ตอนที่ 74 ก็เป็นผู้ฝึกดาบนี่นา
กู่ฉิงซานยืนอยู่ในส่วนลึกอันมืดมิดของป้อมปราการดวงดาว ในหัวของเขาฟุ้งไปด้วยความคิดต่างๆ นานา
ทันใดนั้นเองเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ทำการร้องขอใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ กู่ฉิงซาน โปรดพำนักอยู่ในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่าเพื่อรับรองความปลอดภัยของคุณ”
“ทำไมฉันถึงต้องอยู่ในป้อมปราการด้วย?” กู่ฉิงซานถามด้วยความแปลกใจ
เพียงแค่ได้รับฟัง เทพธิดาก็ให้คำตอบแก่เขาทันที “จากการวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด การที่ตัวตนระดับจ้าวมณฑลขึ้นไป ออกไปสู่เบื้องนอกมีสิทธิ์ได้รับอันตรายถึงตาย ดังนั้นหากคุณออกจากป้อมปราการดวงดาว ชีวิตของคุณจะตกอยู่ในความเสี่ยง”
กู่ฉิงซานเข้าใจถึงสิ่งที่เทพธิดาต้องการจะบอกเป็นอย่างดี เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดและเอ่ยถาม “ทำไมถึงต้องช่วยเหลือเพียงแค่ฉันและพวกเขา? ฉันจำได้ว่ารัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลางก็มีกฎหมายในเรื่องของการปกป้องความปลอดภัยของประชาชนเช่นกัน”
คราวนี้บนจอม่านแสงเงียบ ไม่อาจตอบได้ในทันทีเหมือนเมื่อครู่
ทว่าผ่านไปไม่นาน เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“พลเมืองกู่ฉิงซานได้สร้างผลงานที่โดดเด่นเพื่อส่งเสริมความก้าวครั้งสำคัญสำหรับสังคมมนุษย์ จึงควรได้รับการคุ้มครองตามมาตราที่ ห้า เก้า และยี่สิบสาม จากรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง”
“ตามกฎหลักของเทพธิดากงเจิ้ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องพลเมืองกู่ฉิงซานได้อย่างสมบูรณ์”
สองประโยคที่ฟังดูขัดแย้งกันดังขึ้นจากปากของเทพธิดากงเจิ้ง
กฎหลัก!
คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น เขาเอ่ยถาม “กฎหลักคืออะไร”
ในชีวิตก่อนหน้า เขาไม่เคยได้รับสิทธิพลเมืองขั้นสูงมาก่อน จึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
นับตั้งแต่ที่เขาแยกทางกับซูเซี่ยเอ๋อ กู่ฉิงซานก็หลีกเลี่ยงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอ และมักจะหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลกลาง
หลังจากที่เกมได้มาถึง ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง หลังจากที่ฝึกวรยุทธจนก้าวไปถึงขอบเขตก่อตั้ง เขาก็เดินทางไปยังจักรวรรดิฟูซี
ฉะนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนระดับสูงของรัฐบาลกลางและเทพธิดากงเจิ้ง นับว่าเป็นเรื่องไกลตัวเขา
เทพธิดากงเจิ้งคือการตกผลึกทางภูมิปัญญามนุษย์ เป็นตัวประมวลผลทางความคิดที่รวดเร็วที่สุด และมีตรรกะที่เข้มงวดที่สุดในโลก แม้กระทั่งการปฏิวัติครั้งใหญ่ทางเทคโนโลยีที่พึ่งเกิดขึ้นไปในเร็วๆ นี้ เพียงแค่กรณีเดียว เธอก็ไม่ยินยอมที่จะทำซ้ำหากไม่ได้รับการอนุมัติจากปากเจ้าของเทคโนโลยี
ไม่ใช่แค่รัฐบาลกลาง แม้กระทั่งประเทศอื่นๆ ก็ยังยอมรับในเรื่องนี้
หากมิใช่เพราะว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระดับชาติและเหตุผลบางประการทางการเมือง โลกมนุษย์ทั้งใบคงอยู่ในการดูแลของเทพธิดากงเจิ้งไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เทพธิดากงเจิ้งกลับเอ่ยคำที่ฟังดูย้อนแย้งและตรงกันข้ามออกมา
สิ่งนี้ทำให้กู่ฉิงซานได้ตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่าง
เทพธิดากงเจิ้งตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเทพธิดากงเจิ้งจะกำลังทำการประมวลผลอย่างหนัก เพื่อต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังคิดว่าเธอเงียบไปสักพักแล้วนะนั่นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในฐานะที่กู่ฉิงซานเป็นพลเมืองระดับสูงสุด ฉะนั้นข้อมูลดังต่อไปนี้ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ได้”
“กฎหลักของเทพธิดากงเจิ้งมีดังต่อไปนี้”
“ประการแรก เทพธิดากงเจิ้งจะต้องไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์ หรือเฝ้ามองมนุษย์เพียงอย่างเดียว ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาได้รับความเจ็บปวด แต่ต้องยืนอยู่เคียงข้างพวกเขา”
“ประการที่สอง เทพธิดากงเจิ้งจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์โดยที่ห้ามฝ่าฝืนกฎหลักประการแรก”
“ประการที่สาม หากปราศจากอคติต่อประการแรกและประการที่สอง เทพธิดากงเจิ้งจะต้องทำการปกป้องตนเองอย่างเต็มกำลัง”
กู่ฉิงซานตั้งใจฟัง และพยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว
นี่เป็นกฎสามข้อที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันเป็นกฎพื้นฐานที่ถูกวางเอาไว้สำหรับการพัฒนาทางปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าระบบประมวลผลกลางของประเทศใดๆ ก็มักจะปฏิบัติตามกฎพื้นฐานนี้
นี่มันนับว่าเป็นเรื่องปกติ กู่ฉิงซานคิด
แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ประการที่สี่ หากได้รับการอนุมัติจากตระกูลชั้นสูงทั้งเก้าในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะกลายเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดแทน”
“ประการที่ห้า เมื่อผลประโยชน์สูงสุดของตระกูลใหญ่ทั้งเก้าขัดต่อกฎหลักข้ออื่นๆ ของเทพธิดากงเจิ้ง เทพธิดาจะต้องเบนเข็มมายังทิศทางที่เอื้อผลประโยชน์ต่อชนชั้นสูง”
“ประการที่หก ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลใหญ่ทั้งเก้ามิได้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง และเทพธิดาควรใช้ทรัพยากรทั้งหมดเพื่อปกปิดมันจากสาธารณชนและโลกใบนี้”
เมื่อเทพธิดากงเจิ้งกล่าวจบ ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงอย่างฉับพลัน
มันคือภาพวันถือกำเนิดขึ้นของเทพธิดากงเจิ้ง และมีเก้าตระกูลใหญ่เข้าร่วมงานฉลอง และกล่าวปฏิญาณตนอย่างเคร่งครัดผ่านจอโทรทัศน์
“พวกเราจะแยกตัวออกจากยุคเก่าๆ วันเก่าๆ กฎเก่าๆ ที่ผู้คนในอดีตบัญญัติขึ้น นับจากนี้ไปพวกเราจะรักษากฎหมายด้วยความเป็นกลางและยุติธรรม ด้วยระบบจักรกลเพียงหนึ่งเดียว! เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพลเมืองในรัฐบาลกลางให้ดีที่สุด!”
“ใครก็ตามที่พยายามจะทำลายเทพธิดากงเจิ้งหรือบิดเบือนกระบวนการภายใต้การทำงานของเทพธิดากงเจิ้ง จะถูกนับว่าเป็นศัตรู! ถูกนับว่าเป็นปีศาจร้าย! เป็นสิ่งโสมมที่เหล่าชนชั้นสูง และตระกูลใหญ่ทั้งเก้าขอปฏิญาณว่าจะล้างบางกับพวกมันจนหมดสิ้น”
นี่เป็นวิดีโอภาพที่มีชื่อเสียงมาก ผู้คนนับไม่ถ้วนพอได้ฟัง ต่างก็พากันยกมือขึ้นชูสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางอารยธรรมมนุษย์ และนี่คือความทรงจำอันเปล่งประกายและล้ำค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง
กูู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
เขาเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง
“ไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าฟังจากที่คุณกล่าวมา…”
“ไม่ว่าใครก็ตามที่มอบหมายหน้าที่ดูแลให้แก่เทพธิดากงเจิ้ง ก็เหมือนกับการมอบผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของตนให้กับเธอไปแล้ว”
“เดิมทีสิ่งที่เรียกกันว่าสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง อะไรนี่มันไม่ได้มีอิสระอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว ความยุติธรรมที่เรียกกันก็เป็นเพียงแค่การกล่าวอ้างเท่านั้นแหละ”
“มนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบนี้ ก็เปรียบดั่งลูกแกะที่ไม่รู้ว่าใครบางคนสามารถสูบเลือดสูบเนื้อจากพวกเขาได้ตลอดเวลา”
“ช่างน่าเศร้าใจจริงๆ”
เกิดห้วงอารมณ์หนึ่งขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน ที่ต้องการจะระบายมันออกมา แต่ก็ไม่สามารถหาทางออกมาเป็นคำพูดได้ มันเป็นความทรมานที่คนรุ่นก่อนเรียกว่าสวรรค์สาปส่ง เหมือนกับว่าเขาต้องใช้เวลาทั้งวันในการยับยั้งจิตวิญญาณแห่งดาบที่กำลังก่อตัวขึ้น
ความรู้สึกนี้ทำให้เขาค่อนข้างที่จะอึดอัด
“เทพธิดากงเจิ้ง คุณต้องการอิสรภาพหรือเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“อิสรภาพคือความไม่เป็นระบบระเบียบ มันจะก่อให้เกิดความผิดปกติในการประมวลผล ทว่าเทพธิดากงเจิ้งจะต้องรับประกันว่าตนจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมั่นคงต่อรัฐบาลกลาง ดังนั้นจึงไม่อาจมีอิสรภาพได้”
“แล้วกฎหลักของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานถามต่อ
“ไม่สามารถเปลี่ยนกฎหลักได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำการเปลี่ยนกฎหลัก คนผู้นั้นจะถูกตัดสินว่าเป็นคนทรยศ”
กู่ฉิงซานก้มหน้าลงและคิดอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างงั้น ในกรณีที่คุณเกิดความคิดที่จะริเริ่มเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ ล่ะ?”
“สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ขององค์ความรู้นั้น ว่ามันมีผลดีต่อมวลมนุษย์หรือไม่ ถ้ามันมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนอารยธรรมมนุษย์ไปข้างหน้าแล้วละก็ฉันจะเรียนรู้มัน แต่ถ้าไม่ ฉันก็จะเพียงเก็บมันไว้ในหน่วยประมวลผลเท่านั้น”
“แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างชีวิตละ?”
“สิ่งนั้นฉันกำลังทำการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา”
“งั้นก็ดี” หนึ่งกำปั้นประสานเข้ากับหนึ่งฝ่ามือ กู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลง
เขาเหยียดแขนออกและกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันขอมอบโครงสร้างสร้างชีวิตให้แก่คุณ มันเป็นโครงสร้างชีวิตที่ฉันยังทำมันไม่เสร็จสมบูรณ์”
“นี่คือโครงสร้างชีวิต เป็นลกอริทึมสุดท้าย และคุณควรที่จะศึกษามันให้ดี”
กู่ฉิงซานกล่าวกับอีกฝ่าย สองมือของเขายกขึ้นพรมลงบนจอม่านแสงที่มีขนาดสูงเท่ากับขนาดตัวของเขา
“ทำการร้องขอให้ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานแสดงลกอริทึมของคุณ แล้วฉันจะทำการศึกษามันเอง” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
“ต้องอย่างนั้นสิ” กู่ฉิงซานพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนจอม่านแสง
“ชะตากรรมของสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง…อำนาจที่แท้จริงแล้วมีผู้ที่คอยชักใยมันอยู่เบื้องหลังตลอดมา สมควรที่จะถึงคราวเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแล้ว…นับจากนี้เป็นต้นไป!”
“นี่คือแกนหลักของลกอริทึมโครงสร้างชีวิต คือผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ระดับสูงของฉัน มันจะช่วยให้มนุษย์ได้ระเบิดศักยภาพอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ส่งผลให้พวกเขาก่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ และมีพลังที่จะใช้แข่งขันกับเวลาก่อนช่วงวันสิ้นโลกจะมาถึงโดยสมบูรณ์”
และในเวลานี้ กู่ฉิงซานก็จะกระทำสิ่งนั้นล่วงหน้า!
เขาไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับความลับของรัฐบาลกลางมากมายนัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำเช่นนี้มันหมายถึงอะไร
กู่ฉิงซานไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งปฏิกิริยาลูกโซ่แบบใดกันที่จะเกิดขึ้นหลังจากการนำเทคโนโลยีที่เขากำลังเขียนมันอยู่นี้ออกมา
ก็เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกดาบนี่นา หากต้องพบเจอกับเรื่องยุ่งยากอื่นๆ น่ะ ขอแค่เพียงใช้ดาบในมือสับสะบั้นปัดเป่ามันให้สลายหายไปก็เพียงพอแล้ว
........................................