วันอาทิตย์ตอนสายๆ…
"ตอนนี้ยอดจองเป็นไงบ้างจ๊ะน้องแต๋ว"
ฉันถามน้องฝ่ายการตลาดของเราเป็นรอบที่ล้านแล้วในวันนี้ นี่ถามทุกๆสิบนาทีเลยจ้า
ขณะนี้ทีมงานของเรากำลังอยู่ในงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านครั้งยิ่งใหญ่ประจำปี Home and Garden งานที่พวกเราชาววงการเฟอร์นิเจอร์รอคอยมาทั้งปีเพื่อจะได้อวดโฉมคอลเลคชั่นใหม่ๆกัน ปีนี้ฉันบรรจงกำชับดูแลบริษัทที่มาจัดตกแต่งบูธของเราเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าเรากำลังมีคู่แข่งที่สำคัญอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
"ยอดของวันนี้ยังไม่ถึงยี่สิบออเดอร์เลยค่ะพี่ลิน" น้องแต๋วส่งสายตาละห้อยมาที่ฉัน
โอเค วันนี้วันอาทิตย์คนอาจไม่เยอะเท่าวันเสาร์ แล้วนี่ก็เพิ่งจะช่วงเช้า
"แล้วของเมื่อวานล่ะ เท่าไหร่นะพี่จำไม่ได้แล้ว"
"เมื่อวานยอดไม่ถึงห้าสิบค่ะ" น้องแต๋วอ้อมแอ้มตอบมา ก่อนจะรีบปลอบใจ "แต่ไม่เป็นไรนะคะ งานเพิ่งจะวันที่สองเอง กว่าจะถึงวันสุดท้ายวันพฤหัส ก็อีกตั้งสี่วัน"
ใช่ค่ะเหลือเวลาอีกหลายวัน แต่ถ้ามันได้ยอดแค่วันละห้าสิบล่ะ มายก้อช!
"น้อยกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดเลยฮ่ะซิส เฮ้อ" คิตตี้ถอนหายใจ พลางเหลือบมองไปพื้นที่ส่วนข้างๆ "คนเข้าไปดูฝั่งโน้นเยอะกว่าอะ"
บริษัทของเราจะเช่าพื้นที่อย่างมโหฬารในทุกๆปี และปกติแล้วทีมของฉันก็ได้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมด เพื่อจัดแสดงบรรดาโซฟาลายดอกไม้ของเราที่มีทั้งขนาดและรูปทรงต่างๆกันอย่างที่ใจฉันต้องการ แต่มาปีนี้เรากลับต้องแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้กับทีมของน้องมินตรา ซึ่งเมื่อเทียบการตกแต่งกันแล้ว มันเป็นคนละสไตล์อย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งเหมือนเช่นเคยทุกปี บูธของทีมฉันจะอลังการงานสร้างกว่าบูธไหนๆในงาน มันจะถูกประดับประดาไปด้วยของตกแต่งเริ่ดหรูจัดเต็มสไตล์อาร์ตนูโว บรรดาลายเส้นโค้งเว้าพลิ้วไหวจะมากันเต็มที่ ดอกไม้พีชนานาพรรณจริงบ้างปลอมบ้างจะมากันให้พรึ่บพรั่บ ฉันส่งต่อความงดงามอ่อนช้อยของศิลปินในดวงใจอย่างมูคา (Mucha) ออกมาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว
แล้วดูการตกแต่งของอีกฝั่งซิ เรียบง่ายจนว่างเปล่าซะขนาดนั้น
แต่ทำไมคนเข้าเยอะจังวะ
"ฝั่งโน้นเค้าเพิ่งมาใหม่ไหม คนก็เลยอาจจะสนใจ" ฉันปลอบใจน้องคนสนิทไปงั้นๆขณะมองตามสายตาของคิตตี้ไปยังฝั่งข้างๆ ในใจรู้ดีว่าเป็นจริงอย่างที่คิตตี้พูด
ผู้คนเดินดูพวกโซฟาสีพาสเทลน่าเบื่อนั่นกันอย่างครึกครื้น เสียงสอบถามราคาดังจ้อกแจ้กจอแจ หันกลับมามองฝั่งเรา ทำไมช่างเงียบเหงาเช่นนี้ ที่เดินๆดูกันอยู่นี่ก็มีแต่คุณลูกค้าผู้สูงวัยซึ่งพิจารณาแล้วพิจารณาอีกแล้วก็ตามมาด้วยข้อตำหนิติเตียนกันมากมาย เฮ้อ...
"เทรนด์มันเปลี่ยนไปแล้วด้วยป่าวคะพี่ลิน คนยุคนี้เขาแสวงหาความเรียบง่ายความมินิมอลกันเพิ่มขึ้น" น้องแต๋วซึ่งเป็นฝ่ายการตลาดของโปรดักต์ฉันเริ่มจะเอาใจออกห่างแล้ว
ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่ากระแสความนิยมในปัจจุบันมันเป็นยังไง ฉันติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและนอกประเทศอยู่เสมอล่ะ แต่จำเป็นด้วยหรือที่เราต้องเห่อตามกระแส? เรามีเอกลักษณ์ของเราเอง เราก็ต้องยึดมั่นไว้สิ ทำตามๆคนอื่นมันไม่คูล!
"เอาเถอะ ปล่อยเขาไป เรามีสไตล์ของเรา ไม่ลอกเลียนแบบใคร" ฉันพยายามเชิดหน้าทำท่ามั่นใจ
"หลังจบงานนี้อยากจะรู้ว่าคุณเซนแกจะว่ายังไง" น้องแต๋วพูดแทงใจดำ ทั้งฉันและคิตตี้ต่างสะดุ้งเฮือก ความกังวลใจที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนกลับมาอีกครั้ง
ตอนนั้นที่คุณเซนเขาเข้ามาใหม่ๆ เขาแสดงออกชัดว่าไม่ชอบสไตล์การออกแบบของเรา!
คิตตี้หันมามองหน้าฉันด้วยสายตาละห้อย เป็นสายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกผิด รู้สึกแย่ที่ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกทีมได้
ปกติแล้วเป็นหน้าที่โดยตรงของคิตตี้ที่จะต้องมาเฝ้าบูธในทุกๆวันเพื่อคอยตอบคำถามและพรีเซ้นต์ไอเดียการออกแบบของโปรดักต์ของเรา แต่ปีนี้ฉันลงทุนมาเฝ้าบูธด้วยตนเองเพราะรู้ว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไป การขายของเรามันไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านๆมา และฉันก็ได้ตระหนักกับสายตาของตัวเอง เกมมันเปลี่ยนไปแล้ว
คงถึงเวลาแล้วสินะ ที่ฉันจะต้องยอมรับความเป็นจริง…
"เป็นไงคะพี่ลิน ดูเหงาๆนะคะฝั่งนี้"
แล้วเสียงหวานๆของน้องพลอยก็เข้ามาตอกย้ำความเหงาของทางฝั่งเราให้ดูเหงายิ่งขึ้นไป
"อ้าว น้องพลอย มาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ แล้วเดินดูทั่วงานหรือยัง" ฉันหันไปหาคนสวยน่ารักประจำบริษัท วันนี้วันอาทิตย์ พนักงานของบริษัทเราเกือบทุกคนน่าจะต้องแวะเวียนมาเยี่ยมชมงานนี้กันทั้งนั้น ใครๆก็อยากจะเห็นว่าบูธของบริษัทเราจัดได้สวยงามแค่ไหน มีคนเข้าเยี่ยมชมเยอะหรือไม่เมื่อเทียบกับบูธอื่นๆ
"พลอยติดรถมากับพี่เซนน่ะค่ะ เผอิญตอนเข้ามาพี่เซนเค้าตรงมาที่นี่เลย แต่พลอยแวะดูบูธอื่นๆก่อน"
อ่อ ฉันรู้แล้วล่ะว่าเขามาด้วยกัน คุณเซนเขาเมสเสจมาบอกฉันสั้นๆแล้วว่าเขาจะเข้ามาก่อนเที่ยงพร้อมน้องพลอย
หลังๆนี่ฉันแทบไม่ค่อยได้คุยกับน้องพลอยเลย ก็ตั้งแต่กลับมาจากบาหลีล่ะนะ น้องเขาคงสังเกตได้ว่าระหว่างฉันและคุณเซนมันมีความไม่ปกติแน่ๆ ซึ่งฉันก็เข้าใจได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ถ้าเรารักเราชอบใครเราจะสังเกตคนนั้นเป็นพิเศษ เขาจะเดินจะยืนจะนั่งเราก็จะมีเขาอยู่ในสายตาตลอด
เหมือนกับวันนี้ที่ฉันเห็นคุณเซนตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเดินเข้ามาในบริเวณบูธของเราแล้ว คุณเซนเธอมองมาแล้วก็โบกมือให้ฉันหนึ่งแว่บ ก่อนที่จะถูกน้องมินตราลากไปคุยกับลูกค้าที่บูธของน้องเขา และหลังจากนั้นคุณปากแดงเธอก็ยุ่งวุ่นวายอยู่แต่กับทางฝั่งโน้น ยังไม่มีเวลาแวะมาทางฝั่งเราเลย
"เดี๋ยวพลอยไปดึงตัวพี่เซนมาให้ช่วยโปรโมทฝั่งนี้บ้างไหมคะ ความจริงบูธพี่ลินก็สวยอยู่น้า"
น้องพลอยเขาคงจับตาดูฉันทุกอิริยาบถอะนะ คงเห็นว่าฉันกำลังแอบปรายตามองไปที่คุณเซน เฮ้อ…
"แต่ไม่เป็นไรนะคะพี่ลิน ถึงฝั่งนี้จะเงียบ แต่ฝั่งโน้นเค้าก็คึกคัก ยอดจองน่าจะเยอะนะคะ ยังไงมาเฉลี่ยๆกันแล้วบริษัทเราก็ถือว่าน่าจะยังไปได้ดีอยู่"
นี่มันคือการปลอบใจ หรือคือการทับถมกันแน่วะคะคุณน้อง
น้องพลอยเขามองโลกในแง่ดีในขณะที่ฉันกำลังมองโลกในแง่เศร้า
"ฝั่งเราเขาเรียกว่าแค่สงบค่ะ ลูกค้าที่เข้ามาคือสนใจโปรดักต์ของเราจริงๆ ฝั่งโน้นลูกค้าอาจจะแค่เดินดูไปเรื่อยเปื่อย" คิตตี้พยายามจะช่วยฉัน
…ซึ่งก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก
"เอ้อ สาวๆจ๊ะ เดี๋ยวพี่เดินไปดูทางนี้นิดนึงนะจ๊ะ เหมือนจะมีลูกค้าสนใจ" ฉันทำเป็นเดินเลี่ยงออกมาหาลูกค้า แต่ในใจจริงๆแล้วกำลังรู้สึกแย่กับคำพูดของน้องพลอย บรรยากาศมันเริ่มกร่อย ฉันชอบคุยกับผู้คนก็จริง แต่ฉันไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียง
แต่น้องพลอยเขากลับเดินตามฉันมา
"ช่วงนี้แผนกพี่ลินเจอแต่เรื่องยุ่งๆนะคะ พลอยเป็นห่วงจังเลย"
อิหยังวะ วันนี้น้องพลอยเขาเป็นไรมากไหมเนี่ย จงใจหาโอกาสเหน็บแนมฉันมานานมากแล้วใช่ไหม
คนสวยมองซ้ายมองขวาก่อนจะโน้มตัวเข้ามากระซิบเบาๆที่ข้างหูของฉัน
"เรื่องแอบใช้คอมพ์บริษัทยังไม่ทันจางหาย เรื่องยอดขายตกก็มาแทรกอีก"
เฮ้ย น้องพลอยท้อปฟอร์มมากอะค่ะ อัดอั้นมาจากไหนกันคะเนี่ย
"ตอนเอกพลมาฝึกงานที่แผนกพลอย เค้าไม่กล้าใช้คอมพ์ในแผนกเราเรื่องส่วนตัวหรอกค่ะ เพราะพลอยเข้มงวดไงคะ ให้ใช้แต่ทำงานเท่านั้น เขาก็เลยไปใช้ที่ห้องออกแบบของพี่ลิน พลอยรู้ว่าพี่ลินชอบเอาใจพนักงาน ชอบเอาใจเด็กๆ แต่ปล่อยปละละเลยแบบนี้ก็ไม่ไหวนะคะ"
โฮก! มาเป็นชุด! มาเลยค่ะ มา!
คือเรื่องเจ้าเอกกับเจ้าเรนนั้นพนักงานคนอื่นๆในบริษัทไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะคุณเซนเขาจบความสงสัยของพนักงานไปอย่างรวดเร็วในวันรุ่งขึ้นโดยการส่งอีเมลถึงทุกคนใจความสั้นๆตามสไตล์ว่า
'เมื่อวานนี้ได้มีตำรวจเข้ามาตรวจเยี่ยมบริษัทของเรา เนื่องจากมีพนักงานบางคนใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทโพสต์ความเห็นการเมืองในเรื่องส่วนตัว ทางบริษัทยอมรับความเห็นต่างของความคิดเห็นทางการเมืองของทุกคน ทุกคนมีอิสรเสรีในการใช้ความคิดเห็นเต็มที่ ขอเพียงแต่ให้ใช้อุปกรณ์ส่วนตัว ไม่ใช่อุปกรณ์ของทางสำนักงาน'
คุณเซนเธอช่างเป็นผู้บริหารที่มีอะไรก็บอกกล่าวกันตรงๆ และฉันก็เห็นด้วยที่คุณเจ้านายตัวขาวเขาไม่เอ่ยชื่อพนักงานออกมา ไม่ใช่เพราะว่าตัวการนั้นเป็นลูกชายของเขาหรอกนะ ฉันรู้จักคุณเซนดี สังเกตได้หลายครั้งแล้ว พ่อหนุ่มเขาไม่ใช่คนที่ชอบจะประจานใคร เขาเป็นหัวหน้าที่พร้อมจะปกป้องพนักงานเสมอ
ซึ่งแม้คุณเซนเธอก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร แต่ฉันก็รู้ว่าน้องพลอยต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี เพราะเธอรับผิดชอบเรื่องการฝึกงานของน้องเอก ยังไงๆคุณเจ้านายตัวขาวเขาก็ต้องคุยกับน้องพลอยเรื่องน้องเอกอยู่ดี
"พลอยว่าพี่ลินต้องระมัดระวังเรื่องการวางตัวให้มากกว่านี้นะคะ โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ยิ่งความสัมพันธ์กับเจ้านายนี่ ยิ่งต้องระวังนะคะ"
โฮก! รู้ได้ไงเนี่ยว่าฉันกำลังคิดถึงคุณเซนอยู่
"..."
ฉันไม่รู้จะโต้ตอบยังไงเลย ก็… เพราะมันจริงอย่างที่น้องพลอยเขาว่านั่นแหละ
หมู่นี้ทำไมฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วงยังไงไม่รู้ เรื่องเจ้าเรนยังไม่ทันจาง มามีเรื่องยอดขายตกฮวบอีกแล้ว ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของฉันกำลังจะหมดไปแล้วจริงๆหรือ
ยิ่งพอคิดย้อนไปถึงเรื่องลูกชายคุณเซนแล้ว ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สองร้อยล้าน
วันที่เจ้าเรนหนีออกจากบ้านนั้น ในตอนแรกใจคอคุณเซนเขาจะไม่ไปรับลูกชายด้วยซ้ำ คุณเขาแค่จะโทรมาถามลิสาว่าได้คุยกับเจ้าเรนบ้างหรือเปล่า แล้วรู้ไหมว่าเจ้าตัวแสบอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่บ้านเพื่อน คนเป็นพ่อก็พอใจและบอกว่าเดี๋ยวลูกหายงอนก็กลับมาบ้านเอง
ดู ดูพูดเข้า นี่พ่อหรือเพื่อน ถามจริง
แต่กลับเป็นฉันที่เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ก็ที่คุณมะพร้าวเธอความดันขึ้นนี่ก็เพราะแก้วตาดวงใจหนีออกจากบ้านไง แล้วถ้าคืนนั้นเธอไม่ได้เห็นหน้าเจ้าเรน อาการคุณมะพร้าวก็ไม่น่าจะดีขึ้นง่ายๆ
อีกอย่างความรู้สึกผิดก็ยังเกาะกุมในใจ ฉันเป็นคนชักจูงให้เจ้าเรนมารู้จักกับน้องเอก ทำให้เกิดเรื่องขึ้น ทำให้ครอบครัวของคุณเซนเขาต้องทะเลาะกัน ฉันจึงรีบอาสาขับรถออกไปรับคุณเซนพร้อมยัยลิสา ยังไงเจ้าเด็กหัวฟ้าก็ต้องกลับบ้าน
พอรู้ว่าเป็นบ้านของเพื่อนต่างโรงเรียนที่อยู่ในคลองเตย ฉันล่ะแสนจะแปลกใจว่าทำไมลิสาไม่เคยเล่าเรื่องเพื่อนแก๊งนี้ให้ฉันฟังบ้าง ปกติแล้วอย่าว่าแต่โกหกเลย ปิดบังหรือพูดไม่หมดยัยลิสาก็ยังไม่เคย หลานสาวของฉันเป็นเด็กช่างพูดช่างคุย เล่าทุกอย่างที่ได้พบเจอมาโดยที่ฉันไม่ต้องคาดคั้น แต่พอเรื่องนี้กลับเงียบสนิท แม้ระหว่างทางขับรถกลับมาบ้านฉันจะตะล่อมถามเท่าไร วัยรุ่นคนสวยเขาก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูด นี่คงไปสัญญิงสัญญาอะไรกับเจ้าเด็กหัวฟ้านั่นไว้แน่ๆ
คือถ้าเป็นเรื่องอื่นฉันอาจจะยอมได้ แต่พอเป็นเรื่องนี้ฉันจะไม่ตามใจคุณลิสาแน่ๆ เพราะมันเกี่ยวข้องไปถึงครอบครัวของคุณเซนเขา ดังนั้นพอกลับกันมาถึงบ้าน แม้จะดึกดื่นแค่ไหนฉันก็ไม่ย่อท้อที่จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมให้ลิสาเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมด นั่งคุยกันอยู่เกือบชั่วโมงลิสาถึงยอมเล่าเรื่อง
สำหรับฉันแล้ว เรื่องเพื่อนมีบ้านอยู่ในคลองเตยนั้นน่ะไม่ใช่ปัญหา เพราะลึกๆแล้วฉันรู้สึกดีใจที่เห็นลิสาคบเพื่อนในสังคมที่แตกต่างไปจากสังคมของเรา ฉันอยากให้ลิสามีมุมมองต่อโลกใบนี้ให้กว้างๆเข้าไว้
แต่ประเด็นก็คือ… ปกติแล้วลิสาไม่เคยมีความลับใดๆกับฉัน
'เรนเค้าบอกว่าคุณปู่ไม่อยากให้คบเพื่อนต่างโรงเรียนค่ะ เค้าเลยอยากให้เป็นความลับ เรนน่ะ เห็นท่าทางเฉยๆอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเค้าเป็นคนเซ้นซิทีฟมากเลยนะคะ แคร์ความรู้สึกของคนใกล้ตัวมาก ทั้งแม่เล็ก คุณปู่ แล้วก็คุณมะพร้าว ก็อย่างที่น้าลินเห็น ลิสาว่าน่าจะเป็นเพราะเรนโตมากับคนแก่ๆทั้งนั้น เค้าเลยเป็นคนอ่อนโยนลึกๆอยู่ข้างใน'
นั่น มีวิเคราะห์เสริมเข้าไปตอนจบอีก เฮ้อ หลานสาวฉัน
'หล่อ อ่อนโยน แถมยังเก่งอีก' สาวน้อยเขาชื่นชมหนุ่มน้อยอย่างออกหน้าออกตาไม่มีเขินอาย นี่ ไปเอานิสัยอย่างนี้มาจากไหนกันเนี่ย
แต่เมื่อนึกถึงเจ้าเด็กหัวฟ้านั่น ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่หลานสาวพูดไม่เกินความจริงไปแม้แต่น้อย
ฉันรู้ตัวมานานแล้วสิ่งที่ฉันเคยภาคภูมิใจมาตลอดมันไม่เข้ากับยุคสมัยอีกต่อไป ฉันกำลังเบื่อหน่ายกับการทำงาน แต่เมื่อมีเจ้าเด็กน้อยก้าวเข้ามา โลกแห่งการทำงานของฉันก็สดใสขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าเด็กหน้าหล่อนี่มันเด็กอัจฉริยะชัดๆ!
ลูกชายคุณเรนมาพร้อมกับความกระตือรือร้นและไอเดียใหม่ๆ ไม่น่าเชื่อว่าความคิดของเด็กมัธยมจะเปิดโลกของฉันได้มากขึ้นขนาดนี้ โลกทางศิลปะของวัยรุ่นยุคนี้นั้นช่างดิบเถื่อนและน่าตื่นเต้น ฉันรู้สึกมีไฟในการทำงานขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมที่จะเรียนรู้และเปิดรับความแปลกใหม่จากโลกของเด็กๆที่ไม่ได้เคยสัมผัสมาก่อน
จริงอยู่ที่ฉันมีหลานสาววัยเดียวกับเจ้าเรน แต่คุณลิสาเธอมีท่าทางที่ไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว ลิสาพูดและคิดรอบคอบเหมือนผู้ใหญ่ คุณคนสวยเธอมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ในขณะเดียวกันก็มีชีวิตที่เป็นระเบียบ มีความรับผิดชอบเกินตัว
เทียบกับเจ้าเด็กหัวฟ้า… เจ้าเด็กอารมณ์ศิลปิน กล้าคิดและกล้าพูดตรงๆอย่างไม่สนใจใคร ยังมีความงอแงตาใสและดื้อแบบเด็กๆ เรนเป็นเด็กที่กล้าคิดนอกกรอบและกล้าทำอย่างที่ตัวเองคิด ก็คงเหมือนกับพ่อเค้าแหละนะ
เจ้าเรนพาฉันท่องไปตามโลกของการ์ตูนและเกมออนไลน์ต่างๆซึ่งฉันไม่เคยสนใจมาก่อน
'เกมบ้านี่แม่งโคตรกินสเปคเลยฮะป้า คอมไม่แรงอย่าคิดลอง'
เจ้าหัวฟ้าเคยกล่าวไว้ตอนที่โชว์เกมโปรดของเขาให้ฉันดู นัยน์ตาคมๆนั่นเป็นประกายวิบวับมากตอนจ้องภาพกราฟิกเหล่านั้นบนจอ
หลังๆฉันเลยเข้าใจทำไมเด็กๆถึงชอบมาใช้คอมพ์ในห้องออกแบบเล่นเกมกัน ก็เพราะเกมเทพๆเหล่านี้บางเกมมันคือสุดยอดกราฟิกเลย ตัวเกมทำออกมาได้สมจริงมากๆ ขนาดแค่มองใบหน้าของตัวละครนี่อย่างกับคนจริงๆ รวมถึงการออกแบบทั้งฉากและการเคลื่อนไหวทำออกมาได้ไร้ที่ติ ยิ่งดูจากจอใหญ่คุณภาพเยี่ยมของห้องออกแบบของเราแล้ว มันคือสวรรค์ของนักเล่นเกมชัดๆ
"พี่ลิน พี่ลินคะ"
เสียงหวานๆของน้องพลอยดึงฉันออกจากบรรยากาศเกมของเด็กๆกลับมาสู่บรรยากาศของผู้ใหญ่ภายในงานแสดงสินค้าอีกครั้ง
"ตรงนั้นเหมือนมีลูกค้าสนใจจะถามน่ะค่ะ" เธอชี้มือไปที่กลุ่มคุณป้าแต่งตัวดีที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับโซฟาลายดอกทานตะวันรุ่นใหม่ล่าสุดของเรา
ฉันเขม้นตามองตามแล้วก็ยิ้มออกมา นั่นกลุ่มไฮโซลูกค้าประจำของฉันนี่นา
"อ้อ เหรอ งั้นพี่ไปดูลูกค้าก่อนนะ" โชคดีแล้วจ้า วันนี้ยังไงก็ต้องมีออเดอร์เข้าบ้างล่ะวะ โอกาสเป็นของทีมฉันแล้วววว ต้องรีบหน่อยละ
"รีบเลยค่ะ โอกาสไม่ค่อยจะมีบ่อยนะคะ"
ประโยคสุดท้ายของน้องพลอยทำเอาฉันยิ้มแห้ง เหมือนน้องพลอยจะรู้ความในใจของฉัน เฮ้อ...
เย็นวันศุกร์อาทิตย์ถัดมา…
ฉันเดินอย่างกะปรกกะเปรี้ยเข้ามาในห้องออกแบบอันเป็นที่รักแล้วทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงที่โต๊ะใหญ่ตรงกลางห้อง
สิ่งที่ได้รับฟังจากฝ่ายการตลาดในห้องประชุมเมื่อกี้นี้ทำเอาฉันใจสลาย ปีนี้ยอดสั่งจองแก๊งโซฟาลายดอกไม้ของทีมฉันน้อยกว่าปีที่แล้วถึงครึ่งนึง แถมน้อยกว่าพวกโซฟาสีพาสเทลน่าเบื่อของทีมน้องมินตราเกือบสามเท่า ยอดจองพวกนี้เป็นตัวยืนยันความล่มสลายของรสนิยมลายดอกไม้อย่างเห็นได้ชัด
นี่ฉันจะทำอย่างไรดี...
ฉันแทบไม่มีความหมายต่อบริษัทนี้แล้วใช่ไหม
ฉันมองไปรอบๆห้องออกแบบที่ฉันหลงใหล ห้องนี้เราคุ้นเคยกันมาเกือบสิบปี ห้องที่บรรจุทั้งความฝันของฉันและความฝันของคุณโทโมโกะคุณแม่ของคุณเซน ห้องที่มีแต่บรรยากาศความครื้นเครงสนุกสนานจากลูกทีมของฉัน
และเป็นมุมเยียวยาจิตใจของฉันทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ
ความเศร้าหมองฉันตอนนี้ต้องการการบำบัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็ต้องใช้วิธีการระบายสีน้ำเท่านั้น ฉันหยิบหูฟังครอบตัวใหญ่ออกมาจากกระเป๋า กดมือถือหาเพลงโอเปร่าของอันเดรอา โบเชลลีศิลปินคนโปรดชาวอิตาเลี่ยน
และเมื่อน้ำเสียงอันโหยหวนทรงพลังดังขึ้น จากนั้นฉันก็ตกอยู่ในภวังค์...
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ฉันก็ไม่อาจรู้ได้ ความเพลิดเพลินจากการระบายสีน้ำสะกดฉันเอาไว้ได้สนิท รู้สึกตัวอีกทีก็มีมือขาวๆมาแตะเบาๆที่หัวไหล่
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือด้วยแววตาอ่อนระโหย ก่อนจะถอดหูฟังออกวางบนโต๊ะ คนมือขาวเขาเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงข้างๆ สบตาฉันด้วยแววตาอันอ่อนโยน
"เซนพูดถูก โซฟาลายดอกไม้มันขายไม่ได้อีกต่อไป" ฉันพูดสิ่งที่กำลังอัดอั้นอยู่ในใจออกมาทันที "ขอบคุณนะคะที่พยายามช่วยพูดให้กำลังใจลินในห้องประชุม"
ท่าทีของคุณเซนในห้องประชุมเมื่อตอนบ่ายหลังจากรับรู้เรื่องยอดสั่งจองรวมทั้งหมดจากงานแสดงสินค้านั้น ช่างต่างไปจากตอนที่เราเจอกันใหม่ๆ ตอนนั้นเจ้านายหนุ่มคนนี้ได้แต่เยาะเย้ยงานของฉันว่าไม่เข้ากับยุคสมัยอีกต่อไป
ซึ่งท้ายสุดแล้ว... เขาก็พูดถูก
แต่วันนี้ในห้องประชุม เขากลับเป็นฝ่ายพยายามเข้าข้างฉัน
'ก็เป็นธรรมดานะครับ บริษัทเรามีโปรดักต์ไลน์ใหม่ของคุณมินตรามานำเสนอ ลูกค้าก็ย่อมตื่นเต้นและให้ความสนใจมากกว่าเป็นธรรมดา แต่ยังไงก็ตามไลน์ของคุณลินก็ยังนับว่าทำรายได้ให้กับบริษัทอยู่ มันไม่ง่ายนะครับที่จะมีโปรดักต์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานมาขนาดนี้'
ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกของการได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ...
"ผมแค่อยากรู้ว่า..." มือขาวๆนั่นชี้ไปที่กระดาษสามสี่แผ่นตรงหน้าฉัน
"ดอกไม้ที่ลินกำลังวาดมันชื่อดอกอะไรครับ"
ฉันถึงกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าสิ่งที่เขาถาม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมเมื่อบ่ายนี้เลย คำถามของเขามันทำให้มีรอยยิ้มอ่อนๆระบายขึ้นบนใบหน้าของฉัน
เบี่ยงเบนประเด็นได้ถูกจังหวะมากค่ะที่รัก
"ดอกเกดไงคะ ดอกไม้ประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เราใช้ลวดลายของดอกนี้ในการออกแบบตกแต่งภายในโรงแรมที่หัวหินไงคะ เซนจำได้ไหม"
"อือม์ สวยครับ เห็นแล้วทำเอาผมคิดถึงหัวหิน"
"ลินชอบดอกเกดเพราะลวดลายมันละเอียดซับซ้อนดี เหมือนจิตใจของคนเรา..." ฉันพึมพำ รู้ตัวดีว่าความซับซ้อนของจิตใจคนเราที่ว่านั้น น่าจะหมายถึงจิตใจของตัวฉันเอง
ซึ่งน่าจะต่างไปจากจิตใจของคนตรงหน้า เขาช่างเป็นคนไม่ซับซ้อน ดูจากคำถามที่เขาถามฉันถัดมา
"งั้นเราไปดูดอกเกดของจริงกันตอนนี้เลยดีไหม"
"คะ?"
เฮ้ย! เดี๋ยวค่ะคุณหน้าขาว นี่มันหกโมงเย็นแล้วนะคะ
"ผมอยากไปหัวหิน ลินไปกับผมนะ" หน้าตานั้นดูจริงจังมาก ไม่ล้อเล่นแน่ๆ คนแบบคุณเซนพูดจริงทำจริงเสมอ
"คะ? ตอนนี้เลยหรือคะ?"
"ครับ ไปกันเถอะครับ ไปเร็ว" จู่ๆคนตัวสูงก็ลุกยืนขึ้น แล้วก็เอื้อมมือมาจับข้อมือฉันให้ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะฉันรู้ดีว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองขนาดไหน
"ผมเหนื่อย อยากหนีจากเรื่องพวกตัวเลขยอดขายไปให้ไกล"
เอ่อ คนที่อยากหนีจากยอดขายควรต้องเป็นชั้นมากกว่าไหมคะคุณเซน
"พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ เราไม่ต้องทำงาน คืนนี้เราหนีไปด้วยกันนะ" ง่ายๆงั้นเลย? น้ำเสียงนั่นช่างออดอ้อนเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นชักชวนสาวรุ่นป้าให้หนีตาม
นี่เลียนแบบลูกชายป่าวเนี่ย เห็นลูกชายหนีออกจากบ้านเลยเอาตามอย่างบ้าง
ฉันอยากจะเล่นตัวเหลือเกิน แต่ณ เวลานี้ เวลาที่หัวใจของฉันกำลังบอบช้ำจากยอดขาย การระบายสีน้ำไม่ช่วยเท่าไหร่ คงจะเป็นความเซ็กซี่ของท้ายทอยขาวๆของคนตรงหน้าเท่านั้นที่จะช่วยได้
ความใจง่ายจึงบังเกิด
"ค่ะ เราจะหนีไปด้วยกันค่ะ"
...