webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · Ciudad
Sin suficientes valoraciones
30 Chs

ภาพลักษณ์ใหม่

ย้อนกลับไปในตอนที่อัคราวิชญ์กำลังจดจ่ออยู่กับความรู้สึกของตัวเองอยู่นั้น วีรภัทราก็ละเมอเล่าถึงเรื่องราวความเจ็บปวดในวัยเด็กที่เคยมี ตลอดจนความทรงจำที่โดนคนรักหักหลัง และความทนทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับอัคราวิชญ์ ทำเอาเขารู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้าอย่างจัง เขาจึงมองย้อนกลับมาที่ตัวเองและตระหนักได้ว่า จริง ๆ แล้วเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเขาขนาดนั้น ต่อให้มีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจกัน เขาก็ควรที่จะคุยกับเธอตรง ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเดินหนี และตีตัวออกห่างจากเธอเพิ่มขึ้น ปัญหาที่แก้ได้กลับเป็นเขาเองที่ผูกมัดปมให้แน่นขึ้น เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้เหตุผลมากขึ้น อย่างน้อย ๆ แม้เขาจะตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะเลือกทางไหนดี แต่ก็ควรที่จะปฏิบัติต่อเธอให้ดีขึ้น ไม่ควรทำตัวร้ายกาจหรือพูดจาไม่น่าฟังกับเธอขนาดนั้น แล้วเขาก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปนอนอีกห้องหนึ่งแทน

ขณะที่อัคราวิชญ์กำลังนั่งอึ้งกับจูบเมื่อกี้อยู่ในห้องนอนอีกห้อง ความคิดหลายอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจเต็มไปหมด ความจริงอย่างหนึ่งที่กระแทกใจเขาคือการที่เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสายตาที่เขามองวีรภัทรานั้นเปลี่ยนไป

อัคราวิชญ์ไม่อยากจะยอมรับกับความรู้สึกนี้เลย เขารู้สึกสับสนและโกรธตัวเองที่รักษาสัญญาที่ให้กับนันทิชาไว้ไม่ได้ เขาไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรดี เพราะในเวลานี้เขารับรู้ได้ถึงใจที่เต้นแรงเพิ่มขึ้นแค่เพียงเห็นหน้าวีรภัทรา อีกทั้งความดังของแอร์ยังเทียบไม่ได้กับความดังในใจเขาเลย

อัคราวิชญ์รู้สึกถึงการถูกแต่งแต้มด้วยสีสันใหม่ ทั้งในแง่ความรู้สึกและการมีอยู่ของวีรภัทรา ทำให้บ้านที่เงียบเหงาแห่งนี้เกิดเป็นความรู้สึกใหม่อย่างที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานมากแล้ว

ค่ำคืนนี้คงมีแค่วีรภัทราที่นอนหลับสนิท นั่นคือสิ่งที่อัคราวิชญ์คิดไว้ ขณะกำลังพยายามสงบจิตใจลงและข่มตานอนหลับให้ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เธอนั้นรู้สึกตัวตอนที่ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกัน พอเธอได้ยินฝีเท้าของเขาเดินออกจากห้องไปแล้ว เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที เธอเผลอใช้นิ้วมือแตะริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับเขา พลางคิดไปด้วยว่าพรุ่งนี้จะเอาไงดี ตอนนี้จะจัดการความรู้สึกอย่างไรดี

วีรภัทราที่กำลังสัมผัสกับความแปลกใหม่ของความรู้สึกนี้อยู่ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบถึงเช้า ไม่ต่างอะไรกับอัคราวิชญ์ที่ตอนนี้ได้แต่สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ใจเย็นลง เธอนั่งขบคิดวนไปมาขณะเอนตัวพิงหัวเตียงอยู่ เธอตอบตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร จะเป็นเพียงแค่ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ไม่ได้เจอเขามานานหรือแค่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้สัมผัสสิ่งนี้มาก่อนก็เท่านั้น จนกระทั่งเช้าวันใหม่ก็มาถึง พวกเขาทั้ง 2 คนตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้า และมึนหัวไปหมด แต่คนที่อาการหนักกว่าคงไม่พ้นวีรภัทรา เพราะเธอไม่คุ้นเคยกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่าอัคราวิชญ์ ทำให้เธอตื่นสายกว่าปกติ เธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงมาทีละขั้นอย่างอิดโรยและอ่อนแรง

วีรภัทราที่กำลังเดินผ่านห้องรับแขกเข้าไปในห้องครัวอย่างคุ้นเคยนั้น ก็ถูกมือใครบางคนจับไว้ ทำให้เธอหยุดชะงักและหันกลับมามอง ก็เห็นเป็นอัคราวิชญ์ที่เป็นคนจับมือเธออยู่ เธอยืนมองเขาอย่างงง ๆ ด้วยร่างกายที่โอนเอนพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ เขาที่เห็นแบบนั้ันก็รีบอุ้มพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้ในห้องกินข้าวโดยไม่บอกให้เธอรู้ตัวก่อน ทำให้เธอโวยวายเสียงดังขึ้นมาอย่างตกใจ เพราะเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับการปฏิบัติจากเขามาก่อน ยกเว้นเมื่อคืนนี้ที่เธอเมา

"คุณจะทำอะไรคะ" วีรภัทราพูดเสียงดังใส่หน้าอัคราวิชญ์พลางดิ้นไปด้วย แต่ก็ทำได้ไม่มากเพราะยังเมาค้างอยู่

"พาคุณไปนั่งดี ๆ ไง" อัคราวิชญ์ตอบพลางหมุนตัวและเดินตรงดิ่งจากห้องรับแขกทะลุไปห้องกินข้าวทันที

"เดี๋ยวก่อนคุณ วีต้องทำอาหารเช้านะคะ" วีรภัทราเถียงกลับด้วยเหตุผล เพราะมันคือสิ่งที่เธอทำเป็นประจำทุกวัน

"วันนี้ไม่ต้อง ผมทำเอง" อัคราวิชญ์ตอบกลับพร้อมวางตัววีรภัทราบนเก้าอี้เสร็จสรรพ แล้วก็เดินออกไปทำอาหารทันที

"เอ่อ..." วีรภัทราไม่ทันที่จะได้พูดต่อ อัคราวิชญ์ก็เดินออกจากห้องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

อัคราวิชญ์ใช้เวลากับการทำเมนูอาหารไทยให้วีรภัทรานานพอสมควร เขายังคงจำได้เมื่อครั้งที่เขาได้ไปกินข้าวร่วมกับทุกคนที่บ้านป้านุช เพราะจริง ๆ แล้วเขาคอยแอบสังเกตความชอบ ความสนใจของเธอมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้ขอโทษเธอผ่านการกระทำที่เธอไม่เคยได้รับจากเขามาก่อน

หลังจากอัคราวิชญ์ทำอาหารเสร็จก็ยกไปเสิร์ฟให้วีรภัทราถึงโต๊ะ ส่วนเธอนั้นกำลังนั่งนวดหัวเพื่อคลายความมึนอยู่ แต่เธอก็ต้องตกตะลึงกับเมนูอาหารหลากหลายจานที่เธอชอบ โดยเฉพาะเมนูที่ใส่พริกเยอะ ๆ เพราะเธอชอบกินอาหารรสจัดมาก เธอเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว และเขาที่กำลังสังเกตอาการของเธออยู่นั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

"ขอบคุณค่ะ" วีรภัทราพูดขอบคุณในน้ำใจที่อัคราวิชญ์ทำให้ โดยไม่ได้สบตาเขาเลย เพราะก่อนหน้านี้ที่เธอนั่งอยู่คนเดียว เธอเพิ่งนึกเหตุการณ์เมื่อคืนออก จึงเริ่มแสดงอาการทําตัวไม่ถูก เลยเฉไฉด้วยการสนใจสิ่งอื่นแทน

"ครับ" อัคราวิชญ์ตอบกลับแค่คำเดียว ก่อนที่จะนั่งลงร่วมโต๊ะอาหารด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขานั่งกินข้าวกับวีรภัทรา โดยที่เธอไม่ต้องใช้กลเม็ดอะไรมาบังคับให้เขานั่ง

พอพวกเขากินข้าวเช้าเสร็จ ต่างก็เดินกลับห้องนอน เพื่อไปเตรียมตัวและออกไปทำงานในวันศุกร์ที่รถติดหนัก อัคราวิชญ์ที่เตรียมตัวเสร็จก่อน จึงลงมานั่งรอวีรภัทราที่ห้องรับแขก จนกระทั่งเธอเดินลงมา แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะเขาเอ่ยปากชวนเธอไปทำงานด้วยกันก่อน แต่เธอยังคงรู้สึกอึดอัด เพราะไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดี จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีไหม หรือควรพูดออกไปตรง ๆ ดีกว่า ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองกล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมากับเขามาโดยตลอด แต่ทำไมครั้งนี้การจะพูดอะไรสักประโยค มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

"ไปทำงานกันครับ" อัคราวิชญ์พูดเชิญชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จนวีรภัทราเผลอทำตาโตใส่ด้วยความตกใจกับภาพลักษณ์ใหม่ของเขา

"เอ่อ... วีไปทำงานเองก็ได้ค่ะ เดี๋ยว..." วีรภัทราปฏิเสธ และกำลังจะบอกว่าเรียกรถแท็กซี่ไว้แล้ว แต่ก็ไม่ทันที่เธอจะพูดประโยคถัดไป อัคราวิชญ์ก็ชิงพูดตัดประโยคเธอก่อน เธอรู้สึกได้เลยว่าเหมือนเขาจะจับทางเธอได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป สุดท้ายแล้ววีรภัทราก็ต้องยอมไปทำงานพร้อมกับอัคราวิชญ์ เพียงเพราะประโยคอันแสนง่ายดายที่เขาพูดออกมาว่า

"เรื่องเมื่อคืน ผม..." อัคราวิชญ์กำลังจะพูดขอโทษวีรภัทรา แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเข้าใจผิด คิดว่าเขาจะพูดเรื่องจูบเลยตัดบท และตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย

เมื่อใกล้ถึงบริษัท วีรภัทราก็พูดขึ้นมาว่า "จอดตรงนี้ให้หน่อยค่ะ เดี๋ยววีเดินเข้าไปเอง" วีรภัทรายังคงจำได้ดี ไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ทำให้เธอป่วยหนัก แต่อัคราวิชญ์ไม่ยอม

"ไม่ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปจอดในลานจอดรถ" อัคราวิชญ์ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ก็ยอมที่จะทำตามเงื่อนไขแรกที่เธอเคยขอร้องไว้ เพราะเขาอยากเดินเข้าไปทำงานพร้อมเธอ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

"ก็ได้ค่ะ" วีรภัทราพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง เพราะตอนแรกเธอเกือบจะเถียงเขากลับไปแล้ว แต่พอได้ยินประโยคถัดไป เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เมื่อรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของผู้บริหารเรียบร้อยแล้ว อัคราวิชญ์และวีรภัทราก็เปิดประตูลงมาพร้อมกันเหมือนกับนัดกันไว้ จากนั้นก็เดินต่อไปเพื่อเข้าไปในตัวบริษัทตามปกติ โดยทั้งคู่แยกย้ายกันไปขึ้นลิฟต์ เขาขึ้นลิฟต์เฉพาะผู้บริหาร ส่วนเธอขึ้นลิฟต์พนักงาน พอเธอเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานก็เจอเข้ากับพริมาที่มาทำงานแล้ว

"วี แกขึ้นมาทางไหน ทำไมไม่เจอกัน" พริมาถามแบบคนที่กำลังตั้งข้อสงสัยอยู่ ยิ่งทำให้วีรภัทราเลิ่กลั่ก

"แกมีอะไรปิดบังหรือเปล่า" พริมาสังเกตเห็นอาการวีรภัทราก็พอจะเดาได้ แต่อยากแกล้งเพื่อนเลยพูดแหย่ต่อ

"เปล่า เราก็ขึ้นลิฟต์ไง ถามมากนะวันนี้" วีรภัทราตอบตามจริง แต่อาการเหมือนคนแถ ยิ่งทำให้น่าสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก

"แน่ใจนะ ไม่ใช่ว่าแกไปกุ๊กกิ๊กกันมา" พริมาขยี้วีรภัทราด้วยคำพูดแทงใจดำสุด ๆ

"ไม่มี ไม่มีจริง ๆ อะไรของแก" วีรภัทราปฏิเสธพัลวัน

"ก็แล้วไป" พริมาพูดเหมือนคนปล่อยผ่านเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่วายที่จะขำออกมาเล็กน้อย เพราะตลกกับท่าทางของวีรภัทรา

"ทำงานได้แล้ว" วีรภัทราเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่จะยาวไปไกล และความจริงที่เธอไม่อยากเล่าจะเปิดเผยหมด

"สีหน้าสดใสขึ้นนะคะคุณวีรภัทรา" พนักงานหญิงคนเก่าที่หาเรื่องวีรภัทรา เปิดประตูเข้ามาก็ทักด้วยประโยคที่กำกวมใส่เธอแต่เช้าเลย

"ค่ะ" ทุกครั้งวีรภัทราจะตอบกลับตามมารยาท และไม่สุงสิงกับคนกลุ่มนี้

"ก็อย่างว่าแหละ ใครกลับมาทำงานแล้ว ทุกคนก็น่าจะรู้ดี" พนักงานหญิงในกลุ่มเดียวกันพูดเสริมขึ้นมา

"ค่ะ วีดีใจมากค่ะ" วีรภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"เฮ้ย คนเขากล้าต่อปากต่อคำแล้วเว้ย" คนในกลุ่มเดียวกันพูดเสียงดัง และพยายามใช้สายตากดวีรภัทราให้รู้สึกต่ำต้อย แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่า เธอได้พยายามฝึกจิตและหาหมอจิตเวชเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างให้จิตใจแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว ตลอด 8 เดือนที่เธอไม่ต่อล้อต่อเถียง เพราะกำลังฟื้นฟูอยู่

"วีคิดว่า ไม่ใช่การต่อปากต่อคำนะคะ มันคือการตอบกลับตามความจริงค่ะ" วีรภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

ขณะที่วีรภัทรากำลังเถียงสู้กับพนักงานอยู่ เธอไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังถูกใครบางคนจับจ้องและสังเกตเหตุการณ์นี้อยู่อย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งหัวหน้าทีมมาถึง และประกาศให้เข้าประชุมใหญ่อีกครั้ง เพราะประธานบริษัทจะประกาศงานสำคัญของปลายปีนี้

ในห้องประชุมใหญ่ ชั้น 29 ห้องเดิมที่อัคราวิชญ์เคยทำให้วีรภัทราปวดหัวกับท่าทีของเขา แต่วันนี้แปลกไป เขาไม่แกล้งเล่นเหมือนเดิม แถมยังจ้องมองเธอตลอดเวลา จนเธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา อีกทั้งพนักงานหลาย ๆ คนต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เขาให้ความสำคัญกับเธอมากเป็นพิเศษ เว้นแต่กลุ่มหนึ่งในทีมเดียวกับเธอ ที่แอบทำท่าทางเหมือนจะอ้วกออกมา แถมยังมองเหยียด ๆ ใส่เธอไม่เลิก ทำให้เธอส่ายหัวไปมาด้วยความเอือมระอา แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเขา เขาจึงช่วยด้วยการพูดขึ้นว่า

"เอาล่ะครับ เริ่มกันเลย" อัคราวิชญ์พูดขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจทุกคนมาที่เขา

"วันนี้ผมจะมาประกาศ แน่นอนว่าเป็นข่าวดีที่ทุกคนอยากได้ยิน" อัคราวิชญ์พูดเกริ่นขึ้น เล่นทำเอาทุกคนลุ้นตัวโก่งตาม ๆ กัน

"ธุรกิจที่อเมริกาได้ผลตอบรับดีมากเลยครับ เพราะความคิดของทุกคนเลย ผมจึงอยากจะจัดงานฉลองความสำเร็จนี้กับทุกคนครับ" อัคราวิชญ์พูดพร้อมผายมือออกไป เพื่อเป็นการบอกให้ทุกคนรับรู้ว่า นี่คือความสำเร็จที่มาจากทุกคนจริง ๆ

"เดี๋ยวผมจะให้เลขาประกาศสถานที่ วันเวลา ไปยังกลุ่มทุกทีมนะครับ" อัคราวิชญ์พูดสรุปให้ โดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ ยกเว้นเวลามองไปที่วีรภัทรา เขาจะยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ซึ่งวีรภัทราที่เห็นเข้าแบบนั้นก็ยิ่งเขินมากกว่าเดิม

หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปทำงานตามปกติ แต่กลุ่มที่ชอบกลั่นแกล้งวีรภัทรานั้น กำลังหาโอกาสทำให้เธอสะดุดล้ม โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอัคราวิชญ์เห็นแล้ว เพียงแค่เขายังไม่ได้พูดออกไปก็เท่านั้น จากที่เขาจะเดินออกไปแล้วก็เดินย้อนกลับมาพยุงตัวเธอให้ลุกขึ้น แต่เพราะข้อเท้าแพลง ทำให้เธอลุกขึ้นไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนทันที พริมาที่กำลังช่วยวีรภัทราอยู่ ก็ยอมปล่อยให้พระเอกตัวจริงของเพื่อนช่วยดีกว่า

ขณะที่อัคราวิชญ์อุ้มวีรภัทราออกจากห้องประชุมเพื่อขึ้นไปห้องทำงานส่วนตัวเขา ก็ได้ยินคำพูดนินทาไล่หลังว่า

"สำออย" พนักงานหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว

"เรียกร้องความสนใจไม่เลิก" พนักงานอีกคนก็ร่วมแขวะด้วย

"จริง" พนักงานทั้งกลุ่มพูดพร้อมกัน

อัคราวิชญ์ที่พยายามจะไม่สนใจขี้ปากชาวบ้านแล้ว แต่พอได้เห็นแววตาที่สั่นไหวเหมือนจะร้องไห้ของวีรภัทรา ทำให้เขาเลี้ยวกลับมา วางเธอลงช้า ๆ บนเก้าอี้ที่เขานั่งเมื่อกี้ และเดินไปหาพนักงานหญิงกลุ่มนั้นทันที

"ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะมีพนักงานที่ใจแคบ และไม่ให้เกียรติคนอื่นขนาดนี้นะครับ" อัคราวิชญ์พูดอย่างตรงไปตรงมา แถมยังแสดงสีหน้าไม่พอใจมาก

"ไม่ใช่นะคะคุณอัคราวิชญ์ พวกเราก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นค่ะ" พนักงานหญิงคนหนึ่งที่อยากอ่อยอัคราวิชญ์มานาน รีบพูดขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เขากลับไม่ได้สนใจที่จะมอง และยังพูดต่ออีกว่า

"คุณ หัวหน้าทีมใช่ไหม ไปสั่งสอนลูกน้องของคุณด้วย ว่าการปฏิบัติตัวให้ดีมันเป็นอย่างไร ถ้าผมเห็นอีก เชิญคุณหาที่ทำงานใหม่ได้เลย" อัคราวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด และเดินกลับไปหาวีรภัทรา อุ้มพาเธอออกจากห้องโดยไม่สนใจสายตาและคำพูดใด ๆ ที่ตามมาอีกเลย

พออัคราวิชญ์และวีรภัทราออกไปแล้ว หัวหน้าทีมก็เอ็ดใส่ลูกน้องทันที

"พวกคุณนี่นะ ทำไมทำตัวแบบนี้ คุณวีรภัทราเขาไปทำอะไรให้พวกคุณงั้นหรือไง" หัวหน้าทีมพูด

"พวกเราก็แค่พูดตามความจริงค่ะ" พนักงานหญิงคนหนึ่งพูดลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้สึกผิด

"ถ้าคนอื่นมาทำกับคุณแบบนี้ คุณรับได้ใช่ไหม อยากให้คุณลองคิดถึงมุมอื่นดูบ้างนะคะ" หัวหน้าพูดชี้ให้เห็นถึงปัญหา

"ค่ะ จะไม่ทำอีกแล้วก็ได้ค่ะ" พนักงานหญิงคนหนึ่งที่เป็นหัวโจกพูดและแสดงท่าทางว่ายอมรับผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ในใจลึก ๆ ก็แค้นและจะหาจังหวะกลั่นแกล้งใหม่แบบที่คนอื่นไม่เห็นแน่นอน แถมยังยักคิ้วเพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนในกลุ่มรู้ด้วยว่าแค่ยอมตอนนี้ ไม่ใช่ตลอดไป

"ดีแล้ว อย่าทำอีกนะคะ" หัวหน้าทีมพูดเสร็จ ก็เดินออกจากห้องประชุมไป ส่วนพริมาที่ดูออกก็เลยพูดดักคอไว้ว่าหากแอบไปทำ เดี๋ยวได้รู้กันว่าใครจะเสียผลประโยชน์มากกว่ากัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกนั้นสะทกสะท้าน แถมยังขำขันออกมาอีก

พริมาที่หัวเสียเดินออกจากห้องประชุมมา ก็เจอเข้ากับณัฐชานนท์ที่ขึ้นลิฟต์มา เพราะได้รับข้อความจากวีรภัทราตอนที่เขาทักไปถามว่าทำอะไรอยู่ และพอรู้ว่าบาดเจ็บอยู่ที่ชั้น 29 ก็รีบบึ่งรถมาหาทันที พอประตูลิฟต์เปิด พริมาที่ดูออก เพราะวีเคยเล่าให้ฟัง ก็รีบดันให้เขากลับเข้าลิฟต์ และบังคับให้ลงชั้น 1 ด้วยการพูดแทงใจดำว่า

"คุณนนท์คะ วีเขาแต่งงานแล้วนะคะ แล้วคุณอัคราวิชญ์ก็ดูแลอยู่ค่ะ พอเถอะนะคะ ถือว่าพริมขอร้องแทนวีแล้วกัน และพริมก็ไม่อยากให้วีต้องเสียใจกับการกระทำของคุณนะคะ" พริมาบอกออกไปตรง ๆ และชัดเจนที่สุด

"เขาเป็นเพื่อนผมนะครับ" ณัฐชานนท์เถียงกลับ

"วีก็เป็นเพื่อนพริมเหมือนกันค่ะ แล้วทำไมพริมถึงไม่ไปอยู่กับวีตอนนี้ล่ะคะ คุณลองกลับไปคิดดูนะคะ" พริมาพูดชี้ชัดให้ณัฐชานนท์ฟัง เขาจึงยอมกลับไป แต่ก็ไม่วายยังส่งข้อความไปถามวีรภัทราอีก

นี่คือความจริง

หรือ

ความฝันกันนะ

memento_mori_7964creators' thoughts