ตอนที่ 48 ลวงว่าตนเป็นปรมาจารย์ค่ายกล
หมอกสีเทาดำปกคลุมทั่วทั้งโลก
ประกายเพลิงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าราวกับสายฝน
ท่ามกลางความว่างเปล่าที่เปิดออก ร่างของกู่ฉิงซานที่ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นพลังบางเบาก็หลุดออกมา
ภายใต้ท้องฟ้า จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงคำรามของการต่อสู้ มันได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซาน
ห่างออกไปราวร้อยจั่ง ปรากฏเผ่ามารมากมายกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา
และบนยอด ปรากฏกลุ่มผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังยืนหันหลังชนกัน ทั้งหมดพยายามต่อสู้อย่างสุดฝีมือกับเผ่ามารที่หมายจะฆ่าพวกเขา
ไม่นานนักผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ถูกดึงออกจากกลุ่ม เขากรีดร้องสุดเสียงก่อนที่จะถูกสวาปามกลายเป็นอาหารโดยสมบูรณ์
“น้องเล็ก ไม่!”
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธกรีดร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า เขาพุ่งออกไปจากตำแหน่งป้องกัน และทำการสังหารเผ่ามารที่กำลังฉีกกระชากพี่น้องของเขาอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะสังหารไปเท่าใดก็ดูจะไร้ค่า เลือดของเผ่ามารตัวแล้วตัวเล่าที่หลั่งรินยิ่งทำให้พวกมันคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม ความเร็วในการปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขาก็ยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้น
หลังจากทำการสังหารเผ่ามารไปได้เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้ฝึกยุทธที่ออกจากแนวป้องกันก็ถูกฆ่าโดยเผ่ามาร ก่อนจะถูกจับแยกเป็นส่วนๆ และแย่งกันกิน
เวลานี้ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์หลงเหลืออยู่แค่เพียงราวเจ็ดคนเท่านั้น พวกเขาราวกับเปลวไฟบนเทียนไขที่อยู่ท่ามกลางสายลมกรรโชก จะดับลงเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา
กู่ฉิงซานมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นและเอ่ยพึมพำ “ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นทหารที่นายพลกงซุนกล่าวถึงก่อนที่ฉันจะถูกส่งมา พวกเขายังไม่ตาย แถมดูจะมีฝีมือไม่น้อยเลยด้วย”
กู่ฉิงซานไม่ต้องการจะเฝ้าดูอีกต่อไป เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกาย ก่อนที่จะปรากฏเยื่อโปร่งแสงห่อหุ้มรอบตัวเขา และกระโดดลงไปยังจุดหนึ่งในทิศทางดังกล่าว
สถานที่ที่เขาเลือกซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากเนินเขามากนัก มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถูกดึงดูดโดยเหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนยอดเขา ดังนั้นตรงจุดนี้จึงค่อนข้างปลอดภัย
เท้าของกู่ฉิงซานเหยียบย่ำลงบนดินแข็ง ก่อนที่จะเก็บพลังวิญญาณกลับคืน และปิดกั้นลมหายใจอย่างสงบ
เผ่ามารสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณและความผันผวนของลมหายใจได้ ดังนั้นเขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้
ทว่าในตอนนั้นเอง กลิ่นเหม็นรุนแรงพัดโชยมาพร้อมกับสายลมอันร้อนระอุ ปะทะเข้ากับร่างของกู่ฉิงซาน แม้มันจะไม่สัมผัสโดนตัวเขา แต่กลับสามารถกระแทกเขาจนต้องถอยไปหลายก้าว
‘เปรี้ยง!’
บังเกิดเสียงดังลั่นจากเบื้องหลัง
ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวงับลงบนพื้นดิน ก่อนจะกระชากกลับไป
กู่ฉิงซานเหลียวหลังกลับ หัวใจของเขาหม่นลงเล็กน้อย
มอนสเตอร์ชิฝูหรือเขมือบปฏิกูลคลานตรงเข้ามายังทิศทางของเขา สภาพของมันราวกับภูเขาซากศพที่เต็มไปด้วยเนื้อเน่ากำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
กลิ่นเหม็นอันรุนแรง สาดกระจายไปทั่ว
เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้จะกินทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศพเน่าๆ ทำให้ร่างกายของมันสั่งสมไปด้วยกลิ่นแปลกๆ
โดยปกติแม้กระทั่งเผ่ามารตนอื่นๆ ก็ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์ตัวนี้ เนื่องเพราะกลิ่นตัวของมันเหม็นเกินจะทน
มอนสเตอร์ชิฝูเมื่อรับรู้ว่าตนกัดไม่โดนเหยื่อ มันก็พ่นเมือกเหลวออกมาด้วยความโกรธ ด้วยหวังว่าเมือกจะตรึงเหยื่อให้ติดอยู่ตรงจุดนั้น
เมือกนี้ไม่เพียงแต่จะเหนียวจนดิ้นหลุดได้ยาก แต่มันยังกัดกร่อนเลือดเนื้ออีกด้วย หากไม่มีอะไรป้องกันล่ะก็ เมื่อสัมผัสถึงตัว เนื้อหนังก็คงจะสลายหายไปในอากาศ
มอนสเตอร์ชิฝูตัวนี้มีกลิ่นแรงมากกว่าปกติ มากยิ่งกว่ามารชิฝูตัวอื่นๆ เกรงว่าบางทีมันอาจจะทะลวงขึ้นมาอยู่ในขอบเขตก่อตั้งแล้วก็เป็นได้
นั่นหมายความว่าน้ำลายของมันอาจจะมีฤทธิ์ถึงขั้นกัดกร่อนได้แม้กระทั่งกระดูก
สำหรับมารชิฝู กู่ฉิงซานได้ต่อสู้กับพวกมันมาเยอะแล้ว เขารู้จักเล่ห์เหลี่ยมของมันดี ทั้งร่างของเขากระโจนถอยฉากออกมา
บนเนินเขาที่ผู้ฝึกยุทธหลายคนรวมตัวกันอยู่ บางคนได้เผยให้เห็นถึงสีหน้าคาดไม่ถึง
อันที่จริง เมื่อกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ พวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันที
ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธระดับปราณปรับแต่ง ประกายแห่งความหวังที่ถูกจุดขึ้นในจิตใจก็มอดดับลงอีกครั้ง
ผู้ฝึกยุทธสิ้นหวังและคิดว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่คงตายลงในไม่กี่ลมหายใจ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
กู่ฉิงซานเป็นเพียงปราณปรับแต่ง ซึ่งแตกต่างจากมารชิฝูถึงหนึ่งขอบเขตใหญ่ มารชิฝูมันคงไม่คาดคิดว่าด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ศัตรูจะสามารถหลบหนีจากคมเขี้ยวของตนได้ กล่าวได้ว่าประสิทธิภาพของอีกฝ่ายใช้ได้ทีเดียว
มารชิฝูเมื่อเห็นว่าเหยื่อหลบหนีมันได้อีกครั้ง ปากของมันก็อ้ากว้างทะลักล้นไปด้วยปราณและเตรียมโหยหวนออกมา
เมื่อมันใช้ออกด้วยกระบวนท่านี้สำเร็จ เสียงของมันจะดึงดูดเผ่ามารจำนวนมากมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยพื้นฐานวรยุทธของกู่ฉิงซาน หากเขาถูกรุมล้อมโดยเผ่ามาร นั่นหมายถึงชีวิตได้จบสิ้นลงแล้ว
เมื่อใกล้ถึงสถานการณ์วิกฤต ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มารชิฝูก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างตกลงในปากของมัน
แม้ร่างของมันจะมีหัว แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้จักคิดสักเท่าใดนัก
ด้วยสัญชาตญาณของมัน ปากที่อ้ากว้างพลันหุบลงโดยอัตโนมัติและเคี้ยวบางสิ่งที่อยู่ในปากของตน
‘หงับ หงับ’...รู้สึกแปลกจัง นี่ไม่ใช่อาหารทั่วไปที่กินอยู่ทุกวันนี่นา แต่ดูเหมือนว่ามันจะสามารถกินได้นะ
อ่า...ยิ่งกินก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความหอมหวาน ยิ่งเคี้ยวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอร่อยมากขึ้นเท่านั้น
มารชิฝูหยุดนิ่ง นอนเคี้ยวอาหารอย่างสงบ
อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?
มารชิฝูค่อยๆ เหยียดมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วล้วงเข้าไปในปาก มันอยากรู้ว่าตนกำลังกินอะไรอยู่กันแน่
มันต้องการที่จะเห็นและจดจำสิ่งนี้เอาไว้ เผื่อเมื่อพบเจอกับเหยื่อชนิดนี้อีกครั้งในภายหลัง มันจะได้ทำการออกล่าด้วยตัวเอง
กู่ฉิงซานหมอบต่ำลงกับพื้นอย่างเงียบๆ และค่อยๆ คลานออกไปจากแนวสายตาของมารชิฝู
เมื่อครู่เขาโยนเนื้อและกระดูกของมอนสเตอร์งูออกไปใส่ปากของมัน
สำหรับมอนสเตอร์ชิฝู ยามที่มันหิวโหยแม้กระทั่งก้อนหินก็ยังถูกกลืนกินเป็นอาหาร ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงมารอสูรหายากอย่างมอนสเตอร์งูที่เนื้อหนังและกระดูกของมันช่วยเสริมสร้างพลังงาน ย่อมต้องอร่อยกว่าก้อนหินและซากศพเน่าๆ อย่างแน่นอน
เขาซ่อนตัวอยู่ในกองก้อนหินขนาดใหญ่และหันไปมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เผ่ามารที่อยู่ใกล้เคียงมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ในบริเวณก็กำลังวิ่งไปทางเนินเขา
การต่อสู้บนเนินทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ฝึกยุทธราวเจ็ดคนถูกล้อมกรอบไปด้วยชั้นแนวโจมตีของเผ่ามารที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนพวกมันจะไม่คิดอนุญาตให้อีกฝ่ายล่าถอย!
ผู้ฝึกยุทธไม่เพียงต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางเผ่ามาร แต่ยังต้องกระตุ้นพลังวิญญาณอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย นั่นก็เพราะพวกเขายังไม่อยากสิ้นหวัง...หากสัมผัสได้ถึงความผันผวน นั่นจะหมายความว่ามีกำลังเสริมมาช่วยเหลือพวกเขา!
หลังจากที่เฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็ดูจะหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“คนพวกนี้อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตก่อตั้งและขอบเขตแก่นทองคำ”
กล่าวได้ว่า หากเผชิญหน้ากันตรงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือเผ่ามารทุกหนแห่งที่อยู่ไกลออกไปเขาก็ไม่สามารถจัดการมันได้
“พื้นฐานวรยุทธของฉันยังต่ำเกินไป มีหลายกลยุทธ์ที่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ในเวลานี้ ถ้างั้นคงเหลือแค่เพียง...”
ระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิด เผ่ามารราวห้าตัวที่กระจายอยู่รอบๆก็พบตัวเขาแล้ว
พวกมันคำรามลั่น ก่อนจะพุ่งร่างทั้งร่างไปยังทิศทางดังกล่าว เบียดเสียดกัน ผลักดันกันไป ขัดขวางพวกเดียวกันเอง เพื่อหมายจะสวาปามเลือดเนื้อสดๆ นี้เป็นตัวแรก
กู่ฉิงซานไม่แม้แต่จะหันไปมองเผ่ามารที่อยู่ในขั้นก่อตั้งเหล่านี้ เขาคว้าหยิบดิสก์ค่ายกลขึ้นมา ถือไว้ในมือข้างหนึ่งและถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป ทันใดนั้นดิสก์ค่ายกลก็ถูกใช้ออกอย่างรวดเร็ว
สองมือประสาน ปากเผยอตะโกนออกไป “รีบมาหลบที่นี่เร็วเข้า!”
อีกด้านหนึ่ง ทางฝั่งผู้ฝึกยุทธหลายคนที่กำลังต่อสู้ อีกคนหนึ่งได้ตกตายลงกลายเป็นศพ ทว่าก็ถูกกัดแทะโดยเผ่ามารจนไม่เหลือชิ้นดี สถานการณ์สถานการณ์ดูจะล่อแหลมมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าเมื่อพวกเขาได้ยินคำของกู่ฉิงซานเลยหันไปมอง และพบว่าเจ้าของเสียงกำลังถือดิสก์ค่ายกลอยู่ ร่างของทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน สีหน้าเผยให้เห็นถึงความสุข
“ดิสก์ค่ายกล!”
“เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกล! ปรมาจารย์ค่ายกลล่ะ!”
“ยอดเยี่ยม พวกเรารอดแล้ว!”
ปรมาจารย์ค่ายกลนับว่าการดำรงอยู่ของตัวตนอันแสนหายาก และแต่ละคนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติของนิกาย เอ...ว่าแต่ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่คนเดียวล่ะ?
ทว่าพวกเขาไม่มีเวลามามัวคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้
เมื่อพวกเขาเห็นประกายแสงแห่งความหวังในการเอาชีวิตรอด จิตวิญญาณก็พลันกลับมาสดใส ทั้งหมดรวมพลังโจมตีไปในทิศทางเดียวเพื่อผลักดันเผ่ามารให้ถอยร่นออกไป
ภายใต้กระบวนการดังกล่าว พวกเขาก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้กู่ฉิงซานมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งหันไปหาสหายของเขาอีกสองคนละกล่าวสั่งว่า “ชายคนนี้เป็นแค่เพียงขอบเขตปราณปรับแต่ง ปกป้องเขาเร็ว”
“รับทราบ!”
นี่คือปรมาจารย์ค่ายกล ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะซื้อชีวิตพวกเขาได้!
หัวหน้าของกลุ่มผู้ฝึกยุทธสะบัดพัดหยกในมือ ก่อนจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราอันทรงพลัง
ภายใต้เทคนิคมนตราของเขา เผ่ามารจำนวนหนึ่งพลันถูกเปลี่ยนเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง ส่วนเผ่ามารที่แข็งแกร่ง แม้จะไม่ถึงขั้นถูกแช่แข็งแบบตัวอื่นๆ แต่ฝีเท้าของพวกมันก็ชะลอลง
ผู้ฝึกดาบและผู้ใช้กระบี่พุ่งเข้าคอมโบสนับสนุนกระบวนท่านี้ทันที ประกายอันแหลมคมของอาวุธทั้งสองกะพริบไหว เก็บเกี่ยวชีวิตของเหล่ามารอย่างรวดเร็ว
ด้วยเทคนิคมนตราที่กินวงกว้างนี้ ส่งผลให้เผ่ามารโดยรอบไม่เชื่องช้าก็หยุดนิ่ง เลยพลอยทำให้ผู้ใช้กระบี่และผู้ฝึกดาบกลายเป็นดูรวดเร็วยิ่งขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด เพียงไม่กี่ลมหายใจพวกเขาก็พุ่งมาถึงตัวของกู่ฉิงซานและคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็เข่นฆ่าเผ่ามารหลายตัวที่ตรงเข้ามาจะฆ่ากู่ฉิงซานในตอนแรกลงจนหมดโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานกวาดสายตาไปยังคนทั้งสอง ก่อนจะหยุดลงที่ผู้ฝึกดาบ สายตาเลื่อนลงจับจ้องอาวุธของอีกฝ่ายอย่างไม่อาจละสายตาไปได้อีก
นั่นมันดาบ!
กู่ฉิงซานจ้องมองดาบยาวในมือของนักดาบ ห้านิ้วในมือของเขาอดไม่ได้ที่จะขยับขยุกขยิกไปมา
นับตั้งแต่ที่จุติใหม่อีกครั้ง กู่ฉิงซานไม่แม้แต่จะสามารถคิดถึงกระบวนท่าเทคนิคดาบได้เลย ราวกับว่าเทคนิคดาบทั้งหมดที่เขาเคยเรียนมา ถูกระบบจงใจปิดผนึกเอาไว้
แต่เขารู้สึกว่าตนสามารถตระหนักได้รางๆ ว่าแท้จริงแล้วที่ระบบทำเช่นนี้ก็เพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาร้ายแรงอันน่าหวาดหวั่นบางอย่างในยามเขาถูกส่งข้ามมิติและห้วงเวลามา
กู่ฉิงซานยังสามารถจดจำได้รางๆ ถึงวลีที่ระบบเอ่ยออกมาหลังจากที่เขาสามารถจุติใหม่ได้สำเร็จ ใจความว่า “การลักลอบข้ามมิติประสบความสำเร็จ”
แต่ตอนนี้เขาได้จุติใหม่สำเร็จแล้ว แต่ผนึกอันแสนจะลึกลับในร่างกายกลับยังไม่ถูกเปิดออก
สัญชาตญาณอันลึกล้ำและไร้ที่สิ้นสุดบอกกับกู่ฉิงซานว่า เขาต้องการดาบ!
เหมือนกับในอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ที่เขาได้ใช้ดาบล่าสังหารเผ่ามารลงนับไม่ถ้วน!
ผู้ฝึกดาบที่อยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุดสังเกตเห็นสายตาร้อนแรงของกู่ฉิงซาน เขาก็เผยถึงความฉงนขึ้นในแววตา
ไม่! ไม่ ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้!
กู่งฉิงซานระงับแรงกระตุ้นในจิตใจ ก่อนจะหันหัวไปยังคนที่ดูจะเป็นหัวหน้า
‘นั่นคงจะเป็นธาตุน้ำจากธาตุทั้งห้าที่อยู่ในขอบเขตที่สองขั้นสูงสินะ หากไม่ใช่เพราะคนนี้แล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งหมดก็คงจะตายไปนานแล้ว’
กู่ฉิงซานแอบประเมินอีกฝ่ายอย่างลับๆ ก่อนจะหันหัวไปอีกทาง สายตาตกลงบนอีกสองผู้ฝึกยุทธที่เหลืออยู่
ผู้ฝึกยุทธทั้งสองประจำตำแหน่งเบื้องหน้าของหัวหน้า และโจมตีออกด้วยเท้าและหมัดอันทรงพลัง แต่ละครั้งรุนแรงถึงขั้นสามารถส่งเผ่ามารตัวใหญ่ลอยกระเด็นออกไปได้
นี่คือหวูเต๋า ที่สามารถผสานแก่นแท้ของปราณและเลือดเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถใช้ออกทุกอย่างในตัวเป็นอาวุธได้
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ทั้งสองก็น่าจะเป็นหวูเต๋าขอบเขตยอดปรมาจารย์นักสู้ขั้นสูงสุด และเกือบที่จะก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตบรรพชนนักสู้แล้ว
เบื้องหลังเหล่าผู้ฝึกยุทธ ปรากฏภาพเผ่ามารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าวิ่งเบียดเสียดกันลงจากภูเขาจนสุดสายตา
เวลาได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หลายคนก็เริ่มวิ่งตรงไปยืนล้อมรอบกู่ฉิงซานและปกป้องเขา
ผู้ฝึกยุทธที่ถือพัดหยกหันมาเอ่ยถามอย่างร้อนรน “นี่คือค่ายกลอะไร? ใช้เวลาจัดตั้งนานไหม? ต้องให้พวกฉันประจำตำแหน่งไหนบ้าง?”
หลายคนส่งสายตามายังเขา
การจัดตั้งค่ายกลมันจำเป็นต้องใช้เวลา ในกรณีที่กู่ฉิงซานใช้เวลานานมากเกินไป นานเกินกว่าที่ทุกคนจะต้านทานเหล่ามารได้ไหว ค่ายกลก็จะไม่สมบูรณ์ และแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องตลก!
กู่ฉิงซานได้ยินคำถามก็ส่ายหัวและกล่าว “จัดตั้งได้ทันที”
เขาวางฝ่ามือลงบนดิสก์ค่ายกล ก่อนจะประสานสองมือเข้าด้วยกัน
กงซุนซีเตรียมดิสก์ค่ายกลให้แก่เขา มันเป็นดิสก์ค่ายกลที่ซ้อนค่ายกลอันลึกล้ำหลายอันรวมไว้ด้วยกัน
กงซุนซีสอนเทคนิคพิเศษต่างๆ ของดิสก์ค่ายกลให้แก่กู่ฉิงซาง ‘ทุกครั้งที่เริ่มใช้ค่ายกล กู่ฉิงซานจะต้องกระตุ้นพลังวิญญาณเพื่อจับคู่กับค่ายกลที่ต้องการใช้ออกแบบเฉพาะเจาะจง หลังจากนั้นก็จะสามารถใช้งานมันได้เลยในทันที’
เดิมปรมาจารย์ค่ายกลจะต้องทำการผนึกจัดตั้งค่ายกลเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าสำหรับกู่ฉิงซานจะไม่จำเป็น ทำให้ตัวเขาในตอนนี้ดูราวกับเป็นเสมือนดั่งปรมาจารย์ค่ายกลชื่อดัง!
มีเพียงสุดยอดปรมาจารย์ค่ายกลผู้ยิ่งใหญ่อย่างกงซุนซีเท่านั้นที่จะสามารถสร้างค่ายกลซ้อนๆ กันในดิสก์ค่ายกลได้ มันเป็นเคล็ดลับเฉพาะตัวของเขา กู่ฉิงซานยอมรับเลยว่าตอนนี้ตัวเขาดูเหมือนกับกำลังแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นอย่างไรอย่างนั้นเลย
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือ ค่ายกลที่อยู่ในดิสก์ค่ายกลนี้ เมื่อถูกใช้ออกไปแล้ว มันก็จะสลายไป
เวลานี้สถานการณ์กำลังตกอยู่ในขั้นวิกฤติ ผู้ฝึกยุทธหลายคนเป็นก็เพียงคนแปลกหน้า หากกู่ฉิงซานไม่ใช้ออกด้วยค่ายกลให้เห็นว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ค่ายกลแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายไม่มีทางยื่นมือมาช่วยเขาอย่างแน่นอน
“น้ำ ลม หมอก พื้นดิน ท้องฟ้า เชื่อมสวรรค์ ซ่อนเร้น!”
กู่ฉิงซานกระตุ้นพลังวิญญาณของตน บนดิสก์ค่ายกลก็พลันทะลักล้นออกมาด้วยทะเลดวงดาวระยิบระยับ ก่อนที่ดวงดาวสี่ดวงจะพลันเปล่งประกายและสว่างวาบ
เปิดใช้งานค่ายกล!
ค่ายกลซ่อนเร้นที่แข็งแกร่งที่สุดถูกกระตุ้นโดยพลังวิญญาณของกู่ฉิงซาน และพริบตาเดียวมันก็ดูดกลืนพลังวิญญาณของเขาไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ทะเลดวงดาวเข้าปกคลุมเหนือหัวเขาและเหล่าผู้ฝึกยุทธ และในช่วงพริบตาเดียว ทั้งกู่ฉิงซานและผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็หายวับไปท่ามกลางวงล้อมเผ่ามารนับไม่ถ้วน
เมื่อไม่พบเป้าหมาย เผ่ามารนับไม่ถ้วนก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานพวกมันก็กระโจนใส่กันเอง และฉีกทึ้งอีกฝ่าย กัดกระชากและกลืนกินด้วยความหิวโหย
มารยักษ์ที่แสนน่าหวาดหวั่นไม่อาจทนหัวร้อนอารมณ์เสียได้อีกต่อไป มันกระโจนเข้าร่วมวงโดยเอื้อมมือออกไปคว้าจับเผ่ามารหลายตัวที่กำลังชุลมุนกันอยู่แล้วยัดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวกรุบกรับ แล้วลากร่างอันใหญ่โตของมันเดินห่างออกไป
การกระทำของพวกกู่ฉิงซาน นับว่าได้ทำลายความภาคภูมิของเหล่ามารโดยตรง!
หลังจากนั้นไม่นานเผ่ามารกว่าครึ่งก็กระจายตัว แยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ
ในค่ายกลซ่อนเร้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดนอนแผ่ลงกับพื้น และอ้าปากพะงาบๆ เพื่อเรียกอากาศเข้าปอด
พวกเขาทั้งหมดถึงขีดจำกัดแล้ว
………………..………………..