webnovel

0049 พักหายใจ

ตอนที่ 49 พักหายใจ

“ฉันนึกว่าจะตายแล้วซะอีก แต่สุดท้ายก็รอดแล้ว!”

“ฮ่า! แล้วเมื่อกี้ใครกันที่บอกว่าไม่รอดแน่แล้วน่ะ!”

“สหายเต๋าผู้นี้ พวกเราขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างหันมามองเขาด้วยสายตาสำนึกคุณ ส่วนคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ายื่นกำปั้นประกบกับฝ่ามืออีกข้างของตน

กู่ฉิงซานประสานมือเหมือนกับอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจ “ด้วยความแข็งแกร่งระดับต่ำอย่างฉัน คงสามารถทำได้แค่เพียงใช้ออกด้วยค่ายกล ส่วนในเรื่องการต่อสู้ คงต้องพึ่งพวกพาพวกคุณแล้วล่ะหลังจากนี้”

เขาได้เห็นกับตาแล้ว ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในระดับก่อตั้ง

ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายที่เผ่ามารรายล้อมจากทั่วทุกด้านของเหล่าผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานย่อมคิด วิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว ว่าหากเขาใช้ออกด้วยค่ายกล เหล่าผู้ฝึกยุทธย่อมต้องกระโจนลงมาให้เขาช่วยเหลือ

นั่นเพราะความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ เขาเข้าใจถึงมันดีอย่างลึกซึ้ง หากไม่ใช้ออกด้วยค่ายกล คนพวกนี้ย่อมไม่มีทางเหลียวแลต่อให้กู่ฉิงซานต้องตาย

คำกล่าวที่ดูจริงจังของกู่ฉิงซาน ที่แม้จะเป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลแต่ก็ยังคิดพึ่งพาพวกเขา มันดึงดูดให้หัวใจของผู้มีพื้นฐานวรยุทธขั้นก่อตั้งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ

บางคนกล่าวขึ้นมาว่า “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น ฉันกับคนอื่นๆ กำลังตามหานายพลกงซุนอยู่ ตราบใดที่คุณอยู่กับเราและยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ นายกลกงซุนก็จะมาช่วยพวกเราในไม่ช้า”

อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “แต่พวกเราไม่ระวังเองแหละ เลยถูกพวกเผ่ามารพบตัวซะก่อน”

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

แม้จะมีบางคนไม่พูดคุยกับกู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานก็เลือกที่จะไปคุยกับพวกเขา จะได้ทำตัวให้กลมกลืนกับทุกคน

หากในกรณีปกติ ผู้ฝึกยุทธระดับก่อตั้ง ย่อมที่จะไม่ใส่ใจปราณปรับแต่งธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างแน่นอน

ทว่ากู่ฉิงซานได้พิสูจน์แล้วว่ามีความสามารถมากพอที่จะร่วมต่อสู้กับพวกเขาซึ่งอยู่ในระดับก่อตั้ง เขาได้ออกหน้าช่วยคนเหล่านั้นในสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตาย โดยการลวงว่าตนเองนั้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่แข็งแกร่ง

ในสนามรบ ปรมาจารย์ค่ายกล นับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่หายากและได้รับความนิยม ทุกคนมักจะอ้าแขนรับเขาอย่างยินดี

ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธจึงเลือกที่จะยืนปกป้องเขาอยู่ด้านหน้า ไม่ยอมให้กำลังเสริมที่มีค่าดั่งปืนใหญ่อย่างกู่ฉิงซานออกไปอยู่ในแนวหน้าของทีม

หากเปลี่ยนช่วงเวลา เป็นอยู่ในสถานการณ์อื่น เกรงว่าเหล่าระดับก่อตั้งพวกนี้ เพียงสะบัดมือครั้งเดียวเขาก็ตกตายแล้ว

ขณะที่หลายคนกำลังเริ่มควบคุมลมหายใจ ผู้ฝึกยุทธคนที่เป็นหัวหน้าได้เอ่ยถามออกมา “ช่างเป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยม มันจะสนับสนุนต่อไปเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน”

ทันทีที่เขาเอ่ยคนอื่นๆ ก็เงียบ

กู่ฉิงซานคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น

ชายคนนี้ดูจะมีอายุราวยี่สิบปี แววตาดูไม่แยแส บนตัวสวมเกราะสีฟ้าอ่อนถือพัดหยกในมือ ร่างกายของเขายังคงสะอาดสะอ้านแม้จะพึ่งผ่านพ้นการต่อสู้อันดุเดือดกับเผ่ามารมาก็ตาม

ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีพลังวิญาณธาตุไฟและพลังวิญญาณธาตุลมจึงจะเลือกใช้พัดเป็นอาวุธ ทว่าผู้ฝึกยุทธพลังวิญญาณธาตุน้ำที่ใช้พัดเป็นอาวุธนี่นับว่าหาได้ยากยิ่ง

เกราะสีฟ้าอ่อนสาดประกายเย็นยะเยือกของน้ำแข็งและรอบกายเขาก็ปรากฏการณ์ก่อตัวของชั้นหมอกน้ำแข็งจางๆ

นี่เป็นชุดเกราะน้ำแข็งที่ดีจริงๆ เพียงแค่ชุดเกราะนี้ชุดเดียว อย่างต่ำก็มีมูลค่าถึงหนึ่งแสนศิลาวิญญาณ!

ตัวตนเช่นนี้บางทีอาจจะเป็นลูกศิษย์สายตรงของนิกายใหญ่ นิกายใดนิกายหนึ่งก็เป็นได้

กู่ฉิงซานลอบประเมินอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ และเอ่ยปากตอบกลับไป “ค่ายกลนี้ยังคงอยู่ได้อีกครึ่งชั่วโมง”

ในจิตใจของอีกฝ่ายเผยให้เห็นถึงความผ่อนคลายลงหลายส่วน

ครึ่งชั่วโมง นี่นับว่าเพียงพอที่จะฟื้นฟูพลังวิญญาณและพละกำลังร่างกายได้ส่วนหนึ่ง อย่างน้อยความเหนื่อยล้าก็คงจะบรรเทาลงได้อย่างมาก

สีหน้าของชายคนนั้นผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยสั่ง “ทุกคนรีบปรับลมหายใจ และฟื้นฟูพลังวิญญาณซะ หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วโมง พวกเราจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง”

เขาล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระก่อนจะหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณขึ้นมาแล้วแจกจ่ายให้กับคนของเขา แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน ชายคนนั้นก็มอบเม็ดยาให้เขาด้วยอย่างไม่ลังเล

กู่ฉิงซานรับเม็ดยามาก่อนจะยื่นไปใกล้จมูกและสูดดมมันเบาๆ กลิ่นอันอ่อนโยนที่โชยมา ทำให้หัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“เม็ดยารักษาราคาแพงเช่นนี้ เอามาใช้กับระดับปราณปรับแต่งมันจะเสียของเอานะ” เขากล่าว

“นั่นไม่นับว่าเป็นปัญหา ภายใต้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ สมควรฟื้นฟูพลังวิญญาณให้พร้อมที่สุดจะดีกว่า”

“ถ้างั้นก็ขอรับน้ำใจในครั้งนี้เอาไว้แล้วกัน” กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ และรับมันมา

นี่คือเม็ดยาปราณกระเรียนแดงชั้นดี เพียงหนึ่งเม็ดของมันบางทีอาจมีมูลค่าถึงพันทอง ไม่สิ อาจจะมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก!

นี่เป็นเม็ดยารักษาที่หาได้ยากยิ่ง มันสามารถช่วยเติมเต็มพลังวิญญาณที่สูญเสียไป และรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีผลกระทบเชิงลบใดๆ ต่อร่างกาย มันจึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ฝึกยุทธ

ได้รับเม็ดยารักษาเช่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้รอดชีวิตไปได้ในการต่อสู้ทั่วๆไป

การที่สามารถแบ่งปันเม็ดยาเช่นนี้ให้กับผู้คนได้ แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้คงมีจิตใจดีไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลัง หรือที่มา ย่อมต้องไม่ธรรมดา

ชายคนนี้อายุมากกว่ากู่ฉิงซานแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าคำพูดคำจาและการกระทำของเขานั้นช่างกระชับและเป็นระเบียบ มีเพียงดวงตาของเขาที่ค่อนข้างเฉยเมยไร้ซึ่งความรู้สึก ทำให้มันเป็นส่วนเดียวที่แปลกแยกออกไปเล็กน้อย

ชายคนนี้สังเกตเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังเฝ้าสังเกตเขาอยู่จึงประสานกำปั้นทั้งสองก่อนกล่าวแนะนำตนเอง “ผู้น้อยเหลิงเทียนสิง ศิษย์สายตรงแห่งนิกายเหยากวางขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ และขออภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว”

นิกายเหยากวาง?

เป็นเช่นนี้เอง กู่ฉิงซานลอบคิดในใจ

นั่นคือนิกายอันยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกยุทธอมตะ ที่สืบทอดต่อกันมานับร้อยนับพันปี และเป็นนิกายใหญ่ที่รู้จักกันดีในโลกของผู้ฝึกตน

อย่างไรก็ตามในโลกที่ผ่านมาของกู่ฉิงซาน ตัวตนที่โดดเด่นดังเช่นชายคนนี้กลับไปเคยปรากฏตัวหรือถูกกล่าวถึงมาก่อน เกรงเขาคงได้ตกตายลงในที่แห่งนี้

ทว่าไม่ต้องกล่าวถึงชายคนนี้เลย แม้กระทั่งกู่ฉิงซานเองก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าตนเองจะรอดไปจากโลกที่ถูกทำลายใบนี้ได้หรือไม่

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน”

เหลิงเทียนสิงยื่นหมัดไปวางลงบนอกอีกฝ่ายและกล่าว “โชคดีจริงๆ ที่พวกเราได้พบกัน”

ทั้งสองไม่ใช่พวกพูดจาเยิ่นเย้อเกินความจำเป็น แนะนำตัวกันเสร็จก็แยกย้ายกันไป

ในไม่ช้า ทุกคนก็หลับตาลงและเข้าสู่สมาธิ

กู่ฉิงซานล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระของตนก่อนจะหยิบเทคนิคปราณปรับแต่งทางทหารขึ้นมาและหันหลังไปอีกทางหนึ่ง

ในหน้าต่างระบบเทพสงคราม เขาจ้องมองไปยังแต้มพลังวิญญาณ

“เรียนรู้ปราณปรับแต่งทางทหารขอบเขตที่เจ็ด...เซินถัง ต้องการแต้มพลังวิญญาณหกแต้ม ต้องการที่จะ...”

“เรียนรู้” กู่ฉิงซานเอ่ยในใจ

“เริ่มกระบวนการเรียนรู้ แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน ยี่สิบเอ็ดส่วนเจ็ด”

หลังจากเสร็จสิ่งกระบวนการทั้งหมด กู่ฉิงซานก็โยนเม็ดยาปราณกระเรียนแดงเข้าไปในปาก ตามมาด้วยเลือดมอนสเตอร์งู ที่มีปริมาณเยอะกว่าปากของเขาถึงสามเท่า และกลืนลงไป

หากไม่ใช้เวลาในปัจจุบันทะลวงด่านต่อไป มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าฉันจะตายลง หรือพูดอีกอย่างว่าไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียวก็ได้

ในมุมมองของกู่ฉิงซานเขาทำได้เพียงต้องหวังพึ่งผลลัพธ์ของเม็ดยาปราณกระเรียนแดง ควบคู่ไปกับเลือดงูที่ช่วยเร่งฟื้นฟูพลังวิญญาณจะได้ส่งผลต่อการทะลวงด่านขั้นเจ็ด

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในค่ายกล พลังวิญญาณเกิดความผันผวนขึ้นเล็กน้อย มันแพร่กระจายตัวอย่างช้าๆ เฉกเช่นหินก้อนเล็กๆ ที่ถูกโยนลงไปในแอ่งน้ำ กระจายตัวออกไปราวกับคลื่นไมโครเวฟ

กู่ฉิงซานใช้แต้มพลังวิญญาณเพื่อยกระดับขอบเขตของตน ส่งผลให้เขาได้รับพลังวิญญาณหลั่งไหล่เข้ามาสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำ

การเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยนี้ ยังส่งผลกระทบต่อบริเวณโดยรอบอีกด้วย

แก่นแท้ของจิตวิญญาณฟ้าดินพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกคนก็ลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

สีหน้าของเหลิงเทียนสิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย และกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับสหายเต๋าผู้นี้ด้วย”

กู่ฉิงซานยิ้มและส่ายหัว “ไม่หรอก มันก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตปราณปรับแต่งขั้นเจ็ดเท่านั้นเอง และอันที่จริงเป็นฉันต่างหากที่ต้องขอบใจเรื่องเม็ดยาของคุณ”

“คุณสมควรได้รับ เนื่องเพราะคุณเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้”

“คุณสมควรได้รับมันจริงๆ”

ทุกคนแสดงความยินดีแก่เขา

ทันใดนั้นขวัญกำลังใจของทั้งหมดก็ทะยานขึ้นกว่าสามส่วน ผู้ฝึกยุทธต่างหันมามองกันและกันด้วยความสุข

ทุกครั้งที่ผู้ฝึกยุทธสามารถทะลวงได้หนึ่งชั้นขอบเขต แก่นแท้จิตวิญญาณระหว่างฟ้าดินจะวิ่งเข้าไปในร่างกายเพื่อเติมเต็มพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธจนกระทั่งเอ่อล้นในตันเถียน

เม็ดยารักษาแม้จะเป็นของดี แต่มันก็ยังเชื่องช้าเกินไป จะนำมาเทียบกับพลังฟ้าดินได้อย่างไร?

กู่ฉิงซานที่สามารถทะลวงขอบเขตใหม่ได้ ทำให้พลังวิญญาณที่สูญเสียไปกับการจัดตั้งค่ายกลเริ่มหวนคืน

และเมื่อเขาขึ้นมาถึงขอบเขตปราณปรับแต่งขั้นเจ็ด แม้พลังวิญญาณก่อนหน้าจะหลงเหลืออยู่เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ได้ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว

สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว การที่สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณจนกลับมาได้เต็มนั่นหมายความว่าอะไร?

มันหมายความว่ากู่ฉิงซานจะสามารถใช้ออกด้วยค่ายกลดั่งเช่นในก่อนหน้านี้อีกครั้ง บางทีอาจจะถึงสองครั้ง เนื่องเพราะลิมิตพลังวิญญาณของเขาย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากตามด่านที่พึ่งทะลวงไป

และในหัวใจของเหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็รู้ดีซึ้งถึงถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของค่ายกลของกู่ฉิงซาน พวเขาได้ประจักษ์มันด้วยตาตนเองมาแล้ว

เพียงค่ายกลเดียวกลับสามารถช่วยชีวิตพวกเขา และลบร่องรอย จนพวกเผ่ามารหลายพันตัวหาไม่เจอจนหัวร้อนไปตามๆกัน

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงรู้สึกราวกับว่าอายุขัยของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ทว่าทั้งหมดไม่รู้หรอก จริงๆแล้วที่กู่ฉิงซานกล่าวไปน่ะขี้โม้ทั้งเพ เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกล!

“ถ้าเช่นนั้น” เหลิงเทียนสิงลุกขึ้น “พวกเราควรเก็บพลังไว้ส่วนหนึ่งเพื่อวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มันจะมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่หลบซ่อนตัวที่ได้ถูกจัดเตรียมโดยนายพลกงซุน มันถูกติดตั้งไว้ด้วยค่ายกลป้องกันต่อเนื่องและสามารถพักผ่อนได้”

“เยี่ยม!”

“สมกับเป็นรองนายพลเหลิงที่มากประสบการณ์ ทำตามที่เขาบอกกันเถอะส่วนฉันไม่ขัดข้อง”

“รับทราบ”

ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียว

หลังจากที่แอบดูแผนภาพ และเห็นว่าทิศทางที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นทิศทางเดียวกันกับที่เขาต้องไป กู่ฉิงซานก็วางแผนภาพลง

ณ จุดนี้เผ่ามารได้กระจายตัวออกไปแล้วกว่าเจ็ดในสิบส่วน เหลือเพียงแค่เผ่ามารบางตนเท่านั้นที่ยังไม่เต็มใจจะจากไป ได้แต่นั่งแทะเล็มซากของเพื่อนๆ อยู่กับที่

เหลิงเทียนสิงเริ่มชี้ไปที่คนต่างๆ เพื่อเตรียมมอบหมายงาน “วูจิน หม่าหลิว นายสองนำเดินนำหน้า หวังเฉิง ลั่วเสี่ยว นายสองคนรับผิดชอบด้านข้าง”

แล้วเขาก็หันมามองกู่ฉิงซานอีกครั้งและกล่าว “คุณเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ดังนั้นคุณควรอยู่ตำแหน่งกลางที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุด มีปัญหาไหม?”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา”

การต้องฝ่าฟันเผ่ามารนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะทิศทางไหนก็ย่อมเต็มไปด้วยอันตราย แต่หากเขาได้อยู่ตรงกลางมันก็จะปลอดภัยกว่ามาก

ค่ายกลของกู่ฉิงซานนั้นทรงพลังเกินไป ทำให้เผ่ามารทุกชนิดไม่อาจหาตำแหน่งของพวกเขาทุกคนได้ สิ่งนี้นับได้ว่าสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้อย่างแท้จริงในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

ผู้ฝึกดาบที่มีชื่อว่าหวังเฉิงเอ่ยถาม “รองนายพลเหลิง แล้วคุณล่ะ?”

เหลิงเทียนสิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ “ฉันจะรับผิดชอบแนวหลัง และคอยช่วยสาดส่องทุกคน”

ตำแหน่งแนวหลัง นับว่าเป็นตำแหน่งที่อันตรายที่สุด ทว่าเหลิงเทียนสิงกลับเก็บตำแหน่งนี้ไว้กับตนเอง

ทุกคนล้วนลอบชื่นชมเขา

เหลิงเทียนสิงจัดตำแหน่งทีม ก่อนจะประกบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างของเขา “ถ้าฉันสามารถรอดออกไปจากภยันตรายในครั้งนี้ได้ ฉันขอเชิญเหล่าพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายในที่แห่งนี้ไปยังนิกายเหยากวางในฐานะแขกอย่างเป็นทางการ!”

………………..………………..