ตอนที่ 60 ปลาเฮ่หยู
ปลาเฮ่หยูรับฟัง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ในบางครั้งร่างของเจ้าปลาตัวนี้ก็สั่นสะท้าน ทำให้กู่ฉิงซาน และเหลิงเทียนสิงเริ่มเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวดที่มันได้รับ
นี่มันเป็นการลงโทษให้ตายลงอย่าช้าๆ โดยการเฉือนเนื้อออกทีละชิ้นส่วน แม้ว่ามันจะเป็นมารอสูรก็ตาม แต่ก็ยากเกินกว่าจะฝืนทนการลงโทษดังกล่าวได้
เมื่อคนแจวเรือเห็นสีหน้าของทั้งสองเริ่มจะหนักอึ้ง เขาก็เอ่ยถาม “ทำไมหรือ พวกเจ้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้”
“ทำไมถึงต้องทำเช่นนี้?” เหลิงเทียนสิงถาม
“ฮี่ฮี่ เจ้ามองไม่ออกหรือ มอนสเตอร์ปลาตัวนี้มีแท้จริงแล้วมีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตก้าวสู่เทพ อีกนิดเดียวมันก็จะไปได้ถึงระดับประทับเทพแล้ว”
คราวนี้ทั้งสองรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่มารอสูรที่มีขอบเขตเกือบถึงประทับเทพจะต้องมาถูกฆ่าตายลงอย่างช้าๆ ด้วยวิธีการเช่นนี้
“แต่ทำไมถึงได้...” เหลิงเทียนสิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“นั่นก็เพราะมันไม่สามารถระงับความอยากอาหารของตนได้ มันกลืนกินเกาะไปถึงห้าเกาะในชั่วข้ามคืน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเกาะล้วนถูกกลืนกินโดยมันเพียงแค่นับเผ่ามนุษย์ก็เกือบแสนเข้าไปแล้ว” คนแจวเรือเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้มหยัน
เขายังคงแล่ชิ้นเนื้อปลาแล้วเอ่ยต่อว่า “นางเซียนไป่สามารถจับมันได้ และด้วยความโกรธแค้น เธอจึงบันดาลโทสะโดยการปิดผนึกพื้นฐานวรยุทธของมัน และให้มันต้องทนแบกรับความเจ็บปวดจนกว่าจะครบหนึ่งแสนครั้ง จึงจะส่งมันไปเกิดใหม่”
เนื้อปลาชิ้นสุดท้ายถูกแล่ออก เหลือแค่เพียงหัวปลาและกระดูกที่ใสราวกับคริสตัล
คนแจวเรือเช็ดมือของเขาและกล่าว “วันนี้เป็นครั้งที่เจ็ดพันสามร้อยห้าสิบเอ็ดแล้ว อีกนานคงกว่าจะครบหนึ่งแสนครั้ง”
ระหว่างกล่าว เขาก็เหวี่ยงมือออก และโยนปลาเฮ่หยูลงไปยังแม่น้ำอย่างไม่ไยดี
ปลากระดูกขาวใสกระตุกอยู่บนผิวน้ำสักพักหนึ่ง ก่อนจะว่ายจมลงไปอย่างเงียบๆ
เหลิงเทียนสิงตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้น และกล่าวสรรเสริญ “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง สมกับที่เป็นนางเซียนไป่ฮั่ว ของพวกเราจริงๆ”
คนแจวเรือยิ้มและกล่าว “นางเซียนไป่ไม่สนใจคำเลียแข้งเลียขาเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าหรอก เจ้าต้องการจะเลือกรายการทดสอบใด กล่าวมาได้แล้ว”
เหลิงเทียนสิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือทั้งสอง “ผู้น้อยต้องการเลือกรายการสิ่งประดิษฐ์โบราณ”
คนแจวเรือปรบมือตามและกล่าว “ยอดเยี่ยมจริงๆ นับว่าโชคชะตาของเจ้ากับรายการทดสอบนี้ผูกพันกันโดยแท้ พวกเรามาถึงสถานที่ทดสอบมันพอดิบพอดี เชิญเจ้าลงจากเรือไปได้เลย”
“ลงจากเรือ?”
เหลิงเทียนสิงหันมองซ้ายมองขวา แต่ก็พบเห็นแค่เพียงตัวเรือและผืนน้ำอันกว้างใหญ่เบื้องล่างเท่านั้น
คนแจวเรือก้มลงและหยิบกิ่งต้นหลิวที่ลอยอยู่ในน้ำขึ้นมา จากนั้นก็ส่งมันให้กับเหลิงเทียนสิง
“นี่คือของที่ระลึกจากใต้น้ำที่หลงเหลือจากในสมัยบรรพกาล”
“ในยุคบรรพกาลเมื่อ หนึ่งแสนปีก่อน ปรากฏการณ์สรรพาวุธกันของเทพขุนเขาและเทพพิรุณ ณ ที่แห่งนี้ ทว่าท้ายสุดแล้วทั้งสองก็ไม่แคล้วจบชีวิตลงด้วยกันทั้งคู่”
“กิ่งหลิวนี้จะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเจ้า จงลงไปแสวงหาสิ่งประดิษฐ์โบราณ สิ่งล้ำค่าเหล่านั้นที่ยังหลงเหลือมาเสีย”
ได้ยินสิ่งที่คนแจวเรือกล่าว เหลิงเทียนสิงที่รับกิ่งต้นหลิวมาก็เริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณถ่ายเทเข้าหามัน
กิ่งต้นหลิวขยายออก ก่อนจะเปล่งแสงจางๆ แล้วห่อหุ่มรอบตัวเหลิงเทียนสิงอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้นกระแสวังวนแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ ตามมาด้วยมือยักษ์ที่ยื่นออกมาจากวังวน มันค่อยๆคว้าจับตัวเหลิงเทียนสิงและจมหายลงไปด้วยกันอย่างช้าๆ
“ถึงตาเจ้าแล้ว” คนแจวมองไปยังกู่ฉิงซาน “เจ้าจะเลือกรายการใด?”
กู่ฉิงซานกำหมัดแน่นและกล่าว “ผู้น้อยต้องการเลือกรายการดาบ”
คนแจวเรือมองกู่ฉิงซานขึ้นๆลงๆ หัวจรดเท้าและกล่าว “แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีดาบ… ”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าว “มันได้แตกหักลงไปในการต่อสู้”
“โอ้? แตกหักงั้นหรือ แตกหักเช่นไร?”
“นอกเหนือจากด้ามจับ ทั้งหมดแตกหักจนกลายเป็นเศษเสี้ยวโดยสมบูรณ์”
“หืม ดูเหมือนเจ้าจะพูดความจริง แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด” ดวงตาของคนแจวเรือเปล่งประกาย
เขาหันกลับ ก่อนจะเริ่มแจวเรือแหวกผ่านธาราออกไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
“รอสักครู่ รายการดาบค่อนข้างจะอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ มันคงจะดีหากได้พักผ่อนเสียหน่อย”
“ขอบคุณ”
กู่ฉิงซานนั่งลง และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ
เขาพยายามที่ปรับสมดุลร่างกาย เพื่อสะสมพลังวิญญาณและค่อยๆ ขับความเหนื่อยล้าออกไป
ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องช่วยกงซุนซีและหนิงเยว่ฉานให้ได้ แต่ตอนนี้ต้องมุ่งสมาธิไปยังรายการที่เลือกก่อน
กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงตำนานของนางเซียนไป่ฮั่วในห้วงความคิด เขาจดจำได้ว่านิสัยของนางเซียนไป่ฮั่วคือไม่มีน้ำอดน้ำทนและพูดน้อยต่อยหนัก
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แม่น้ำก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ
มีบางสิ่งบางอย่างกำลังลอยอยู่บนผิวน้ำเบื้องหน้า และมันถูกนำมาวางลงตรงตักของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น
ภายในหมอกหนา เงาของคนแจวเรือค่อยๆ จางหายไป
“จงรับดาบเล่มนั้นไปเสีย การทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เสียงของคนแจวเรือดังสะท้อนออกมาจากที่ที่ไกลออกไป
“ขอรับ” กู่ฉิงซานคว้าดาบแล้วยืนขึ้น
“ข้าจะควบคุมพื้นฐานวรยุทธให้อยู่ในระดับก่อตั้งขั้นกลาง” เสียงของคนแจวเรือดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจะต้องค้นหาตำแหน่งของข้าในหมอกหนาให้พบ จึงจะกล่าวได้ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเลือกรายการดาบ”
“แสดงว่าการทดสอบนี้ไม่ถูกนับรวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่านับ เนื่องจากการทดสอบดาบที่เจ้าร้องขอมีระดับสูง หลังจากทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะดาบ เราไม่อาจให้เจ้าทดสอบรายการดาบได้หากตัวเจ้ายังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าแกร่งพอ”
“เช่นนั้นก็ตกลง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
“งั้นก็เริ่มกันเลย!” คนแจวกล่าว
สิ้นประโยคนี้ กลิ่นอายของทั้งคนทั้งร่างก็สลายหายไปในทันที
เป็นเทคนิคบรรจบลมหายใจที่ยอดเยี่ยม!
กู่ฉิงซานกล่าวยกย่อง ก่อนจะยกดาบในมือขึ้นมาสำรวจ
นี่เป็นดาบยาวที่ดูธรรมดามาก ตามใบดาบเปรอะไปด้วยโคลน และน่าจะถูกขึ้นรูปมาจากเหล็กดัด ทว่าอย่างไรเสียก็ยังนับว่าพอจะใช้ประโยชน์ได้
อาวุธที่ยอดเยี่ยมจะถูกแบ่งระดับออกเป็นจากต่ำไปสูง
อาวุธมีคม อาวุธสมบัติ อาวุธจิต อาวุธมนตรา อาวุธแห่งเต๋า
แน่นอนว่ามันมีลำดับชั้นที่เหนือยิ่งกว่าที่ได้กล่าวมา ทว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าถึง
ดาบยาวในมือของกู่ฉิงซานอยู่แค่ในระดับอาวุธมีคม
ด้วยดาบเช่นนี้ สามารถใช้งานแค่ในด้านของพละกำลังเท่านั้น หากต้องพบเจอกับศัตรูจริงๆ จำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มาก เพราะอาวุธระดับนี้มักจะถูกทำลายโดยอาวุธของฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ
“อาวุโส ท่านพลาดมหันต์แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ
กู่ฉิงซานจึงเอ่ยต่ออย่างช้าๆ “ท่านไม่ควรมอบดาบแก่ข้าเลย”
ดาบยาวในมือเริ่มเคลื่อนไหว
ดาบยาวถูกกวัดแกว่งไปมาและกลายเป็นประกายเงานับร้อย
ทุกคมดาบของกู่ฉิงซาน ก่อให้เกิดสายลมอ่อนๆ
อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ทว่ากลับยากที่จะต้านทาน
“ตัดสายลม!”
เขาคำรามต่ำ
ทั้งดาบทั้งประกายเงาถูกสับสะบั้นออกเป็นสองส่วน แรงสะบั้นกวาดกระจายออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ หั่นเรือไม้ที่กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่จนเริ่มแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ!
ในเสี้ยววินาทีที่เรือไม้เริ่มถูกตัด ปรากฏปราณดาบที่ผสานไปด้วยพลังวิญญาณอันเกรี้ยวกราด แหวกอากาศจนเกิดเสียงหวีดแหลมพุ่งหายเข้าไปในหมอกทึบ
สิ้นคมดาบนี้ เรือทั้งลำก็สลายหายไปเหลือเพียงเศษเล็กเศษน้อย
บัดนี้ ตรงจุดดังกล่าว หลงเหลือแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยืนหยัดอยู่บนไม้กระดานหนึ่งแผ่นที่ยืนไม่แตกสลายลง ทำให้เขายังคงสามารถยืนหยัดลอยอยู่เหนือน้ำได้
สำหรับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก่อตั้งขั้นกลาง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ครอบครองรากวิญญาณแห่งลม ย่อมไม่สามารถที่จะบินหนีไปจากปราณดาบของกู่ฉิงซานได้!
กู่ฉิงซานถือดาบและชี้ไปยังสถานที่ดังกล่าว
“อาวุโส ดูเหมือนท่านจะถูกพบตัวแล้วนะ”
เขาสะบัดดาบยาวทำทีเป็นเก็บเข้าฝัก ทันใดนั้นจู่ๆ ก็พลันบังเกิดเสียงลมกรรโชก หวัดโหยหวนออกมา
‘กึ้งๆ!’
เสียงหนักทึบดังขึ้นต่อเนื่อง
ด้วยคุณลักษณะที่รวดเร็วของเทคนิคตัดสายลม ปราณดาบได้พุ่งเข้าครอบคลุมบริเวณดังกล่าวโดยตรง จึงทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลามากพอที่จะหลบเลี่ยง
เงียบสงัด
ก่อนที่สักพักหนึ่งจะปรากฏเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสะใจดังลอดออกมาจากภายในหมอกทึบ
“ฉลาดมากเจ้าหนู สำหรับข้ามันนับว่าน่าประทับใจยิ่ง”
พร้อมกับคำกล่าวนี้ สถานที่ทั่วทั้งบริเวณจู่ๆ ก็พลันเกิดความผันผวนทางพลังวิญญาณขึ้นอย่างรุนแรง
แรงดันวิญญาณที่แข็งแกร่งยังคงทะยานพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ระดับก่อตั้งขั้นสูง สูงกว่า ระดับแก่นทองคำ สูงกว่า แก่นทองคำขั้นสูง จนกระทั่งแรงดันวิญญาณทะยานขึ้นมาถึงขอบเขตก่อกำเนิด มันจึงค่อยมันคงลงช้าๆ
คนแจวเรือร่อนลงมาจนมุมสูงในอากาศ ก่อนจะคว้าจับไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าว “เจ้าผ่านการทดสอบ มากับข้า พวกเราจะไปที่วังร้อยบุปผากัน”
มือหนึ่งกุมไหล่กู่ฉิงซาน ขณะที่มืออีกข้างจีบเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อใช้ออกด้วยเทคนิคลับอย่างรวดเร็ว
“ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง” คนแจวเรือเอ่ยอย่างแผ่วเบา
วินาทีต่อมา รูนนับไม่ถ้วนก็กะพริบวาบขึ้นจากความว่างเปล่า
กู่ฉิงซานกวาดสายตาออกไป ในหัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
สามารถใช้ออกด้วยกระบวนท่าเช่นนี้โดยไม่ต้องพึ่งพาดิสก์ค่ายกล ค่ายกลคลื่น หรือค่ายกลเคลื่อนย้าย! ฝีมือระดับนี้มันแม้กระทั่งกงซุนซีก็ยังไม่สามารถกระทำได้!
นั่นทำให้กู่ฉิงซานรับรู้ได้ด้วยตนเองโดยธรรมชาติว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้คือใคร ทว่าเขากลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
.......................................