ตอนที่ 50 ดุร้าย
พอเหลิงเทียนสิงกล่าวเช่นนั้นต่อหน้าทุกคน ในหัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย
นิกายเหยากวางได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี และแขกอย่างเป็นทางการของพวกเขาจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ดียิ่งกว่าผู้อาวุโสทั่วไปของนิกายอยู่ถึงสามส่วน
เหล่าผู้ฝึกยุทธสบตากันด้วยความตื่นเต้น และสาบานกับตัวเองว่าจะต้องรอดชีวิตกลับไปให้ได้
ภายในค่ายกล บรรยากาศทั้งหมดได้เปลี่ยนไป
‘เหลิงเทียนสิงผู้นี้รู้จักแม้กระทั่งวิธีปลุกใจคน ยอดเยี่ยมจริงๆ’ กู่ฉิงซานแอบพยักหน้าอย่างลับๆ
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะไม่ใช่เพียงตัวตนระดับสูงธรรมดาๆ ในนิกาย เพราะเพียงแค่เอ่ยออกมาไม่กี่คำ เขาก็กลับสามารถกระตุ้นจิตต่อสู้ของผู้คนให้ฮึกเหิมได้
หากคุณต้องตกอยู่ท่ามกลางเผ่ามารที่กำลังปีนป่ายขึ้นมาบนยอดเขา โดยที่พวกคุณไร้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความยึดมั่นอันแรงกล้าในจิตใจแล้วล่ะก็ หัวใจของคุณก็จะตกลงสู่ความสิ้นหวังในไม่ช้า และทุกคนก็จะจบสิ้น
หากในกรณีของเหลิงเทียนสิง มันกลับต่างออกไป
เหลิงเทียนสิงกล่าวปิดท้าย “ทุกคนเตรียมตัว พวกเราจะออกเดินทางในเวลาที่ค่ายกลได้หายไป”
ไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนลุกขึ้นยืน
กู่ฉิงซานก็ลุกขึ้นเช่นกัน แต่เขาก็ไม่วายแอบสอดส่องสายตาไปยังทุกผู้คนอย่างลับๆ
วูจินกับหม่าหลิวยืนอยู่ตำแหน่งเบื้องหน้าของทีม ร่างของพวกเขาสูงใหญ่กำยำ ปราณและเลือดสูบฉีดไปทั่ว
หวังเฉิงผู้มีอาวุธประจำกายเป็นดาบยาวรับผิดชอบทางด้านซ้าย ส่วนทางขวาเป็นลั่วเสี่ยวที่กำลังพาดกระบี่ยาวไว้บนไหล่
สำหรับเหลิงเทียนสิง ในมือถือเพียงพัดหยกอาวุธประจำกายของเขาเท่านั้น สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและเงียบขรึม เขายืนอยู่อย่างสงบเบื้องหลังฝูงชน
กู่ฉิงซานหรี่ตาลง หันไปมองข้างหลัง และกวาดไปมาทั้งสี่ทิศ ในหัวใจของเขาเต้นครึกโครมราวกล่องดนตรี
สองหวูเต๋ายอดปรมาจารย์นักสู้ หนึ่งผู้ฝึกดาบ หนึ่งผู้ใช้กระบี่ และสุดท้ายหนึ่งผู้ครอบครองธาตุทั้งห้า
ควบคู่ไปกับ ‘ปรมาจารย์ค่ายกล’ ทำให้ทีมนี้ดูไม่เลวเลยทีเดียว
ระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิด เหล่าผู้ฝึกยุทธก็กำลังเตรียมการขั้นสุดท้ายอย่างเงียบๆ
ในที่สุดรัศมีของค่ายกลก็เปล่งประกายล่องลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งสัญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังจะพังทลายลง ระยิบระยับไปมาก่อนที่จะสลายหายไปอย่างเงียบๆ
วูจินกล่าว “งั้นฉันขอล่วงหน้าไปก่อนนะ!”
“ไปเถอะ พวกเราจะไล่ตามนายไปทีหลัง” เหลิงเทียนสิงตบบ่าอีกฝ่ายและให้กำลังใจเขา
วูจินคำรามก้อง กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างพลันขยายตัวขึ้นทีละส่วน ทีละส่วน ปราณและเลือดเริ่มสูบฉีด ถูกระบายออกมาทางลมหายใจ พ่นออกมาเป็นเมฆขาวทางจมูก
เสียงคำรามของเขาค่อยๆ เบาลงอย่างช้าๆ ไหล่ที่ตั้งตรงค่อยๆ โก่งลงมาในแนวราบ ก่อนที่หนามแหลมตรงเกราะบนไหล่จะเล็งออกไปยังนอกค่ายกล
“วิสัยภูผา!”
สิ้นเสียง วูจินก็พุ่งพรวดออกจากค่ายกลอย่างดุดัน เพียงลมหายใจเดียว ทั้งคนทั้งเกราะหนามแหลมก็ทะยานออกไปไกลหลายสิบเมตร
เผ่ามารที่ขวางทางไม่ถูกอัดจนกระเด็นลอยออกไปก็ถูกแทงโดยหนามแหลมบนไหล่ของเขา
เผ่ามารที่ถูกแทงแขวนอยู่กับหนามแหลมถูกฝ่ามือของวูจินกระชากคอ ก่อนจะโยนทิ้งออกไปอย่างไม่ไยดี
หลังจากผ่านไปอีกหลายสิบเมตร แรงกดดันของ ‘วิสัยภูผา’ ก็เริ่มถดถอยลงและหยุดลงในที่สุด พอตั้งหลักได้วูจินก็ยกสองหมัดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยปราณและเลือดลมโจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง
“เอาชุดหมัดต่อเนื่องของฉันไปชิมซะ! คิดจะฆ่าฉันก็ดาหน้าเข้ามาเลย!”
เผ่ามารยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวสำหรับการโจมตีอย่างฉับพลันอันคาดไม่ถึงนี้ ส่งผลให้ใบหน้ามารหลายตัวถูกทุบตี ไม่ก็บดกระแทกลงไปกองกับพื้น
หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สิบลมหายใจ
‘ฟู่ ฟู่ ฟู่’
‘ซู้ด’
วูจินอ้าปากของเขาก่อนจะพ่นเมฆสีขาวกลุ่มหนึ่งออกมา และร่างกายของเขาก็หยุดเคลื่อนไหว
ภายใต้การระเบิดพลังอย่างเต็มกำลัง ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“สหาย ฉันมาแล้ว!”
หม่าหลิวเข้ามาแทนตำแหน่งของเขา ก่อนที่ทั้งร่างจะขยายจนใหญ่ยักษ์ สองมือที่หนาราวแผ่นเหล็กกวาดเผ่ามารที่ขวางทางให้กระเด็นออกไป
ณ เวลานี้หวังเฉิงก็ดึงดาบยาวออกมา ส่วนลั่วเสี่ยวก็ชักกระบี่หนัก ก่อนที่ทั้งสองจะกระโจนออกมาพร้อมกัน
สองประกายคมกล้าซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ สะบั้นตัดเผ่ามารจนบนอากาศทะลักล้นไปด้วยหมอกเลือด ส่วนทางด้านหม่าหลิวเพียงแค่เขาใช้ร่างกายเปล่าๆ กระแทกกับเผ่ามาร ตัวมันก็ถึงกับระเบิดออกเป็นหลายส่วน
กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งติดตามพวกเขาพร้อมร่วมผสมโรง ในมือยังคงถือดิสก์ค่ายกลไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “จิตวิญญาณแห่งโลกา โปรดจงรับฟังคำสั่งของข้า จงแยก!”
บังเกิดคลื่นสั่นสะเทือนบนพื้นดิน ก่อนจะปรากฏรอยแตกระแหงและแยกออก กลืนกินเผ่ามารที่ไม่ทันตั้งตัวร่วงหล่นหายลึกลงไปใต้พิภพ
ดวงตาที่เย็นชาของเหลิงเทียนสิงเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
แม้ว่าปรมาจารย์ค่ายกลผู้นี้จะมีพื้นฐานวรยุทธที่ไม่สูงส่ง ทว่ากลับสามารถจัดตั้งค่ายกลได้ถูกจังหวะ แถมยังเหมาะกับสถานการณ์อีกด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวมีความเข้าใจต่อค่ายกลอย่างลึกซึ้ง
นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีจริงๆ
“โอกาสนี้ล่ะ!”
เหลิงเทียนสิงชูพัดในมือขึ้น เขาไม่ลังเลแม้เพียงเล็กน้อยที่จะกระโจนเข้าร่วมต่อสู้
“ใบมีดน้ำแข็งสะบั้น!”
เส้นแสงสีขาวบางๆ ที่แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบถูกส่งพุ่งออกไปยังชั้นอากาศอย่างดุดัน พริบตาเดียวมันก็ปรากฏขึ้นในแนวหน้าของทีม ก่อนจะเคลื่อนผ่านเผ่ามารนับไม่ถ้วนและสะบั้นหัวของพวกมันลงไปกลิ้งบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นพื้นที่ที่แออัดไปด้วยเผ่ามารเบื้องหน้าก็พลันเปิดออก แรงกดดันของหลายคนในแนวหน้าก็ลดลงกว่าหลายส่วน
อย่างไรก็ตามดูสมาชิกในทีมของพวกเขาจะเริ่มเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย กู่ฉิงซานจึงโยนดิสก์ค่ายกลออกไปยังเบื้องหน้าพร้อมกับวาดมือเป็นสัญลักษณ์ที่ดูแปลกตา
“ลม ไฟ สายฟ้า น้ำ สวรรค์และโลก...รวบรวมวิญญาณ!”
ประกายแสงอันน่าหลงใหลเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและครอบคลุมกลุ่มของเขาทั้งหกคน
“น่ะ...นี่มัน! ค่ายกลรวบรวมวิญญาณ!” เหลิงเทียนสิงเอ่ยเสียงหลง
ผู้ฝึกยุทธระดับก่อตั้งหลายคน คนแล้วคนเล่านิ่งตะลึงงัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้สติกลับมาและตระหนักได้ถึงพลังวิญญาณในร่างกายกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ
วูจินหัวเราะร่า “ฮ่าฮ่า ปรมาจารย์ค่ายกลนี่สุดยอดไปเลย! ถ้าหากพวกเรามีชีวิตรอดกลับไปได้ ฉันจะขอคำนับนายในฐานะพี่น้องร่วมสาบาน!”
ส่วนทางด้านหวังเฉิง เขาดูจะเป็นนักดาบที่เลือดเย็นไม่น้อย ดูได้จากเลือดสีดำคล้ำที่หยดย้อยและท่วมทะลักอยู่บนใบดาบ เขารีบสะบัดเลือดที่ติดอยู่ออกและตะโกนเรียกทุกคน “เร็วเข้า! รีบกลับไปประจำตำแหน่ง”
ตามหลักสามัญสำนึก เมื่อเกิดการจัดเรียงค่ายกลขึ้น หากผู้จัดวางค่ายกลเกิดเคลื่อนไหวหลุดออกจากตำแหน่งประสิทธิภาพของค่ายกลก็จะลดลง
ทั้งหมดต่างเหลือบมองกู่ฉิงซานพลางขบคิด ‘เป็นแค่เพียงปราณปรับแต่งแท้ๆ แต่กลับสามารถวางค่ายกลรวบรวมวิญญาณขนาดเล็กไว้รอบตัวได้นี่มัน...’
กู่ฉิงซานนับว่าประสบความสำเร็จในการเขย่าขวัญจิตใจฝูงชนโดยแท้
ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีกต่อไป
ค่ายกลนี้เป็นหนึ่งใน ‘หกศิล’ ที่เรียนรู้ได้ยากเย็นที่สุด!
ยากเย็นยิ่งกว่าการเรียนรู้เทคนิคทำนายดวงชะตาเสียอีก
หากคุณคิดชำนาญค่ายกลและเทคนิคทำนายดวงชะตาไปด้วย มันก็เปรียบดั่งน้ำตกที่คิดไหลทวนขึ้นไปบนท้องฟ้า
โดยทั่วไปแล้วในบรรดาผู้ฝึกยุทธหนึ่งร้อยคนที่หลักแหลมและมีพรสวรรค์ จะมีเพียงแค่ห้าถึงหกคนเท่านั้นที่จะสามารถไปถึงแก่นทองคำขั้นสูงได้
ทว่าหากเทียบกับผู้ฝึกยุทธหนึ่งร้อยคนที่หลักแหลมและมีพรสวรรค์ คงมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างค่ายกลหรือเทคนิคทำนายดวงชะตาได้ หรือบางทีอาจจะไม่มีเลย
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่กงซุนซีได้รับการประเมินเอาไว้สูงยิ่งในประวัติศาสตร์
“ยอดเยี่ยม”
เหลิงเทียนสิงเอ่ยยกย่อง มือซ้ายของเขาจีบคล้ายกำลังใช้ออกด้วยวิชาลับ ส่วนมือขวาโบกสะบัดพัดออกไป ปลดปล่อยเทคนิคมนตราอย่างเต็มกำลัง
“ใบมีดน้ำแข็งปล้นวิญญาณ!”
ชั้นอากาศพลันบิดเบี้ยวเล็กน้อย และวงแหวนน้ำแข็งรูปจันเสี้ยวนับไม่ถ้วนก็ถูกยิงเหนือขึ้นไปในอากาศ ทุกเส้นทางที่มันตัดผ่านแขนขาของเผ่ามารจะถูกสะบั้นออกเป็นหลายสิบส่วน!
หลายคนมุ่งหน้าไปตลอดเส้นทาง และในไม่ช้าพวกเขาก็บุกฝ่ามาได้ครึ่งทางแล้ว
“อีกไม่ไกลแล้ว!”
เหลิงเทียนสิงหันมองร่างของสองผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสภาพเหนื่อยล้า หอบหายใจดังหนักหน่วง
ทุกคนช่างมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจริงๆ
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะกล่าวเตือนอย่างฉับพลันว่า “อันตราย! หวังเฉิง! ลั่วเสี่ยว! พวกคุณอยู่ไกลเกินไปแล้ว!”
ผู้ฝึกยุทธดาบและผู้ใช้กระบี่ทะลวงลึกเข้าไปเข่นฆ่าเผ่ามาร และค่อยๆห่างไกลออกไปจากตำแหน่งของทีม
พวกเขาอยู่ไกลเกินกว่าอาณาเขตที่สามารถใช้ออกด้วยค่ายกลของกู่ฉิงซาน
หวังเฉิงได้ยินเสียงเตือน เขาก็หันกลับไปมองด้วยสายตาลังเล แม้เขาจะยกย่องกู่ฉิงซานในฐานะปรมาจารย์ค่ายกล แต่ก็ไม่คิดจะฟังคำสั่งอีกฝ่าย ทว่าในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงอันดุดันของเหลิงเทียนสิงตะโกนขึ้น “กลับมา เร็วเข้า!”
ในหัวใจของหวังเฉิงเต้นครึกโครม เขาเอี้ยวตัวกลับและรีบวิ่งกลับมาทันที
อย่างไรก็ตาม มันก็สายไปเสียแล้ว
จู่ๆมือยักษ์ขนาดใหญ่พลันผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะใช้นิ้วทั้งห้าของมันคว้าตัวหวังเฉิงและบดบี้เขาจนกลายเป็นลูกชิ้นเนื้อฉ่ำเลือด!
สุดท้ายผู้ฝึกดาบอันคมกล้าก็ถูกสังหารลง และจากไปทั้งๆ แบบนั้น
ดาบยาวของเขาที่เดิมฉ่ำไปด้วยเลือดมาร บัดนี้กลับท่วมท้นไปด้วยเลือดของเจ้าของโดยสมบูรณ์ แม้จะไม่ถูกบดบี้ แต่ก็ถูกแรงปะทะจนกระเด้งลอยส่ายไปมาอยู่ในอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงลงไปยังทะเลดงมารอันไร้ที่สิ้นสุด
‘ไม่นะ!’ กู่ฉิงซานเห็นดังนั้นก็เริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณในร่างกายทั้งหมดและแพร่กระจายไปในอากาศ ก่อนจะใช้มันคว้าจับดาบยาวของหวังเฉิงกลับมา
อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้กระบี่ลั่วเสี่ยวก็หันหลังและวิ่งปราดกลับมา ทว่าเขาต้นขาของเขากลับถูกโอบกอดโดยสุนัขมารที่มีความสูงเพียงครึ่งร่างของเขาจนล้มลงกับพื้น
เกือบที่จะในเวลาเดียวกันเสียงกรีดร้องของลั่วเสี่ยวยังไม่ทันได้เปล่งออกมา หัวของเขาก็ถูกสุนัขมารเขมือบไปเสียก่อน
สุนัขมารดูจะหวาดระแวงเผ่ามารตนอื่นๆ ทันทีที่ได้อาหาร มันก็งับหัวของลั่วเสี่ยวไว้ในปากและวิ่งหนีไปทันที
ส่วนเผ่ามารตนอื่นๆ พวกมันรุมทึ้งเบียดเสียดแก่งแย่งกัดกินร่างของลั่วเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของเลือด เผ่ามารต่างก็กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
เผ่ามารเริ่มมาสมทบมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่สองผู้ฝึกยุทธตายลง แรงกดดันของผู้คนที่เหลืออยู่ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานทั้งร่างของหม่าหลิวและวูจินก็อาบไปด้วยเลือด แม้จะยังไม่ตกตายแต่ก็ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป
ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกจุกแน่น เขาเอ่ยถาม “อีกไกลแค่ไหน?”
เหลิงเทียนสิงกล่าวอย่างลังเล “กำลังจะไปถึงแล้วในไม่ช้า อีกเพียงไม่กี่ลมหายใจ คุณคิดว่าไง พวกเราควรวิ่งทะลวงพวกมันไปเลยไหม?”
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกสองร่างของผู้ฝึกยุทธและกล่าวว่า “ไม่ดีแน่ สถานการณ์ในตอนนี้มีเผ่ามารอยู่มากเกินไป มันต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆ ว่าพวกเราจะไปไหน ถึงได้เตรียมตัวมาพร้อมแบบนี้”
เขาพลิกดิสก์ค่ายกลขึ้นและตะโกนก้อง “น้ำ ลม หมอก ผืนดิน ค่ายกลฟ้าดินเชื่อมสวรรค์!”
ค่ายกลนี้สามารถใช้ได้เพียงสองครั้งเท่านั้น หลังจากช่วงเวลานี้ไป เขาจะไม่มีวิธีใดที่จะหลบซ่อนเผ่ามารอีก
ดิสก์ค่ายกลเปล่งประกายสว่างไสว และกระตุ้นแก่นแท้จิตวิญญาณฟ้าดินในโลกแห่งความว่างเปล่า
น้ำ ลม หมอก และผืนดิน สี่แก่นแท้จิตวิญญาณได้รับการจัดเรียงในทิศทางเฉพาะเจาะจงและกลายเป็นข่ายอาคมทันที
พร้อมกับเสียงตะโกนของเหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมพลันอันตรธานหายไปจากเบื้องหน้าของเผ่ามาร
………………..………………..