หลังจากสนธนาภายในหออักษรกับท่านปู่ของตนเองเสร็จ มู่อิ้งเทียนก็นั่งทบทวนตนเองอยู่ในนั้นสักพักก่อนที่จะเดินออกมา
เขาเดินไปตามทางแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนปกติแต่หากคนที่รู้จักเขามากพอ มาพบก็คงจะรู้ได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจของคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้แน่นอน
ชายหนุ่มเดินไปตามทางสวนของตระกูลที่กว้างใหญ่และไร้ผู้คนเพราะวันนี้มีการทดสอบคัดเลือกเข้าสำนัก บรรดาผู้คนคงจะไปรวมตัวกันที่ลานกว้างหมดแล้ว ยกเว้นแต่เขาที่แอบหนีออกมาตั้งแต่แรก
มู่อิ่งเทียนยืนหยุดอยู่ตรงบ่อปลาที่ภายในถูกตีกรอบไปด้วยพื้นดินเพียงงเพื่อจะกักขังความสวยงามของมัจฉาเอาใว้ให้คนอื่นเชยชม
ทันใดนั้น มู่อิ้งเทียนก็ย้อนคิดถึงอดีตของตนเอง
ทั้งชีวิตของเขาถูกพัธนาการไปด้วยความคาดหวัง ตั้งแต่เกิดมาเขาก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นโอรสของสวรรค์ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดผู้คนก็ล้วนที่จะคาดหวังไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะถูกจับตามอง
เมื่อมองไปเห็นเหล่ามัจฉาที่ถูกกักขัง มู่อิ้งเทียนก็ยิ้มขื่นเพราะคิดว่าหากมันมีความรู้สึกนึกคิดก็คงจะไม่ต่างจากตนเอง พวกมันตั้งถูกักขังมาทั้งชีวิตเพียงที่จะให้ถูกจัดแสดงความงามให้ผู้อื่นเชยชม
น่าเบื่อ น่าเบื่ออย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบห้าปีผู้นี้ กำลังเบื่อ สิ่งที่ท่านปู่ของเขาถามเมื่อครู่บางทีเขาอาจจะรู้แล้วก็เป็นได้
ที่เขาไม่อยากฝึกตนเพราะเขาไม่ต้องการที่จะโดดเด่นจนต้องแบกรับหน้าที่สืบทอดตระกูล เขาไม่สามารถทิ้งมันไปได้ตั้งแต่เกิด เพราะสิ่งนี่ทุกคนก็ต่างคาดหวังให้เขาเป็น ทว่ายิ่งคิดเขาก็ยิ่งเบื่อหน่าย
จะมีปีกอันกว้างใหญ่ไปทำไมถ้าหากเขาถูกขังอยู่ในกรง เขาจะมีความสามารถมากมายมหาศาลไปทำไมหากทั้งชีวิตถูกตีกรอบอยู่ในตระกูลแห่งนี้
เพราะเช่นนั้นเขาจึงวางแผน เขาจะหนีออกไปให้ไกล ออกไปตามหาสิ่งที่ทำให้เขาหายเบื่อ
สิ่งที่มู่ฉางเจี่ยถามเขา คำตอบของมันก็คืดสิ่งง่ายๆ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้
"อิสระภาพ!"
"ความฝันของข้ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั่นคือเป็นผู้ที่มีอิสระที่สุดในโลกใบนี้"
มู่อิ้งเทียนกำมือแน่น อีกนิดเดียวแผนการของเขาก็จะสำเร็จอีกเพียงแค่นิดเดียวเขาก็จะสามารถออกไปจากที่นี้ ออกไปสู่โลกกว้างใหญ่ที่ที่เขาไม่สามารถควบคุมอันใดได้!
เขายืนอยู่เช่นนั้น มองไปยังมัจฉาตัวแล้วตัวเล่าจมอยู่ในความคิดอยู่นาน จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ก็มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดึงสติของเขากลับมา
"คุณชายมู่ สีหน้าของท่านดูไม่ดีเลยทท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่"
เสียงอ่อนโยนเสนาะหูนี้ดังขึ้นข้างกายของเขา เมื่อเขาดึงสติหันไปมอง ก็พบว่าตนเองต้องก้มหน้าลงเพราะส่วนสูงที่ต่างกัน ก่อนที่จะพบกับใบหน้ากลมเล็กๆใบหนึ่งที่กำลังแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเขาออกมา
เมื่อเห็นอิสตรีตรงหน้า อารมณ์ที่ขุนมัวของมู่อิ้งเทียนก็ดีขึ้นในทันที เพราะอิสตรีตรงหน้าแม้จะมีร่างกายและสัดส้วนที่เหมือนกับเด็กแต่แท้จริงแล้วเขานั่นนับนางเป็นหนึ่งในในคนที่เขาชื่นชอบมากที่สุดในตระกูล นางมีชื่อว่ามูซือหยา สาวรับใช้ที่ดูแลเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งการเลี้ยงดุคุณชายที่แปลกประหลาดเช่นเขาคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนเพราะมีหลายครั้งที่นางต้องเกือบจะไปหาหมอโรคประสาทเพื่อขอยากล่อมประสาทมาทาน
เพราะมู่อิ้งเทียนผู้นี้ช่างเป็นมารน้อยที่ใครๆต่างก็ต้องปวดหัวตั้งแต่เด็กจริงๆ
เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่เขานับถือเป็นพี่สาวของตนเอง แววตาของมู่อิ้งเทียนก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยความสเน่ห์หามากล้น ไม่ทันให้นางได้ตั้งตัว มือที่ไวปานอสรพิษจะพุ่งไปหอบกุมมือขาวอันนุ่มนิ้มของหญิงรับใช้นางนี้ในทันที ก่อนที่จะก้มหน้าเผยความเจ้าชู้ออกมาจนหมด
"พี่สาว ข้าคิดอยู่เสมอ่าท่านช่างเอาอกเอาใจข้าเป็นอย่างดี ขนาดที่ข้ามีสีหน้าทุกข์ใจท่านยังมองออกโดยง่าย ท่านช่างเอาอกเอาใจข้าดีจริงๆ สนใจที่จะมาเป็นภรรยาข้าหรือไม่" มู่อิ้งเทียนเอ่ยอย่าหน้าด้านไม่อายปาก มูซือหยา นั่นดูแลมุ่อิ้งเทียนมาตั้งงแต่ยังเล็กนางเอก็มองเขาเป็นน้องชายที่น่ารักผู้หนึ่ง นิสัยใจของของคุณชายน้อยผู้นี้นางเอกก็รู้อยุ่เต็มอก
แต่เมื่อโดนหยอกล้อเช่นนี้ นางเองก็อดไม่ได้จริงๆที่จะหน้าแดงระเรื่อ ก่อนที่จะทำตาแข็งราวกับกระต่ายน้อยที่พยายามขมขู่ใส่เขา
"คุณชายรักษากริยามารยาทด้วย เดียวมีคนมาเห็นเข้าท่านจะลำบากเข้าให้นะ!" เสียงเล็กตำหนินั้น ถูกเขาเมินผ่านหูในทันที ไม่เพียงแต่จะหยุดมือคุณชายเจ้าชู้นี้ก็ยิ่งกอบกุมมือของนางแน่นขึ้นก่อนที่จะยื่นหน้าที่หล่อเหลาปานเทพบุตรมาใกล้นางเรื่อยๆ จนหน้ากลมเล็กเริ่มที่จะแดงจนกลายเป็นซาลาเปาที่สุกเกินได้ที่ไปแล้ว
"ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่สาวซือหยา อิสตรีที่เข้าใจข้าเช่นท่านหาได้ยากจริงๆ ท่านเองก็ไม่มีชายในดวงใจ ข้าเองก็ไม่มีอิสตรีในดวงใจ เรื่องของเรายังเป็นไปได้นะ"
"มู่-อิ้ง-เทียน" ดูเหมือนว่าจะหยอกแรงเกินไปหน่อย จากความอับอายยามนี้สีหน้าของมูซือหยา เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแทนแล้ว เขาจึงรีบปล่อยมือด้วยความเสียดาย
"น่าเสียดายจริงถ้าหากพี่สาวเปลี่ยนใจก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อนะ ข้าพร้อมที่จะต้อนรับท่านเสมอ" ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาเช่นเดิม จนมูซือหยา ทำได้แค่ขยี้เท้าทำหน้าตาเช่นนั่นมีหรือที่นางยังกล้าที่จะดุด่าอีก
แต่สุดท้ายนางก็ปิดปากหัวเราะคิกคักขึ้นมา นางเข้าใจนิสัยของคุณชายตนเองดีว่าแค่แกล้งหยอกนางเพื่อทำให้นางสบายใจเท่านั้นเอง
"แล้ว เจ้ามีอะไรบางอย่างในใจหรือ ข้าไม่ค่อยเห็นว่าเจ้าทำหน้าตาอมทุกข์มาตั้งนานแล้วเลยเป็นห่วง"
มู่อิ้งเทียนซึ่งในน้ำใจ ยามนี้จึงไม่กล้าเผยเรื่องที่เป็นปมในใจ จึงส่ายหน้ากล่าวด้วยท่าทีสดใสเหมือนกับปกติ
"ไม่มีอันใดแล้ว ท่านเป็นห่วงข้าแค่นี้เรื่องทุกขืพวกนั้นก็ถุกปัดทิ้งไปไม่เหลือแล้วละ"
"อย่ามาโกหก เจ้าปิดพี่สาวของเจ้าไม่มิดหรอกนะ"
มีเพียงอยู่กันแค่สองคนเท่านั่นที่มู่อิ้งเทียนจะแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อนางเพราะตามจริงแล้ว ศักดิ์ฐานะของทั้งสองคนนั่นต่างกันมาก หากเขาสนิทสนมกับนางมากเกินไปจะเป็นผลเสียต่อนางงเอก
แต่แค่นี้ก็พอแล้ว ขอแค่มีคนเป็นหาวงเขาอยู่ก็พอ อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นแล้วจริงๆ
มู่อิ้งเทียนส่ายหัวด้วยท่าทางสบายๆกว่าปกติ
"ข้าไม่เป็นอันใดแล้วจริงๆ อย่าห่วงเลย แล้วทางเจ้าเล่า ต้องทำหน้าที่ในการต้อนรับศิษย์ของสำนักหมื่นเมฆาเป็นเช่นไรบ้าง"
มูซือหยาพยายามจับสีหน้าของมู่อิ้งเทียน ทว่าก็พบไม่ได้ถึงความผิดปกติอันใดอีก และรู้ได้ในทันทีว่าการที่มู่อิ้งเทียนเปลี่ยนหัวข้อเรื่องคุยแสดงว่าเขาไม่อยากที่จะกล่าวเรื่องนี้อีกแล้ว
นางจึงยิ้มด้วยใบหน้ากลมจนมุ่อิ้งเทียนอยากจะหยิกแก้มนางสักทีสองที
"สบายมาก ปีนี้คนจากสำนักหมื่นเมฆามีแต่รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศทั้งนั้น "
มู่อิ้งเทียนยกคิ้วข้างหนึ่ง
"มีพรสวรรค์กว่าข้าอีกหรือ"
เมื่อเห็นมู่อิ้งเทียนที่แสดงสีหน้าไม่ยอมรับออกมา นางก็หัวเราะคิกคักในทันที ก่อนที่จะคิดออกว่ามีอะไรบางอย่างที่ต้องบอกต่อมู่อิ้งเทียน
"จริงสิ คุณชายตอนที่ลงไปในเมือง ข้าได้ยินมาว่า พรรคมัจฉาทวนน้ำ เกิดเรื่องขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีอันใดเกิดขึ้นหรือไม่"
เมื่อได้ฟังมู่อิ้งเทียนที่กำลังอารมณ์ดีก็พลันขมวดคิ้วขึ้นในทันที รีบถามไปว่า
"เกิดอันใดขึ้น"
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่าย แม่นางมูซือหยาก็ผิดคาดที่ข่าวนี้ยังไม่ถึงมือคุณชาย จึงอธิบายสิ่งที่ได้ยินมาว่า
"ดูเหมือนว่าทางทิศเหนือของตลาดตระกูลมู่จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้คนในพรรคของมัจฉาทวนน้ำกำลังวุ่นวายมาก เท่าที่ข้ารู้หัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วยสั่งเรียกกำลังคนบางส่วนเข้าไปในป่าต้องห้ามแล้ว"
เมื่อไดฟังความรู้สึกไม่สบายใจก็ก่อตัวในใจของมู่อิ้งเทียนในทันที พรรคมัจฉาทวนน้ำนั้นแต่เดิมสมาชิกในพรรคทั้งหมดในพรรคคือทอทานที่ไม่มีที่ไปในเขตตระกูลมู่ของเขา และส่วนมากจะเกิดปัญหาเล็กๆขึ้นมาเป็นประจำ เมื่อสองปีก่อนที่เขากำลังเบื่อหน่ายเคยลงไปจัดการกับระบบของพวกมันทีหนึ่ง จนกระทั้งเขาได้รวมรวบพรรคมัจฉาทวนน้ำขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
ด้วยการใช้เส้นสายและใช้เงินทุนลับๆของตระกูลเขาก็สามารถสร้างองค์กรเล้กๆนี่ขึ้นมาได้ คุรปู่เองเมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อระบบสังคมในตระกูลจึงได้ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้เขาทำตามใจ
พรรคมัจฉาทวนน้ำเดิมที่มีเขาอยู่เป็นหัวหน้าแต่ตอนนั้น ตนเองได้เบื่อหน่ายไปเสียก่อนจึงถอยห่างออกมาและคอยดูแลอยู่ห่างๆ เพราะเชื่อใจว่าคนพวกนั่นจะสามารถดูแลตนเองกันได้แล้ว และหากเกิดปัญหาอันใดเขาก็ได้สั่งให้มมาแจ้งต่อเขาได้
และส่วนมากคนในพรรคจะทำตัวว่านอนสอนง่ายต่อตัวเขาเสมอ แต่เหตการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลับไม่มีข่าวส่งถึงเขาเลยแม้แต่คำเดียว
มู่อิ้งเทียนหยุดคิดปสักพักก่อนที่จะตัดสินใจในทันที
"ข้าคงต้องหาโอกาศลงไปดูเสียหน่อย"
มูซือหวาที่ได้ฟังก็ต้องรีบห้ามปรามในทันที
"แต่คุณชายตอนนี้อยู่ในช่วงงานสอบคัดเลือกหากลงไปที่ตัวเมือง ท่านจะมาไม่ทันงานเลี้ยงฉลองต้อนรับตอนค่ำเอานะเจ้าคะ"
มู่อิ้งเทียนยิ้มก่อนจะลูบหัวมุซือหวาน้อยๆ กล่าวติดตลกว่า
"ถึงไม่มาข้าก็ไม่เป็นอันใดหรอก แต่เดิมข้าก็แค่ตัวประกอบฉากให้กับพวกอาวุโสในตระกูลอยู่แล้ว ยิ่งข้าไม่อยู่พวกมันยังจะยิ่งดีใจมากกว่าอีก"
"แต่ท่านปู่ของท่านจะเสียหน้าเอานะ ไม่ว่ายังไงท่านก็ต้องไป"
มูซือหวาปัดมือที่ลูบหัวของเขาออก ก่อนจะสั่งเสียงเผด็จการเหมือนพี่สาว เขาจึงหัวเราะในลำคอออกมาด้วยความสนุก
"ให้ตายเถอะ ท่านชักจะทำตัวเป็นพี่สามข้าเข้าไปทุกทีแล้ว" มู่อิ้งเทียนส่ายหัวยอมแพ้
"ก็ได้ข้าสัญญา ว่าข้าจะกลับมาให้ทันในงานเลี้ยง"
มูซือหวามีทีท่าจะแย้งอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะนางรู้ดีว่าตนเองไม่มีสิทธินั่น เพราะว่าบนโลกนี่ไม่มีใครที่สามารถสั่งมู่อิ้งเทียนคนนี้ได้นอกจากตัวมันเอง และอีกอย่างหนึ่งนางก็เชื่อใจในคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้
เพราะว่าตั้งแต่เกิดมามู่อิ้งเทียนไม่เคยผิดสัญญาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"ถ้าเช่นนั้นก็โชคดีเจ้าคะ ข้าจะไปเตรียมน้ำชาให้ตอนท่านกลับมา"
มู่อิ้งเทียนยิ้มให้นางอีกครั้งเป็นการแสดงความขอบคุณ ก่อนที่จะเดินจากไป
จนถึงตอนนั้นพวกเขาไม่รู้เลยว่าตั้งแต่แรกมีหยิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนจ้องมองพวกเขาอยู่ไกลๆ และเมื่อเห็นว่ามู่อิ่งเทียนเดินจากไปนางก็กำมือแน่น แม่นางผู้นี้คือมู่หรงเจี่ยหญิงสาวที่เคยสนิทกับมู่อิ้งเทียนมาก่อนนั้นเอง
ตอนแรกนางคิดที่จะเดินไปพูดคุยบางสิ่งกับเขาเพราะสังเกตเห็นสีหน้าไม่ดีของชายหนุ่มได้ แต่เมื่อเห็นว่ามีสาวรับใช้ข้างกายเดินเขาไปหาและพูดคุยกันอย่างงสนิทสนมกับเขา นางก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มขื่น
เพราะว่านางไม่มีทางได้รับสิทธินั่นอีกแล้ว
นางคิดเช่นนั่นก่อนที่หางตาจะมีคราบบน้ำตาออกมา แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเดินจากไป
จนถึงตอนนั้นมู่อิ้งเทียนที่อยู่ห่างไกลก็หันมามองในจุดที่นางเคยอยู่เมื่อครู่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนที่จะหันหลังและเดินต่อไป
ดูเหมือนว่าเส้นทางของพวกเขาทั้งสองคงไม่อาจจะบรรจบกันได้อีกแล้ว