พี่สามมิได้ใช้ออกอย่างเต็มกำลังหรอกหรือ?” 

ห่านขาวหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “เขาใช้ออกด้วยพละกำลังเพียงสามส่วนเท่านั้น” 

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานเผยท่าทีอึดอัด ห่านขาวจึงเอ่ยต่อว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าหากทำเช่นนั้น เจ้าจะมีชัยเหนือเขานับครั้งไม่ถ้วน เนื่องเพราะหากไม่มีตัวกระตุ้นแรงๆ เสียบ้าง เซี่ยวโหลวก็คงจะนิ่งเฉยไม่คิดก้าวหน้าเป็นแน่” 

“ตกลง” กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ก็แค่ข้าได้ทานอาหารวิญญาณของเขาทุกวี่วัน เลยรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะโค่นล้มเขา” 

“ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องกิน” จู่ๆ ซิวซิวก็เอ่ยถามออกมา “ศิษย์พี่สองจากไปแล้ว ทีนี้พวกเราจะกินอะไรกันล่ะ?” 

ทั้งสามตกลงสู่ความเงียบ ไม่อาจเอ่ยกล่าวอะไรออกมาได้  

ทันใดนั้นเองจู่ๆ ห่านขาวก็ตีปีกพับๆ “แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจำต้องไปบอกเขาว่ามุ่งมั่นฝึกฝนก็ได้ แต่ห้ามลืมที่จะเตรียมอาหารไว้ให้พวกเราด้วย” 

ระหว่างกล่าว ห่านขาวก็สยายปีกบินออกไป

........................................