webnovel

สุดแสงสีหม่น

วีรภัทราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีป้านุชเป็นคนคอยเลี้ยงดู เนื่องจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อเธอยังเด็ก แต่ก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่กับป้านุช เธอได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ณรงค์ที่ใจร้าย และคุณย่ากัลยาณีที่ป่วยหนักเพราะรับไม่ได้กับเรื่องลูกชายของตัวเอง ทำให้เธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเติบโตเป็นคนเข้มแข็งและสู้ชีวิตเพียงลำพัง ถึงแม้ว่าลึก ๆ เธอจะอ่อนไหวง่ายกับเรื่องของความรักและความสัมพันธ์กับคนที่อยู่รอบตัวเธอ แต่สิ่งที่เธอยึดมั่นเสมอ แม้เจอกับสิ่งเลวร้ายถาโถมเข้ามา คือเธอจะพยายามไม่หวั่นไหวไปกับมันและเลือกที่จะมองในด้านดี ในช่วงวัยเด็กของวีรภัทรานั้น เธอเจอแต่คนที่ชอบกลั่นแกล้ง แม้ว่าเธอจะมีกัลย์กมลคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จนเธอได้รับความช่วยเหลือจากป้านุชในการย้ายโรงเรียน เธอจึงได้ไปเจอกับเพื่อนใหม่ที่ดีกับเธอมากอย่างพริมา ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังพอมีอะไรดีอยู่บ้าง จนกระทั่งในวัย 24 ปีของวีรภัทรา เธอถูกป้านุชจับแต่งงานกับอัคราวิชญ์ ลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องคนสนิทของป้านุช ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้เพราะต้องตอบแทนบุญคุณ หลังจากเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับสามี เธอใช้ความพยายามทั้งการปรับตัว และความอดทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและปัญหาที่สามีเธอสรรหามาให้จนฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด เธอจึงตัดสินใจว่าจะหนีไปต่างประเทศคนเดียว แต่ว่าเพื่อนสนิทสามีอย่างณัฐชานนท์อาสาเข้ามาช่วยดำเนินการให้เธอ ทำให้สามีเกิดความเข้าใจผิด และไม่แค่นั้นยังแอบไปขอเธอจากสามีเธออีกด้วย เรื่องเลวร้ายจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ช่วงที่วีรภัทราเหนื่อยล้ากับความหนักหน่วงในชีวิตที่ต้องเจอ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองเธอเรื่องการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่ามันเลวร้ายและย่ำแย่แค่ไหน ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ป้านุชเคยสัญญาและพร่ำบอกกับเธอไว้เลยว่า จะมีความสุข ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าไม่จริงซะแล้ว แต่ยังดีที่มีอาทิมาเป็นยาดีช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนมุมมองความคิดการทนอยู่หรืออยู่ทนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วคนในครอบครัวจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การยอมรับ และปรับตัวเข้าหากัน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยั่งยืน

memento_mori_7964 · Urban
Not enough ratings
30 Chs

กลับมาแล้ว

ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา วีรภัทราเดินทางไปทำงานโดยไม่เคยใช้รถยนต์ส่วนตัวของอัคราวิชญ์เลยสักครั้ง เพราะคำพูดที่เขียนในกระดาษประโยคสุดท้ายยังคงกวนใจเธออยู่ ซึ่งเธอก็ยังคงใช้ชีวิตเป็นพนักงานธรรมดาในบริษัท และไม่ได้ซื้อของหรูหราอะไรเพื่อยกระดับตัวเองเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนพริมาและณัฐชานนท์ยังแซวเธอ และพยายามกระทุ้งให้เธอรู้จักใช้ชีวิตบ้าง แต่เธอก็ได้แต่ขำและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกไป

วันนี้เป็นวันครบรอบ 8 เดือนพอดี ซึ่งตรงกับวันที่อัคราวิชญ์เดินทาง วีรภัทรามักจะชวนพริมามาเที่ยวบ้านในช่วงนี้เป็นประจำ เพราะเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดและเหงาจับใจทุกครั้ง เธอยังคงจำได้ดีถึงข้อความในกระดาษแผ่นนั้น รวมถึงปัญหาที่คาราคาซังอยู่ เธอไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงไม่ยอมคุยดี ๆ กันเลยสักครั้ง ปัญหาที่มีอยู่จะได้เข้าใจหรือไม่ก็จบไป มันควรจะมีทางออกสิ เธอมักจะคิดแบบนั้น แต่เพราะเธอพยายามคนเดียวอยู่ตอนนี้ จึงรู้สึกไม่ง่ายเลยที่จะจัดการทั้งปัญหาและอารมณ์ความรู้สึกของเธอเอง

แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม สิ่งที่ทำให้วีรภัทราประหลาดใจคือ เมื่อเธอเปิดประตูและก้าวขาเข้ามาในบ้านก็เจอเข้ากับอัคราวิชญ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เธอยืนอึ้งเหมือนหยุดหายใจไปสักพัก พอเขาเห็นว่าเป็นเธอที่เปิดประตูเข้ามา สีหน้าเขาที่มองเธอยังคงเหมือนเดิม อยู่ดี ๆ ความตึงเครียดที่หายไปนานก็กลับมา เธอไม่คิดว่าเขาจะกลับมาในวันที่เธอชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดคุยกับเขา เขาก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่สนใจท่าทางที่เธอแสดงออก พริมาที่เห็นบรรยากาศทั้งหมด จึงพูดปลอบใจเพื่อนว่า

"แกไม่เป็นไรนะ" พริมาตบไหล่วีรภัทราเบา ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา

"อืม" วีรภัทราตอบรับด้วยความรู้สึกเศร้าเล็กน้อยกลับไป

"วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ ต้องทำอาหารให้หลายคนเลย" พริมาหันไปบีบนวดไหล่วีรภัทราพลางพูดไปด้วย

"ไม่เป็นไร แต่ที่เรากังวลเลยคือวันนี้คุณนนท์จะมากินข้าวด้วย แล้วเรื่องเก่าก็ยังไม่ได้คุยให้ชัดเจน เรากลัวว่ามันจะแย่กว่าเดิมน่ะสิ" วีรภัทราพูดน้ำเสียงเครียดอย่างเห็นได้ชัด แถมยังขมวดคิ้วผูกเป็นโบด้วย

"เอาแบบนี้ไหม แกโทรไปอ้างว่าติดธุระกะทันหัน ไว้วันหลังค่อยนัดกันใหม่" พริมาพูดเสนอคำตอบให้วีรภัทราอย่างกระตือรือร้น

"เออ ก็ดีนะ" วีรภัทราที่มัวแต่เครียดเลยคิดคำตอบไม่ออก พอได้ยินสิ่งที่พริมาเสนอมาก็ถึงบางอ้อ นึกออกเลย

ขณะที่วีรภัทรากำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรหาณัฐชานนท์ แต่ยังไม่ทันได้กดปุ่มโทรออก เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าเขาเดินทางมาถึงบ้านแล้ว และคงหาข้ออ้างไม่ทันแล้ว เธอได้แต่ทำปากเบะออกมา ไม่อยากจะคิดว่านี่คือเรื่องจริง ทำไมความวุ่นวายย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เธอได้แต่คิดในใจ และไปเปิดประตูต้อนรับเขาเข้ามาในบ้านให้ปกติที่สุด

"วี ผมเอาไวน์มาให้คุณได้ลองชิมด้วย" เมื่อณัฐชานนท์เห็นหน้าวีรภัทราหลังจากที่เธอเปิดประตูให้ เขาก็พูดพร้อมยกขวดไวน์ขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี

"ค่ะ ไว้มาดื่มด้วยกันนะคะ แล้วนี่...พริมก็มาแล้วด้วยค่ะ" วีรภัทราตอบอย่างรัว ๆ ลิ้นพันกันไปหมด และพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะจริง ๆ แล้วเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มมากนัก เพียงแค่ดื่มในงานสังคมเท่านั้น

"ครับ ๆ" ณัฐชานนท์ตอบและเดินตามวีรภัทราเข้าไป

"พริม แกช่วยดูแลแขกหน่อยนะ" วีรภัทราเดินเร็ว ๆ และรีบไปกระซิบบอกกับพริมา เพื่อที่เธอจะเลี่ยงไปทำอย่างอื่นได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก หากไม่อยู่ในสายตาเธอ หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปมองณัฐชานนท์อีกครั้ง เพื่อสังเกตท่าทางเขาให้แน่ใจก่อนเธอจะเดินไปทำครัว

ขณะที่วีรภัทราทำครัวอยู่ เสียงจากประตูลิฟต์ก็ดังขึ้น เธอหายใจไม่ทั่วท้อง และยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของอัคราวิชญ์ เธอก็ยิ่งกดดัน แต่พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ และทำครัวต่อไปตามปกติ

"อ้าว" อัคราวิชญ์ที่เดินออกมาจากลิฟต์ ก็เจอเข้ากับณัฐชานนท์ที่นั่งอยู่กับพริมา แต่เขาไม่ได้ตกใจที่พริมาอยู่ เพราะเห็นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมเพื่อนสนิทเขาถึงมาบ้านโดยไม่บอกเขาเลยสักคำ

"คินน์กลับมาแล้วเหรอ" ณัฐชานนท์ถามออกไปเหมือนเป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่รู้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่อัคราวิชญ์บอกกับเขามาก่อนหน้าที่จะถึงประเทศไทยแล้วด้วยซ้ำ คินน์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงกับการแสดงออกของเขา และที่คินน์ไม่เข้าใจมากกว่าคือทำไมจะต้องปิดบังด้วย แต่ก็ปล่อยผ่านไปเหมือนเดิม เพราะตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วยเลยไม่อยากทำให้เป็นประเด็นอะไรขึ้นมา

"อืม" อัคราวิชญ์ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน และก็เดินต่อไปยังห้องครัว เพราะกลิ่นอาหารหอม ๆ ที่เขาคุ้นเคยกลับมาแล้ว แม้เขาจะเคยแสดงท่าทีไม่ดีกับวีรภัทราเยอะแยะไปหมดก็ตาม แต่ความทรงจำที่สร้างความเจ็บปวดให้กันและกัน มันยังคงวนเวียนในหัวใจของเขาเสมอ

อัคราวิชญ์หยุดยืนดูวีรภัทราที่กำลังง่วนกับการทำครัวจนไม่ทันได้สังเกตเห็นใครเดินเข้ามา เขาจึงพูดขึ้นลอย ๆ ว่า

"ทำสเต๊กเอาใจใครบางคนอยู่เหรอ" อัคราวิชญ์ใช้คำพูดที่ชวนตี พอสิ้นเสียงนั้นวีรภัทราก็ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างไม่วางตา ประหนึ่งไปโกรธใครมาอย่างหนัก

"กลับมาก็หาเรื่องกันเลยนะคะ ชีวิตที่ผ่านมาวีสุขสบายดี คุณไม่จำเป็นจะต้องมาเพิ่มความวุ่นวายให้คนอื่นจะได้ไหมคะ" วีรภัทราพูดอย่างหงุดหงิดใจ

อัคราวิชญ์ยักคิ้วใส่ และก็พูดขยี้ต่อ "คุณจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับนนท์ว่างั้นเหรอ"

"ค่ะ ไม่เคยแม้แต่จะคิดอะไรด้วยทั้งนั้นค่ะ" วีรภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก พร้อมแสดงท่าทางฮึดฮัดออกไปอย่างไม่ปิดบัง

อัคราวิชญ์ขำออกมาอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็น นอกจากคนสำคัญในชีวิตของเขาเท่านั้น ทำให้วีรภัทรามองเขาอย่างเลิ่กลั่ก และอยู่ดี ๆ ใจเธอก็เต้นแรงขึ้นมา เธอสะบัดหัวอย่างแรง ก่อนที่จะกลับไปทำอาหารต่อให้เสร็จในขั้นตอนสุดท้าย

"คุณทำต่อเถอะ ผมไม่ยุ่งด้วยแหละ" อัคราวิชญ์พูดจบก็ยิ้มมุมปาก และหมุนตัวเดินออกไปนั่งรับลมเย็นที่ด้านนอกบ้าน ซึ่งเป็นมุมหนึ่งที่เชื่อมต่อกับห้องครัวพอดี บรรยากาศรอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและร่องน้ำที่ทำขึ้นไว้ เพื่อเวลามานั่งจะได้รับอากาศที่สดชื่นและเย็นสบาย

หลังจากวีรภัทราจัดอาหารลงจานเสร็จก็ลำเลียงไปที่โต๊ะด้วยตัวเอง แต่เผอิญว่าณัฐชานนท์เดินเข้ามาในห้องครัวพอดี เขาจึงอาสาช่วยยกจานอาหารให้เธอ ตามมาด้วยพริมาที่เข้ามาช่วยต่อจนครบทุกจาน

วีรภัทราเดินไปชวนอัคราวิชญ์ให้มากินข้าวด้วยตามหน้าที่ของภรรยา แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงตัวเขาเพื่อบอก อยู่ ๆ ขาเธอก็อ่อนแรงลง เพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักทุกวัน เขาที่หันมาเห็นเธอกำลังจะร่วงลงพื้น จึงรีบวิ่งเข้าไปรับ แต่ยังไม่ทันถึงตัว ก็ถูกณัฐชานนท์แซงหน้ารับเธอไว้เรียบร้อยแล้ว

อัคราวิชญ์ที่เห็นเหตุการณ์นั้นตรงหน้าก็เปลี่ยนใจเดินเลยผ่านไปที่โต๊ะอาหาร โดยไม่สนใจวีรภัทราเลย ส่วนเธอก็รู้สึกตัวหลังจากช็อกไปได้สักพัก ก็รีบดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของณัฐชานนท์ แล้วเธอก็ขอบคุณในความช่วยเหลือที่ได้รับจากเพื่อนสนิทของสามีไป

บรรยากาศมาคุมากขึ้นโดยที่วีรภัทราไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอเลือกที่จะกินข้าวอยู่เงียบ ๆ แต่การกระทำแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้เหตุการณ์เมื่อกี้หายไป พริมาที่กำลังสังเกตทุกคนอยู่นั้น จึงเลือกที่จะชวนทุกคนดื่มแทนการพูดคุยเพื่อลดช่องว่างความกระอักกระอ่วนนี้

"พวกเรามาดื่มไวน์กันดีไหมคะ" พริมาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส

"ก็ดีนะครับ" ณัฐชานนท์พูดขึ้นอย่างเห็นด้วย และก็ลุกขึ้นไปหยิบไวน์ที่ตัวเองเตรียมมาบนโต๊ะในห้องรับแขก ส่วนวีรภัทราและพริมาก็ลุกขึ้นไปหยิบแก้วในห้องครัวมาให้ทุกคน

หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งดื่มจนหมดขวด และก็ตามคาดคนที่รับมือกับแอลกอฮอล์ไม่ไหวอย่างวีรภัทรานั้น ได้เผยความในใจที่เก็บสั่งสมมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาให้คนที่นั่งอยู่ได้ฟัง

"วีขอโทษคุณด้วยนะคะ ที่วีอาจจะทำตัวเป็นภรรยาได้ไม่ดีพอ" วีรภัทราโพล่งความในใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว พริมาที่นั่งฟังอยู่ด้วยนั้นถึงกับตาเบิกโพลงกว้างขึ้นด้วยความตกใจ แล้วรีบเอามือไปปิดปากวีทันที พอวีเงียบลง จึงรีบดึงแก้วไวน์ออกจากมือวี และรีบหันไปบอกอัคราวิชญ์ว่า

"วีน่าจะเมามากแล้ว เดี๋ยวพริมจะพาวีไปที่ห้องนอนให้นะคะ" พริมาพูดเสร็จก็ไม่รีรอ รีบพยุงตัววีรภัทราให้ลุกขึ้น แล้วค่อย ๆ ประคองพาไปขึ้นลิฟต์

"ไปไหน... วียังไม่เมา..." วีรภัทราพูดออกมาเสียงยานคาง แถมยังกดน้ำหนักตัวลงอีก ทำให้พริมาพยุงยากขึ้น

"ไปกันวี แกเมามากแล้ว" พริมาพูดพลางพยุงตัววีรภัทราไป

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะเดินถึงลิฟต์ ณัฐชานนท์ที่สังเกตการณ์อยู่นั้น ก็ทำท่าจะลุกขึ้นตามไป แต่อัคราวิชญ์รั้งไว้ด้วยคำพูดที่แฝงความนัย

"นนท์จะไปไหน" อัคราวิชญ์ถามออกไปอย่างหยั่งเชิงอีกฝ่าย

"เปล่า แค่จะไปช่วย" ณัฐชานนท์ตอบกลับอย่างจริงใจ โดยไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของอัคราวิชญ์เลยแม้แต่น้อย

"ไม่ต้องหรอก เพื่อนเขาก็ช่วยอยู่นั่นไง แล้วผมก็มีเรื่องอยากจะถามนนท์ด้วย" อัคราวิชญ์พูดกลับด้วยน้ำเสียงปกติพลางสังเกตท่าทางของณัฐชานนท์ไปด้วย

"ว่ามา" ณัฐชานนท์พูดแต่สายตายังคงมองตามวีรภัทราอย่างเป็นห่วงอยู่

"คือ..." อัคราวิชญ์ลากเสียง และพูดอย่างช้า ๆ

"ว่าไงนะ" ณัฐชานนท์ที่มัวแต่ชะโงกหน้ามอง ก็เพิ่งนึกออกว่าอัคราวิชญ์มีเรื่องอยากจะถามเมื่อกี้

"นนท์ได้เบอร์วีมายังไง" อัคราวิชญ์ยิงคำถามตรงใส่ณัฐชานนท์ทันที

"ก็เจอที่งานแต่งรอบแรกไง แล้วก็เกิดเรื่องกับคินน์ตอนนั้น แถมพวกเรายังคุยถูกคอกันด้วย หลายเรื่องปนกันนั่นแหละ สุดท้ายก็เลยขอเบอร์วีมา จะได้ติดต่อกันสะดวกขึ้น" ณัฐชานนท์อธิบายให้อัคราวิชญ์ฟังอย่างไหลลื่น

"นนท์เป็นคนขอเหรอ" อัคราวิชญ์ยังถามย้ำ

"ใช่ ทำไมเหรอ" ณัฐชานนท์ถามกลับบ้าง

"ไม่มีอะไรหรอก" อัคราวิชญ์ตอบบ่ายเบี่ยง

"อืม" ณัฐชานนท์ตอบพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ

หลังจากพวกเขาคุยกันไปได้สักพัก พริมาก็เดินลงมาจากชั้น 2 และขอตัวกลับบ้านทันที เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าใครตรง ๆ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทำเธอปวดหัวมาก พอเธอเปิดประตูออกไปเรียบร้อยแล้ว อัคราวิชญ์ก็คุยต่อ

"ว่าแต่... ทำไมวันนั้นถึงไปอยู่ในห้องนอนวีได้ล่ะ" อัคราวิชญ์ถามต่อ กับคำถามที่ค้างคาใจมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

"ก็..." ณัฐชานนท์กำลังจะตอบ ก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากข้างบน และไม่ใช่ใครที่ไหน วีรภัทรานั่นเองที่เมาไม่ได้สติเดินเปิดประตูห้องนอนออกมาอย่างคนละเมอ พูดเสียงดังลั่นบ้าน จนอัคราวิชญ์บอกให้ณัฐชานนท์กลับบ้านไปก่อน แม้นนท์จะเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่เพียงเพื่อนเท่านั้น จึงทำได้แค่ตอบรับและยอมกลับบ้านแต่โดยดี

อัคราวิชญ์พูดจบประโยค ก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปดูวีรภัทราทันที เพราะกลัวว่าความเมาจะทำเธอตกบันได เมื่อเขาเข้าไปถึงตัวเธอแล้ว เธอก็ชี้หน้า นั่งพูดที่บันไดทางขึ้นชั้น 3 ว่า

"คุณนี่โคตรเห็นแก่ตัวเลย เราแต่งงานกันแล้วนะ แค่นอนห้องเดียวกันยังทำไม่ได้ วีเสียใจแค่ไหนคุณรู้ไหม" วีรภัทราพรั่งพรูความในใจออกมา

"ห้องนอนนั่น มันอะไรนักหนาถึงเข้าไปนอนไม่ได้" วีรภัทราพูดคร่ำครวญออกมาจนหมด ส่วนอัคราวิชญ์ได้แต่ยืนมองนิ่ง ๆ ไม่ปริปากพูดอธิบายอะไรออกไป

จากนั้นอัคราวิชญ์ก็ตัดสินใจดึงวีรภัทราให้ลุกขึ้น และพยายามพาเธอกลับห้องนอนเธอ แต่เธอก็ยื้อด้วยการทิ้งน้ำหนักตัวลงไปนอนกับบันไดไว้ไม่ยอมลุก เขายื้อกับเธอไปได้สักพักก็ยอมแพ้ แล้วพูดกับเธอว่า

"ได้ งั้นไปนอนด้วยกัน" อัคราวิชญ์พูดอย่างหมดแรง หลังจากพยายามใช้แรงทั้งหมดดึงวีรภัทรา

"เย้ ไปกัน" วีรภัทราเด้งตัวขึ้นมา หลังจากได้ยินคำตอบจากอัคราวิชญ์ แต่เธอก็ยังลุกขึ้นไม่ไหว เขาที่ยืนหอบมองเธออยู่นั้นก็เปลี่ยนจากดึง แล้วเข้าไปอุ้มเธอจนตัวลอยขึ้นอยู่บนอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็พาเข้าลิฟต์ขึ้นชั้น 3 อย่างเร็วก่อนที่เธอจะโวยวายอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีก

เมื่อถึงเตียงในห้องนอน อัคราวิชญ์ที่เห็นวีรภัทราหลับไปแล้ว จึงค่อย ๆ วางตัวเธอลงอย่างช้า ๆ แล้วก็ห่มผ้าห่มให้เธอ จากนั้นเขาก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำส่วนตัวของเขาเองตามปกติ พอเขาอาบน้ำเสร็จก็เดินกลับมาดูเธอที่กำลังหลับสบายอยู่ เขาเผลอเอื้อมมือไปลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู แล้วภาพบางส่วนในห้องนอนนี้ก็แวบขึ้นมา ความสุขที่เขาเคยมีร่วมกับนันทิชายังคงประทับอยู่ในใจเขาไม่เคยเปลี่ยน และเขาก็ยิ่งแปลกใจกับตัวเองมากกว่าเดิม เมื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงอื่นมีสิทธิ์ล่วงล้ำในพื้นที่ส่วนตัวเขาขนาดนี้

ระหว่างที่อัคราวิชญ์กำลังนั่งฟังวีรภัทราละเมอความทุกข์ที่ขมขื่นภายในใจเธอตลอดมาอย่างเงียบ ๆ อยู่นั้น ก็โดนเธอดึงแขนเขามากอดไว้อย่างแรง จนเขายั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ ล้มลงไปจูบที่ปากของเธออย่างไม่ตั้งใจ เขาค้างอยู่ตรงนั้นประมาณ 2 วินาที ก่อนที่จะดึงตัวเองให้หลุดออกมาจากตรงนั้น

ขณะที่อัคราวิชญ์ใช้นิ้วมือแตะที่ปากตัวเองด้วยความตกใจนั้น ก็ได้ยินเสียงที่อยู่ในใจดังขึ้นมา และก็ตระหนักได้ว่า...

เสียงหัวใจที่ดังขึ้นกว่าปกติ มันคืออะไรกันนะ

ความกลัว

ความรัก

ความประหม่า

ความสนใจ

...

ไม่รู้จริง ๆ

memento_mori_7964creators' thoughts