webnovel

IANZO Since 2040

ในอนาคตที่โลกได้ดำเนินมาถึงจุดที่มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการทดลองจนได้รับสิ่งที่ถูกนิยามว่า 'เวทมนตร์' ขึ้นมาใช้กอบกู้โลกที่มืดมนเหลือเกินในตอนนั้นให้กลับมาสงบสุขเรื่อยมาและก่อเกิดเป็น ‘เอียนโซ’ องค์กรนักเวทมนตร์ผู้ถูกสรรเสริญเป็นวีรบุรุษกอบกู้โลกในปี 2040 เรื่องราวการเดินทางของ ‘วีโอเลต รอจเจอร์’ เด็กสาวที่เกิดจากครอบครัวธรรมดา ผู้มีความฝันเกินกว่าความธรรมดา เธอฝันอยากจะก้าวข้ามไปอยู่ในโลกของนักเวทมนตร์เหมือนกับพ่อของเธอที่สละชีวิตเพื่อปกป้องโลกใบนี้ไปตั้งแต่ก่อนเธอจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเสียอีก...ทว่าสุดท้ายแล้วเธอกลับลงเอยด้วยการกลายเป็น ‘นักเวทมนตร์นอกรีด’ ศัตรูตัวฉกาจขององค์กรเอียนโซอย่างปริศนา... จุดหักเหแห่งชีวิตของนักเวทมนตร์นอกรีดผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตคนนี้มาจากอะไร? ยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้...

O_Jay · Fantasía
Sin suficientes valoraciones
42 Chs

บทที่9 : การเดินทางสู่สนามทดสอบ

บทที่9

การเดินทางสู่สนามทดสอบ

2เดือนผ่านไป

หญิงสาวเจ้าของแววตามุ่งมั่น ซึ่งตอนนี้สีผมเปลี่ยนเป็นสีเขียวสะท้อนแสง เธอเดินเข้ามาในห้องวิจัยที่คุ้นเคย สีหน้าดูเหนื่อยล้าราวกับเพิ่งผ่านการสู้ศึกมา ในมือขวามีซองเอกสารสีน้ำตาลที่มุมด้านซ้ายล่างของซองถูกประทับตราสัญลักษณ์ประจำองค์กรซึ่งมีลักษณะเป็นรูปดอกไซคลาเมนที่มีชื่อองค์กร 'IANZO' ประดับอยู่ด้วยกัน

"อาจารย์ฝากมาให้อ่ะแก" วีโอเลตยื่นซองเอกสารขนาดA4ให้ชายหนุ่มเจ้าของแว่นกรอบดำทรงกลมที่นั่งเช็คงานจากหน้าจอแท็บเลตในมืออยู่ก่อนแล้ว

"..." นิปุณไม่ได้ถามอะไร เขารับซองมาเปิดและหยิบกระดาษด้านในออกมาอ่าน...ก่อนจะหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่แปลกใจนัก "แกปฏิเสธไปแล้วเหรอ?"

"..." วีไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าด้วยแววตาเบื่อโลกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง

"อย่าบอกนะว่าที่ไม่เห็นหน้าเห็นตาแกตั้งแต่เช้า..."

"อยู่กับศาสตราจารย์น่ะสิ นั่งฟังเทศน์เป็นชั่วโมง ขนาดตอนเที่ยงก็ยังอุตส่าห์ลากฉันไปกินข้าวด้วย อาหารไม่ย่อยแล้วเนี่ย" เธอว่าพลางลูบท้องตัวเองเบาๆ

"แหงดิ เมื่อ2เดือนก่อนแกเพิ่งจะเสนองานวิจัยระดับSไปนี่หว่า พอมาวันนี้ดันปฏิเสธงานตำแหน่งใหญ่ซะงั้น"

"แกก็รู้ว่านั่นมันงานวิจัยบังหน้าเพื่อให้ฉันเอาสูตรที่เบาที่สุดไปใช้เพิ่มพลังงานให้ตัวเอง แถม...นั่นมันงานวิจัยของฉันคนเดียวซะที่ไหน?"

"แกก็รู้ว่าเอียนโซก็เล็งแกไว้ตั้งแต่ปีแรกๆ แล้วศาสตรจารย์เขาก็เป็นคนของเอียนโซอยู่แล้วนี่"

"แล้วไงอ่ะ? ไม่ไปซะอย่าง" เธอว่าพลางยู่ปากทำหน้ามุ่ย ทำเอาชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู "แล้วแกจะไปป่ะ?"

"ก็ต้องไปสิ ฉันไม่ใช่คนประหลาดแบบแกที่จะปฏิเสธงานขององค์กรระดับเอียนโซอยู่แล้ว"

"...งั้นนี่ก็จะเป็นครั้งแรกเลยดิ ที่เรา2คนแยกกันอยู่"

"อือ...ตัวติดกันมาเป็น10ปีแล้วนี่นา แยกๆกันบ้างเผื่อจะได้มีเพื่อนเยอะขึ้นหน่อยเนอะ ทุกวันนี้คบกันอยู่แค่2คนเนี่ย"

"ทำไม? เบื่อเหรอ?"

"เปล๊า! ก็ลองห่างๆ กันบ้าง เผื่อแกจะได้มีเวลาคิดถึงฉันบ้าง" เขาว่าพลางหันมาส่งยิ้มยียวนกวนประสาท

วีโอเลตมองรอยยิ้มนั้นก่อนจะกรอกตามองบนและแลบลิ้นล้อเลียน ทำเอาชายตรงหน้าหลุดขำออกมาเล็กน้อย

"เออ แล้วนี่สอบคัดเลือกเมื่อไหร่ล่ะ?"

"อาทิตย์หน้านี่เอง น่าจะเป็นวันเดียวกันกับที่แกไปต้องรายงานตัวที่ปราสาท" เธอตอบพลางยกมือข้างขวาขึ้นมาเท้าคาง "นี่เพื่อนฉันกำลังจะไปรับตำแหน่งผู้ช่วยนักเคมีเวทมนตร์ประจำองค์กรเอียนโซเชียวนะเนี่ย"

"...แกว่าฉันจะทำได้มั้ย?" ชายหนุ่มเริ่มแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมาถามคำถาม

"แล้วทำไมถึงจะทำไม่ได้ล่ะ?"

"ก็ที่ผ่านมาฉันมีแกอยู่ด้วยตลอดนี่นา" เขาก้มหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่มั่นใจออกมา

"ฉันไม่ได้ช่วยอะไรแกสักอย่างเลยนะ รางวัลที่ได้มาแกก็ได้ของแกเองทั้งนั้น" หญิงสาวหันไปตอบด้วยสีหน้าจริงจัง "อย่าเผลอกดความมั่นใจตัวเองลงแค่เพราะอยู่กับอัจฉริยะอย่างฉันสิ แกก็รู้อยู่ว่าฉันน่ะมันคนละระดับกับคนอื่น" เธอพูดจาน่าหมั่นไส้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยักไหล่เบาๆ

"เออ แกมันฉลาด ฉลาดปะล้ำปะเหลื่อ" เขาตอบเชิงประชดประชันพลางแสดงรอยยิ้มกว้างที่โผล่ออกมาแบบห้ามไม่ได้ "...แกจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่มั้ย?" เขาค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วถามคำถามเธอด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้น

"ทำไมล่ะ? ฉันดูเหมือนจะเป็นอะไรรึไง?"

"ฉันรู้แหละว่าแกมันเก่งอยู่แล้ว...แต่แกต้องเปลี่ยนสถานะจากหัวกะทิคณะเคมีเวท กลายเป็นคนธรรมดาที่ต้องตะเกียกตะกายอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเวทที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์...มันดูเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวนะ"

"น่าสนุกดีออก" เธอตอบกลับพร้อมส่งสายตาที่ดูวิ้งวับเป็นประกายออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นความตื่นเต้นของเด็กสาวที่ส่งผ่านแววตามา ปุณก็คลายความกังวลลง เขาค่อย ๆ ยิ้มออกมาบางๆ

"ถ้าแกว่าอย่างนั้นก็...ตามนั้นแหละ" เขาพูดไป แต่แววตาก็ยังคงหลงเหลือความกังวลแฝงอยู่

"ถ้าเป็นห่วงนะ แกก็ตั้งใจทำงานให้เลื่อนขั้นไวๆเข้าไว้นะ ถ้าเกิดฉันไปสายนั้นไม่รอดขึ้นมาจะได้ซมซานกลับไปของานจากเพื่อนรักได้ไง"

"เตรียมแผนสำรองไว้ดิบดีเลยนะเนี่ย งั้นเพื่อนรักคนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขยันทำงานสินะ" สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเอือมระอา

"ก่อนจะได้ขยันทำงานได้เลื่อนขั้น ก่อนอื่นแกต้องส่งใบตอบรับก่อนนะ รีบๆ เขียนแล้วส่งศาสตราจารย์ไปเลย เขาจะได้ตัดใจจากฉันสักที" เธอทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นมาตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ "รีบเขียนส่งได้แล้ว แกต้องไปทำพาร์ทไทม์ต่อไม่ใช่เหรอ?"

"เออๆ รู้น่า"

หลังจบประโยคนั้น หญิงสาวก็โบกมือลาส่งให้เขา ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยมีสายตาของนิปุณมองตามไปด้วย

ชายหนุ่มที่แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะไปทำงานพาร์ทไทม์สาย ก็ยังคงนั่งเท้าคางมองตามร่างบางของเด็กสาวผมสีเขียวที่ก้าวเดินไปอย่างสบายใจเฉิบราวกับชีวิตของเธอไม่มีเรื่องให้กังวลแม้แต่เรื่องเดียว ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่แบบนั้นเลย...

ไม่นานนักหลังจากเธอเดินออกไป จู่ ๆ ร่างสูงของชายเจ้าของผิวสีแทนและแววตาขี้เล่นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ภาพนั้นทำเอานิปุณเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเล็กน้อย ร่างกายของเขาขยับโดยอัตโนมัติ ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกกดปุ่มเปิดระบบทำงาน...ทว่าเขาตั้งสติและหยุดตัวเองไว้ชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่ภาพของชายหญิงด้านนอกห้องอีกครั้ง

พวกเขา2คนคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ วิคเตอร์ทำหน้าตาท่าทางยียวน เหมือนจะพยายามยื้อให้หญิงสาวอยู่คุยด้วย แต่ทางวีโอเลตเองก็ตอบกลับอะไรบางอย่างไปก่อนจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น ทำเอาแววตาขี้เล่นของชายตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแววตาหมาหงอย ก่อนที่เขาจะเดินหลบออกมาอยู่ริมทางเดินและยังคงทำหน้าตาน้อยใจใส่หญิงสาว แม้ว่าเธอจะไม่ได้สนใจและเลือกที่จะเดินผ่าไปอย่างสง่าผ่าเผย

พอเห็นภาพเหตุการณ์นั้น นิปุณที่เฝ้ามองจากในห้องก็เริ่มวางใจ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้ว วีก็ดูแลตัวเองได้มาตลอด และต่อไปก็คงจะเป็นแบบนั้น...ไม่ได้จำเป็นจะต้องมีเขาอยู่ด้วยตลอดสักหน่อย...เขาต่างหากที่ต้องหัดทำอะไรตัวคนเดียวให้ได้สักที

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองที่ถ้วยรางวัลที่วางคู่กันอยู่บนชั้นวางด้านซ้าย

...นั่นคือถ้วยรางวัลแรกที่เขากับวีได้รับมาในฐานะนักศึกษาคณะเคมีเวทมนตร์

'รางวัลชนะเลิศ : วีโอเลต รอจเจอร์'

'รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 : นิปุณ ลันตา'

ทุกๆ รางวัลที่พวกเขาลงแข่งมา อันดับ1และ2จะตกเป็นของพวกเขาเสมอมา แน่นอนว่าเขาเป็นที่2รองจากเธอมาตลอด เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มลงสนามแข่ง

ครั้งแรกที่เราต้องมาลงแข่งชิงตำแหน่งสำคัญกันเองจริงๆ ...และแน่นอนว่าวีโอเลตเองก็มีความสามารถมากพอที่จะทะยานขึ้นเป็นอันดับ1ได้อยู่แล้ว...แต่แววตาที่เธอมองมาที่เขาในวันนั้นกลับดูสับสน ราวกับเธอกำลังจะตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต...ในวันนั้นวีโอเลตกำลังจะแกล้งทำพลาดด้วยการจงใจจะผสมสารเคมีผิดตัว เพื่อให้นิปุณได้รับอันดับที่1ไป

แน่นอนว่าเขามองออกได้ทันเวลา แล้วห้ามเธอไว้ได้ทันด้วยเพียงการส่งสายตาเท่านั้น...พวกเราสนิทกันถึงขนาดนั้นแหละ ขนาดที่สามารถอ่านออกจากสายตาของอีกฝ่ายได้ทันทีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ...

หลังจบการแข่ง วีโอเลตได้รับอันดับ1ไปครอง และนิปุณก็ตามมาที่อันดับที่2...เขา2คนนั่งอยู่ด้วยกันในห้องเงียบๆ อยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเริ่มเคลียร์ประเด็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และในวันนั้นเขาก็ได้รับคำตอบของการกระทำของเธอ

'ฉันไม่คิดว่านี่เป็นที่ของฉัน...ฉันทุ่มความพยายามไปให้การฝึกเพื่อเป็นนักเวทจนไม่เหลือความพยายามให้การเป็นนักเคมีเวทด้วยซ้ำ...พวกเขาบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ แล้วมันยังไงล่ะ? ถ้าฉันไม่ได้พยายามเพื่อมันด้วยซ้ำ มันสมควรแล้วจริงๆเหรอที่ฉันจะได้รับรางวัลนี้? ฉันรู้สึกเหมือนว่าการมีอยู่ของฉันกำลังดูถูกการแข่งขันนี้'

แววตาของเด็กสาวที่เคยมั่นใจกับทุกๆเรื่องในชีวิต ณ ตอนนั้นกลับดูสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

'สิ่งที่ดูถูกการแข่งนี้คือการที่แกคิดจะแกล้งแพ้ต่างหาก...ถ้าแกอยากจะรักษาศักดิ์ศรีของคนที่พยายามมากกว่าแกล่ะก็...ใส่ทุกอย่างที่แกมีลงในการแข่งทุกครั้งซะ อยู่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเป็นที่1ของฉันไปจนกว่าจะถึงวันที่ฉันก้าวข้ามพรสวรรค์ของแกได้'

เขาบอกให้วีโอเลตเต็มที่กับทุก ๆ การแข่งขันจนกว่าเขาจะก้าวข้ามเธอได้ด้วยตัวเอง...แต่จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่เคยชนะเธอได้เลยสักครั้ง...รางวัลที่ได้รับในทุกๆ การแข่งขันมักจะเป็นรางวัลที่รองจากเธอเสมอ แต่ความอิจฉาก็ไม่เคยได้มีโอกาสก้าวเข้ามาในจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนที่ดำเนินมาด้วยการซัพพอร์ตกันและกันมาตลอดในช่วงเวลาที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม...เขายังคงจำภาพของเด็กสาวในยูนิฟอร์มนักเรียนม.ต้น คนเดียวที่เริ่มเข้ามาพูดคุยกับเขาจนสนิทกัน และเป็นเพื่อนคนแรกที่พาเข้าไปรู้จักกับครอบครัวของเธอ...จนทุกวันนี้กลายเป็นว่าเขาได้เข้าไปเป็นคนในครอบครัวของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ครอบครัวที่เขาไม่เคยมี และไม่เคยคิดว่าจะได้มี...

1 สัปดาห์ถัดไป

วันสอบคัดเลือกนักเวทมนตร์ประจำปี

กลุ่มคนมากมายร่วมร้อยมารวมกันอยู่ในสถานที่ประจำเขต แต่ละเขตทั่วโลกจะมีศูนย์กลางของเขตให้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกเข้าประจำที่ในเครื่องจักรขององค์กรเอียนโซที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ โดยมีป้ายหมายเลขแสดงอยู่ด้านบนของแต่ละเครื่อง

'103'

หญิงสาวที่เดินคล้องแขนมาด้วยกัน2คน คนหนึ่งเป็นหญิงวัยราว ๆ 50ปี ส่วนอีกคนคือหญิงสาววัย 22ปี เจ้าของผมสีชมพูที่เพิ่งถูกย้อมสีกลับมาเมื่อวันก่อน

ทั้ง2คนมาหยุดอยู่ที่เครื่องจักรรูปร่างเป็นอุโมงค์และมีเตียงโลหะติดอยู่กับอุโมงค์ ลักษณะคล้ายกับเครื่อง MRI ด้านบนของเครื่องจักรมีป้ายหมายเลข103 ซึ่งเป็นเลขที่เดียวกันกับบัตรประจำตัวผู้เข้าทดสอบที่ถูกส่งมาที่บ้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

"เครื่องนี้แหละ" วีโอเลตมองหมายเลขบนป้ายด้านบนสลับกับหมายเลขบนบัตรในมือ ก่อนจะพูดขึ้นมา

"อีก15นาทีถึงจะเริ่มเดินเครื่องพร้อมกันใช่มั้ย?"

'กิริน' คือหญิงเจ้าของนัยน์ตาสีบลูเบอรี่ ที่ถูกถอดแบบมารุ่นต่อรุ่น และยังถูกส่งต่อให้กับลูกสาวของเธอ 'วีโอเลต'

"อื้อ แม่ต้องกลับไปทำงานต่อเลยใช่มั้ยเนี่ย?"

"อยากให้อยู่รอก่อนมั้ยล่ะ?"

"โหย ทำเป็นมาส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลไปได้ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก"

"ดีมาก นี่แหละคำที่แม่อยากได้ยิน" คุณแม่ฉีกยิ้มสดใสทันทีที่ได้ยินคำตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวลูกสาวเบาๆ

"คุณกิรินเกลียดการอยู่ในฝูงชนคนเยอะๆ อย่างกับอะไรดี ใครไม่รู้บ้างล่ะคะ?"

"รู้ใจจริงๆ เลยนะลูกสาว นี่ถ้าไม่ติดว่า 'ลูกชาย' แม่ไม่ว่างนะ แม่ส่งถึงแค่หน้าบ้านแล้วเนี่ย" เธอพูดในเชิงหยอกล้อ แต่ลูกสาวผู้รู้ใจนั้นดูออกว่าคุณเธอพูดเรื่องจริง100เปอร์เซ็นต์

"นี่แม่กะจะยกให้ไอ้ปุณมันเป็นผู้ปกครองหนูเลยรึเปล่าเนี่ย? งานราชงานหลวงอะไรก็ส่งมันมาเป็นตัวแทนตลอดเนี่ย" เด็กสาวว่าก่อนจะยู่ปากใส่คนเป็นแม่

"ก็แม่ไว้ใจไงว่าลูกปุณของแม่จะดูแลเราได้" เธอว่าพลางยกมือ2ข้างขึ้นมาลูบหัวลูกสาวพลางส่งยิ้มสดใสให้

"จากนี้หนูน่าจะได้เจอมันน้อยลงแล้วนะ แม่จะอดสอดแนมเรื่องของหนูจากลูกชายคนโปรดแล้วนะ บอกไว้ก่อน"

"ลูกสาวแม่ก็ไม่ใช่คนชอบปิดบังอะไรอยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวมีเรื่องอะไรก็อดไม่ได้ต้องมาเม้าท์มอยให้แม่ฟังอยู่ดี"

"ก็แม่เลี้ยงลูกมาเป็นเด็กพูดมากนี่นา จะให้ทำไงได้ล่ะ"

สองคนยืนต่อปากต่อคำแบบคนรู้ทันกันอยู่สักพัก ก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสให้กันและกัน

"ไปเตรียมตัวได้แล้วไป แม่จะไปแล้ว"

"โอเค กลับดีๆ นะ" เด็กสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเข้าไปกอดหญิงตรงหน้า และยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บเบาๆที่แก้ม2ข้าง

กิรินกอดตอบและเอียงคอซ้ายขวารับเล็กน้อยอย่างเคยชิน ก่อนที่ทั้งคู่จะผละออกจากกันช้าๆ

คนเป็นแม่เดินออกไปพลางโบกไม้โบกมือลากับลูกสาวอย่างร่าเริง ก่อนจะหันหลังไปที่ทางออก...ทว่าทันทีที่หันไป สายตาของเธอไปสบเข้ากับภาพๆหนึ่งที่ทำเอาก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะ

วีโอเลตเอียงคอมองแผ่นหลังของแม่ด้วยความแปลกใจ เธอค่อยๆ หันมองตามทางที่แม่ของเธอยืนมองค้างอยู่...ภาพนั้นคือกลุ่มของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งที่เดินมาด้วยกัน และหนึ่งในนั้นมีคนที่คุ้นตาเธออยู่...วิคเตอร์ ชายร่างสูงผิวสีแทนที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขายืนฟังหญิงวัยใกล้เคียงกับแม่ของเธอพูดอะไรบางอย่างอยู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉยสักพัก ก่อนจะบังเอิญหันหน้ามาทางวีโอเลตพอดี

ทันทีที่เจอหน้าเธอ ชายหนุ่มก็ยิ้มร่าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ก่อนจะยกมือโบกทักทายเธอเบาๆโดยไม่ได้สนใจหญิงสาวตรงหน้าเขานัก ในวินาทีนั้น หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มขี้เล่นก็หันหลังมามองตามสายตาของเขา ก่อนจะพบกับวีโอเลต

สายตาของหญิงคนนั้นส่งความรู้สึกเชือดเฉือนมาที่เด็กสาวทันที ราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเจอกัน... ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาไปเจอกับกิริน ที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ทันใดนั้นเอง สายตาของหญิงแปลกหน้าคนนั้นก็ส่งบรรยากาศเย็นยะเยือกยิ่งขึ้นมาที่แม่ของเธอ ก่อนจะกรอกลูกตามองแม่ของวีตั้งแต่หัวจรดเท้าและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจ แล้วจึงหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าดังเดิม

วีโอเลตหันกลับมามองแม่ของเธอที่หันหน้าหนีไปอีกทาง และถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

ทิ้งให้เด็กสาวมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความสงสัยอยู่สักพัก ก่อนจะสลัดความสงสัยและเดินไปที่เครื่องจักรด้านหลัง เพื่อนำกระเป๋าสัมภาระไปเก็บเข้าที่ด้านหลังเครื่องตามคำแนะนำที่เขียนอยู่ในป้ายด้านหน้า

"เอาของติดตัวไปแค่นั้นเองเหรอ?" น้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาใกล้ๆ วีโอเลตจึงเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเจ้าของเสียง และพบกับเด็กหนุ่มแววตาขี้เล่นที่ยืนอยู่ที่ด้านหลังเครื่องจักรเครื่องข้างๆกันกับเธอ

"อือ ขี้เกียจพกไปเยอะน่ะ"

"ว่าแต่ว่านะ...เธอรู้จักกับแม่ฉันด้วยเหรอ?" เขาเข้าเรื่องที่สงสัยโดยไม่อ้อมค้อม แววตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

"...คนที่อยู่กับนายเมื่อกี้นี้น่ะเหรอ?"

"อื้อ ที่สายตาแบบ มีออร่าอำมหิตหน่อยๆอ่ะ ให้เดานะ ที่หันมามองเธอเมื่อกี้เขาน่าจะทำสายตาแบบจิกกัดหน่อยป่ะ?"

"ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง...แต่ฉันว่าฉันไม่เคยรู้จักแม่นายนะ ไม่เคยเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ"

"เหรอ? แปลกจังเลยนะ ถึงคุณนายเขาจะเป็นคนนิสัยเสียขั้นสุด แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาจะไปมองหน้าหาเรื่องใส่คนไม่รู้จักเลยนะ...แปลก...แปลกมาก" เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดกันเป็นปมด้วยความสงสัย

"ช่างเถอะ เขาไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อยนี่นา อาจจะแค่เป็นคนหน้าตาดูเหวี่ยงเฉยๆ ก็ได้ คงไม่มีอะไรมั้ง"

"ไม่อ่ะ เขาแสดงเก่งจะตายไป ปกติก็เห็นตีหน้ายิ้มเข้าสังคมออกจะบ่อย" เด็กหนุ่มพูดถึงคนที่เรียกว่า 'แม่' ในทางที่เสียแบบสุดๆ จนวีโอเลตแอบสงสัยในความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของครอบครัวเดแคลน

หญิงสาวหันกลับไปสนใจเก็บสัมภาระต่อ ก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าเครื่อง และได้พบกับกลุ่มครอบครัวที่ยืนอยู่ด้านหน้าเครื่องจักรอีกข้างหนึ่ง และในกลุ่มนั้นก็มีร่างสูงที่คุ้นตายืนอยู่ด้วย

เด็กหนุ่มเจ้าของแววตาว่างเปล่ายืนฟังหญิงสาววัยเดียวกันกับแม่ของเธอกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าที่ดูอบอุ่น

"อ้าว คุณน้า! สวัสดีครับ" วิคเตอร์ที่เพิ่งเดินมายืนใกล้ๆ กับวีโอเลต ส่งเสียงโพล่งออกมา พลางผงกหัวทักทาย

หญิงสาวที่ยืนอยู่กับเตวิชหันมามองตามเสียงเรียก ก่อนจะส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้วิคเตอร์

"สวัสดีจ้ะ วิคเตอร์ นี่คุณวิคตอเรียไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ?" เธอหันมาทักทายและถามหาบุคคลที่สาม

"แม่เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เองครับ"

"น่าเสียดายจัง อดเจอกันเลยนะ"

โกหก! สีหน้าของเธอดูโล่งใจสุดๆกับคำตอบนั้น

"เดี๋ยววันงานเลี้ยงต้อนรับนักเวทปีนี้ก็น่าจะได้เจอกันแหละครับ" วิคเตอร์ที่ดูออกว่าหญิงตรงหน้าไม่ได้อยากเจอแม่ของเขาสักนิด ทำเป็นเออออตามไปแล้วพูดตามบทที่คิดว่าควรจะพูด

"จ้ะ งั้นไว้เจอกันนะ ยังไงก็ฝากเตด้วยนะลูก ถึงลูกชายน้าจะไม่ได้น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ก็เถอะ" เธอว่าพลางหันกลับไปมองหน้าลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "ว่าแต่ว่า เดือนล่าสุดนี้เห็นว่าพลังเราลดลงเหรอ? น้าได้ยินมาอีกทีน่ะ"

"ครับ ข่าวไปไวเหมือนกันนะครับเนี่ย" วิคเตอร์ที่ได้รับคำถามที่ดูเหมือนจะหวังดีจากหญิงตรงหน้า เขาไม่ได้แสดงออกว่าไม่ชอบใจแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มกว้างและตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนคนไม่คิดอะไรมาก

"ยังไงวิคเตอร์ก็เป็นเพื่อนของลูกชายน้านี่นา น้าก็เป็นห่วงเป็นธรรมดา...ถ้าต้องการคำปรึกษาก็คุยกับเตได้นะลูก ลูกชายน้าน่ะเขามีเคล็ดลับที่ทำให้พลังงานไม่เคยลดลงเลยล่ะ" เธอพูดในเชิงกึ่งแนะนำกึ่งบัฟใส่วิคเตอร์ สีหน้าของทั้งสองคนตอนนี้คือสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่แฝงด้วยนัยยะอะไรบางอย่าง

"ขอบคุณนะครับคุณน้า" วิคเตอร์ยังคงเก็บอาการให้ดูปกติได้ คุณน้าจึงค่อยๆ ละสายตาออกมาจากเขา ก่อนจะหันมาสบตาวีโอเลตที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

"นี่ใครกันจ๊ะเนี่ย? เพื่อนในคลาสของวิคเตอร์เหรอลูก? ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรู้จักกับเตด้วยน่ะสิ" เธอหันมาส่งยิ้มให้เด็กสาวอย่างเป็นมิตร

"อ๋อ นี่ วีโอเลตครับ ไม่ได้เรียนคลาสเดียวกันหรอก แต่เตกับเซนก็รู้จักนะครับ สนิทกันระดับหนึ่งเลยแหละเนอะ" วิกเตอร์ตอบแทน ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้วีโอเลตที่ยืนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

"เอ๋ งั้นเหรอ? งั้นน้าก็คงต้องทำความรู้จักไว้น่ะสิ"

"เอ่อ คือว่า..." วีเริ่มตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบยังไง ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่าสายตาของหญิงสาวตรงหน้าเลื่อนลงมามองเห็นที่ข้อมือของเด็กสาวซึ่งไม่ได้มี 'ตัวอักษรที่ควรจะมี' ในความคิดของเธอ

ทันทีที่พบว่าข้อมือของเธอว่างเปล่า แววตาของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นแววตาเย็นชาไปชั่วขณะ ก่อนที่จะปรับกลับมา

"...เอาไว้ถ้ามีโอกาสเจอกันครั้งหน้า ไว้เราค่อยมาทำความรู้จักกันเนอะ เดี๋ยวน้าต้องไปทำธุระต่อแล้ว ไปก่อนนะลูก" เธอรีบตัดจบบทสนทนาอย่างแนบเนียน ก่อนจะเดินออกไปอย่างมีมารยาท

"เป็นไง? สมกับฉายางูแมวเซาแห่งวงการคุณนายตระกูลนักเวทมั้ย?" วิคเตอร์ก้มลงมาพูดเสียงเบาๆ พลางส่งสายตามองไปที่แผ่นหลังของคุณนายที่เพิ่งเดินออกไปจากวงสนทนา

"งูแมวเซาเลยเหรอ? ไม่ขนาดนั้นมั้ง"

"ไม่ๆๆ ขนาดนั้นแหละ ที่เธอเจอนี่บอกเลยว่าเบาๆ ฉันน่ะเจอจนชินแต่ก็ยังไม่ชินจริงๆ สักทีหรอก กัดเบาๆ แต่พิษค่อยๆทำให้ตายช้าๆ...ถ้าเผลอประมาทล่ะก็ ตายช้าแต่ตายชัวร์" เขาอธิบายในเชิงเปรียบเปรยอย่างละเอียด "ส่วนคุณนายวิคตอเรีย...หมายถึงแม่ฉันน่ะ รายนั้นได้ฉายาเสือเขี้ยวดาบล่ะ แบบว่ากัดเข้าคอทีเดียวกะให้ตายไปเลยไรงี้" เด็กหนุ่มไม่วายหันกลับมานินทาแม่ตัวเองต่อ

"ประกาศจากส่วนกลางของเอียนโซค่ะ ตอนนี้เหลือเวลาอีก5นาที ทางเราจะทำการเดินเครื่องเคลื่อนย้ายผู้เข้าทดสอบไปยังสนามสอบคัดเลือก ขอให้ผู้เข้าสอบทุกๆ ท่านเข้าประจำที่ไว้ก่อนเลยนะคะ ถ้าท่านใดประจำที่ไม่ทัน และไม่ได้รับการเคลื่อนย้ายเข้าสู่สนามสอบ ทางเอียนโซจะตัดสิทธิ์การเข้าทดสอบคัดเลือกทันทีนะคะ"

เสียงประกาศจากลำโพงใหญ่ที่อยู่ในส่วนกลางดังขึ้นมา ผู้เข้าสอบทุกคนจึงเริ่มเตรียมเข้าประจำที่ วิคเตอร์เองก็หันมาโบกมือให้เธอเป็นเชิงขอตัว ก่อนจะเดินกลับไปที่เครื่องตัวเอง ในขณะที่เตวิชที่เพิ่งเก็บสัมภาระที่เครื่องเรียบร้อยกำลังเดินกลับมาที่ด้านหน้า ชายหญิง2คนหันมาสบตากันโดยบังเอิญ ก่อนที่วีโอเลตจะส่งยิ้มให้ก่อน

สายตาว่างเปล่าของเด็กหนุ่มตรงหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เขาส่งยิ้มบางๆ คืนให้หญิงสาว ก่อนที่ทั้งสองคนจะขึ้นไปนั่งบนแท่นโลหะ แล้วจึงล้มตัวลงนอนราบไปกับแท่นที่ติดกับตัวเครื่อง

"ทางเราจะเริ่มเดินเครื่องในอีก10วินาทีค่ะ ...10...9...8..." น้ำเสียงของหญิงผู้ประกาศดังขึ้นอีกครั้ง เธอนับถอยหลังจนถึงเวลา ก่อนที่เสียงของเครื่องจักรจะเริ่มดังขึ้น...