webnovel

เพราะรัก

อาการบาดหมางของพ่อกับเจ้าเรนหายไปตั้งแต่ผมพาลูกชายเดินเข้าประตูห้องผู้ป่วยมา พ่อลุกขึ้นจากโซฟาเฝ้าไข้ตรงเข้ามาสวมกอดหลานชายทันที สองคนนั่นเขาเคืองกันได้ไม่นานหรอกผมรู้ บางทีที่เค้าทะเลาะกันเมื่อตอนเย็นอาจเป็นเพราะทั้งคู่ต่างเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว

ส่วนคุณมะพร้าวที่นอนพักอยู่ก็มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าเด็กตัวแสบเดินเข้าไปกอด ก็คนเค้ารักเค้าห่วงของเค้า คุณมะพร้าวเขาคงนอนไม่หลับแน่ๆถ้าไม่ได้เห็นหน้าของลูกชายผมในคืนนี้

ผมบอกผู้สูงวัยทั้งคู่แต่เพียงสั้นๆว่าไปรับตัวเจ้าเรนมาจากบ้านเพื่อน และเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เขาคงติดใจสงสัยกันแหละว่าบ้านเพื่อนคนไหนอะไรยังไง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันออกมา เป็นปกติของบ้านผมล่ะ ไม่นิยมดราม่า แต่ เอ… หรือบ้านผมจะพูดกันน้อยเกินไปหรือเปล่านะ

หลังจัดแจงเรื่องพยาบาลเฝ้าไข้คุณมะพร้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถกลับบ้านกันด้วยความอ่อนล้า ระหว่างทางนั่งมาในรถเราทุกคนต่างเงียบ ตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว มันช่างเป็นวันที่แสนจะยาวนานสำหรับผม และก็คงจะสำหรับพ่อผมด้วย วันนี้เขาออกไปนอกบ้านทั้งวันแถมยังขับรถไปเองอีกต่างหาก ดูสีหน้าพ่อก็รู้ว่าเหนื่อยมากขนาดไหน พอกลับถึงบ้านกันพ่อก็บอกขอตัวเข้านอนเดินตรงเข้าบ้านไปเลย

"พ่อตามปู่เข้าบ้านไปก่อนเลยฮะ ผมขอนั่งเล่นแถวนี้เดี๋ยว"

เด็กหัวฟ้าบอกผมก่อนจะเดินเลี้ยวไปที่ชานระเบียงไม้ข้างบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิริมบ่อปลา

ผมชั่งใจอยู่ชั่วครู่ รู้สึกเหนื่อยมาก อยากจะทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆแย่แล้ว แต่ไม่รู้อะไรดลใจ อาจเพราะคืนนี้อากาศดีมั้ง มีลมแผ่วๆด้วย ผมเลยเดินตามไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆลูกด้วยท่าขัดสมาธิเหมือนกัน

วัยรุ่นหน้าหล่อหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่ขออนุญาตกึ่งแจ้งให้ทราบว่า

"ขอผมสูบบุหรี่ซักมวนนะฮะ" ก่อนจะควักซองบุหรี่กับไม้ขีดไฟออกมาจากกระเป๋าเป้

ผมมองท่าทางอันเชี่ยวชาญในการจุดไม้ขีดไฟและในการคีบบุหรี่ของลูกแล้ว ก็สรุปได้ว่าเจ้าเรนไม่ได้สูบครั้งนี้เป็นครั้งแรกแน่ๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ผมคงจะตกใจบ้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า เพราะผมไม่เคยเห็นลูกสูบบุหรี่ในบ้านมาก่อนเลย ในห้องนอนของลูกก็ไม่เคยมีกลิ่นบุหรี่ หรือจะสูบที่หลังโรงเรียน?

แต่หลังจากได้เห็นลูกชายผมโต้เถียงกับปู่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้ว แถมยังมีเพื่อนลับๆต่างโรงเรียนอีก ผมคงต้องหันมามองลูกใหม่เสียแล้ว

ตัวตนจริงๆของเจ้าเด็กหน้าหล่อคนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ นี่มันเด็กมอปลายแน่หรือ ท่าทางเก๋าเหมือนเด็กมหาลัย

ผมเอนตัวออกไปเล็กน้อยเพื่อจ้องมองคนข้างๆอย่างเต็มตา เด็กหนุ่มผิวขาวใสรูปร่างสูงเพรียวที่ตอนนี้เปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งชันเข่าทั้งสองข้าง มือข้างนึงกอดเข่าไว้ ส่วนอีกข้างคีบบุหรี่พ่นควันฉุย สายตาเหม่อมองไปยังบรรดาเจ้าปลาคาร์ปในบ่อ ผมสีฟ้านั่นด้านหลังตัดแบบรองทรงแต่ด้านหน้ากลับยาวลงมาปรกหน้าปรกตา ใบหน้าเรียวตาคมและคิ้วเข้ม

เรนมีส่วนคมเข้มคล้ายแม่เขามากกว่าคล้ายผม

"พ่อเอาป่าว" ลูกชายยื่นบุหรี่ที่กำลังคีบอยู่มาให้ผม

ผมรับบุหรี่จากลูกมาอัดเข้าปอด แล้วค่อยๆพ่นควันออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะส่งคืนให้คนข้างๆ

"แล้วนี่คุณปู่รู้มั้ยว่าสูบบุหรี่"

"ก็น่าจะรู้ฮะ น่าจะเคยได้กลิ่นบ้าง แต่ผมสูบไม่บ่อยหรอก ปู่ห้ามไปก็เท่านั้น คุณมะพร้าวก็น่าจะรู้" อ้าว นี่คนทั้งบ้านรู้ แต่ผมไม่รู้ แสดงว่าผมยังเอาใจใส่ลูกไม่พอใช่ไหม

"บุหรี่น่ะยังพอได้ แต่พวกยาไอซ์ยาเคอย่าไปเล่น" ผมพูดเรื่อยๆ

"ผมไม่สนยาพวกนั้นหรอกฮะ มันสำหรับพวกคนกระจอกๆเท่านั้น แม่งจะรู้สึกดีทีก็ต้องมียาช่วย กากมาก ระดับผมแล้วไม่มีเวลามาว่างถึงขนาดต้องใช้ยาหรอก มีเรื่องอื่นต้องทำเยอะแยะ" ว่าแล้ววัยรุ่นหน้าหล่อก็อัดบุหรี่เข้าปอดอีกทีนึง ท่าทางนั่นดูผ่อนคลายแต่ในขณะเดียวกันก็ดูกวนประสาทไปด้วย

"ส่วนบุหรี่นี่ผมแค่ชอบมองควันของมันเฉยๆ" หน้าตาลูกผมเคลิ้มจริงๆขณะมองควันบุหรี่

ครับคุณเรน ผมรู้ว่าคุณคือศิลปินครับ คุณมิได้นิยมชมชอบในรสชาติของบุหรี่ แต่คุณชอบบรรยากาศของการดูดบุหรี่

"ก็ดีที่สูบไม่บ่อย"

"ไม่บ่อยหรอกฮะ กลัวฟันดำ แล้วก็กลัวปากเหม็น"

"เฮ้ย นี่คุณห่วงหล่อตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับเนี่ย" ผมล่ะแปลกใจ เรนเป็นเด็กหน้าตาดีที่ไม่เคยสนใจว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ก็รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี

"ก็... ไม่ได้ขนาดนั้น…" วัยรุ่นรูปหล่อยกมือขึ้นเสยผม ดูเขินๆ

"บอกมา ไม่ต้องเขินครับ รับรองผมไม่บอกใครครับคุณเรน"

"คือ... ลิสาเค้าไม่ชอบคนสูบบุหรี่" คนเขินอ้อมแอ้มไปก็ควานหาที่เขี่ยบุหรี่ที่ซ่อนอยู่ในพุ่มต้นไม้ริมบ่อปลาไป นี่แสดงว่ามานั่งสูบแถวนี้เป็นประจำ พ่อผมเขารู้ไหมเนี่ยว่าสวนญี่ปุ่นสวยงามของเขาเป็นที่นั่งสูบบุหรี่ของเจ้าเรน

"โอเคครับ ดูมีเหตุผลที่ดี" ผมเห็นด้วยกับลูก ลิสาเป็นเด็กน่ารัก หนุ่มน้อยคนไหนอยู่ใกล้ก็คงอดเผลอใจไม่ได้ "แต่อย่าสูบบ่อยเลยว่ะ เดี๋ยวปอดจะพัง"

"ครับคุณพ่อ ปกติผมก็ไม่ค่อยได้สูบหรอกครับ แต่วันนี้แม่งเครียดครับ"

"อือ ครับคุณลูก คุณมะพร้าวป่วยนี่เครียดจริงครับ เฮ้ย แล้วใครจะดูแลเรื่องในบ้านวะครับ เพราะแกคนเดียวเลยครับคุณเรน แม่งหาเรื่องครับ รับผิดชอบด้วยนะครับ" ผมถอนหายใจ กลุ้มใจเรื่องคุณมะพร้าวไม่ต่างกัน

"ไม่ต้องห่วงเรื่องงานบ้านฮะ ผมรับผิดชอบเอง เมื่อกี้ตอนนั่งมาในรถผมไลน์มาบอกป้าแม่บ้านแล้วว่าพรุ่งนี้เมนูอาหารเช้าคือข้าวต้ม" ท่าทางของเจ้าลูกชายจริงจังจนผมต้องยิ้มน้อยๆ ผมรู้ว่าลูกรับมุกผม

"เฮ้ย จริงดิ เจ๋งอ่า มีการวางแผนเรื่องอาหารเช้าด้วยหรือครับคุณลูก"

"ไม่ได้มาเล่นๆครับ จริงจังอยู่แล้วครับ นี่โชว์ไลน์ให้ดูเลยครับ" ลูกผมควักมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดหน้าไลน์ที่คุยกับแม่บ้านให้ดู

"โคตรภูมิใจเลยว่ะครับ" ผมตบบ่าเจ้าลูกชาย

ผมรู้ว่าทั้งเจ้าเรนและผมต่างทำเป็นพูดเล่นกันไปเรื่อยเปื่อยเรื่องงานบ้าน เรามองตากันก็รู้ว่าทุกคนต่างกังวลเรื่องสุขภาพของคุณมะพร้าวอยู่ลึกๆในใจ ไม่ต้องพูดออกมาก็รู้

เงียบกันไปอีกครู่ ต่างคนต่างนั่งจ้องดูปลาในบ่อว่ายน้ำไปมา…

บริเวณบ่อปลานี้มีโคมไฟญี่ปุ่นเตี้ยๆตั้งสว่างเรืองรองอยู่สองสามโคม อันที่จริงบรรยากาศก็ไม่เลวเลยแฮะ การนั่งดูปลาว่ายน้ำในตอนกลางคืนทำให้จิตใจของเราสงบผ่อนคลายไปอีกแบบ

ผ่อนคลายจนกระทั่งผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมกับลูกจะต้องเคลียร์กันในอีกเรื่องที่เรายังคาใจอยู่ หากไม่ได้คุยกันในคืนนี้ผมคงนอนไม่หลับ

ผมจึงตัดสินใจเอ่ยออกมาก่อน

"เอ้อ พ่อมีเรื่องนึงอยากจะถาม"

"ฮะ?"

"ทำไมต้องไปใช้คอมพ์ของบริษัทวะ มือถือตัวเองก็มี อยากโพสต์อะไรก็โพสต์ไปสิ"

ลูกผมถึงกับหันขวับมาหา คิ้วเข้มนั่นขมวดเข้ากัน หน้าหล่อๆมีแต่ความสงสัยกระจายอยู่เต็มไปหมด

"พ่อเข้าใจที่เรนพูดทุกอย่าง เห็นด้วยหมดทุกประโยค ถ้าพ่อเป็นเรนคงโพสต์แรงกว่านี้ เสียดายพ่อวาดการ์ตูนไม่เป็น" ผมยิ้มให้ลูก แล้วก็เห็นหน้าหล่อๆนั้นค่อยๆยิ้มตอบกลับมา

"แต่เรนลองคิดดูนะ หัวอกคนเป็นพ่อ จะให้สนับสนุนลูกทั้งๆที่รู้ว่าลูกอาจต้องเดือดร้อนจากการกระทำครั้งนี้งั้นหรือ ไม่มีพ่อแม่คนไหนทนดูได้หรอก แล้วอีกอย่างที่คุณปู่พูดก็ถูก คนทำธุรกิจอย่างพวกเราออกตัวเรื่องการเมืองแรงมากไม่ค่อยได้ ผลกระทบก็อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ประเทศนี้ใครจะใช้วิธีการอะไรกลั่นแกล้งใครก็ได้"

ผมพูดช้าๆชัดๆยาวแบบม้วนเดียวจบ ได้มากสุดแค่นี้แหละ เป็นสปีชที่เรียบเรียงมาในหัวขณะยืนใต้ฝักบัวอาบน้ำเมื่อตอนหัวค่ำ ผมว่าเรื่องแบบนี้เราคงต้องเปิดใจคุยกันตรงๆเท่านั้น คิดอะไรในใจก็พูดกันออกไปอย่างจริงใจ มาช่วยหาทางออกร่วมกันจะดีกว่า ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่จะทำอย่างไรให้เราอยู่ร่วมกันได้

"แล้วพ่อจะให้ผมนั่งเฉยๆ รอดูบ้านเมืองล่มสลายไปเรื่อยๆงั้นเหรอฮะ"

สังเกตจากน้ำเสียงของลูกที่อ่อนลงไม่ท้าทายเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำแล้ว ผมก็รู้ว่าลูกเองคงรู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย

เราเงียบกันไปชั่วครู่ ผมเองก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดให้ลูก ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดความรู้สึกออกไป

"เอาจริงพ่อภูมิใจนะเว้ยที่เรนกล้าหาญ กล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่คิด" ผมหันไปจ้องหน้าลูกตรงๆ หมายความตามที่พูดจริงๆ เจ้าเด็กน้อยของพ่อ…

"Respect!" ผมชูสามนิ้วให้ลูก

ก่อนที่วัยรุ่นหน้าหล่อเขาจะต่อคำพูดผมด้วยหน้ายิ้มๆ

"แต่?"

"แต่อะไร" ผมไม่เข้าใจ

"ก็ผู้ใหญ่ชอบขึ้นต้นเท่ๆ ทำท่าเหมือนจะอยู่ข้างเรา เข้าใจเรา แต่แล้วก็มักจะตามมาด้วยคำว่า 'แต่'"

"อ่อ เออ จริง พวกผู้ใหญ่มันชอบต้องคีพคูลก่อนจะสั่งสอน" ผมยอมรับตรงๆกับลูกไป

"แล้ว 'แต่' ของพ่อคือไรอะฮะ …พ่อภูมิใจในตัวลูกนะเรน แต่พ่อขอให้ลูกเลิกทำเสีย…" เจ้าเรนเลียนแบบเสียงของผม

"ผมไม่มีคำว่า 'แต่' อะครับคุณเรน ผมคิดไม่ออก ไม่รู้จะแนะนำคุณยังไง เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเป็นพ่อคนหนแรก" ผมถอนหายใจยิ้มๆ รู้สึกเหมือนต้องการคำปรึกษาจากลูกมากกว่า

"ขอบุหรี่มวนดิ"

เจ้าหน้าหล่อยิ้มแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาควักบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจุดก่อนจะส่งให้ผม ตอนนี้เราทั้งคู่เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่านอนราบไปกับพื้นระเบียงนั่น แขนข้างที่ว่างจากมวนบุหรี่ก็หนุนหัวเอาไว้ ส่วนขาก็ห้อยกับขอบไม้ส่วนเท้าก็จุ่มลงไปในบ่อปลาคาร์ป

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อที่ดีหรือเปล่า หรือเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าพ่อที่ดีควรเป็นแบบไหน รู้กันได้อย่างไรว่าคำที่เราแนะนำบอกกล่าวกับลูกมันจะถูกต้องเสมอไป หรือเราก็แค่พูดต่อๆไปตามที่เราเคยได้ยินพ่อแม่เราพูดมา หรือได้ยินตามหนังตามละคร

หรือผมควรจะไปขวนขวายหาหนังสือคู่มือการเลี้ยงดูลูกของนักจิตวิทยาหรือคุณหมอดังๆมาอ่านดีวะ

แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าคำแนะนำเหล่านั้นมันจะเหมาะกับลูกของผม ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆงั้นหรือ และหากลูกของผมเป็นเด็กที่แตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆทุกคนบนโลกใบนี้ล่ะ…

เรานอนสูบบุหรี่กันไปเงียบๆอีกพักใหญ่ ผมไม่รู้ว่าเจ้าเรนกำลังคิดอะไร หรือไม่ก็อาจไม่คิดอะไรเลย

ช่างเถอะ เราคงต้องให้เวลาตัวเองกันบ้าง

แต่แล้วจู่ๆเจ้าลูกชายก็พูดขึ้นมา

"พ่อว่าเจ้าคุณปู่เขาจะตัดผมออกจากกองมรดกไหม"

"ก็ไม่แน่ เสร็จพ่อล่ะทีนี้ ตัดคู่แข่งไป ได้ครอบครองมรดกคนเดียวสมใจ ฮ่าฮ่า" ผมหัวเราะอย่างน่าสะพรึง ไอ้เด็กหน้าหล่อตกหลุมพรางการฮุบมรดกของผมแล้ว

"ว่าละ ว่าต้องเป็นแผนของพ่อ ช่างล้ำลึก" ลูกผมเขาทำเสียงเยาะๆ ในที่สุดเจ้าลูกชายก็รู้ความจริงเสียที

แล้วเราก็สูบบุหรี่เงียบๆกันไปอีกชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าเรนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีก

"เอาจริงนะพ่อ ที่พวกผมโพสต์ที่ออฟฟิศกันก็เพราะเน็ตออฟฟิศเรามันแรงมาก ก็พ่อเองเป็นคนเปลี่ยนให้มาใช้แพ็คเกจที่เร็วที่สุด"

"ไม่เห็นเกี่ยว เน็ตมือถือสมัยนี้เขาก็เร็วอย่างนี้กันเป็นปกติป่าวครับคุณเรน"

"คืองี้ฮะ พี่เอกเขาชอบอยู่ออฟฟิศดึกๆเพราะเขาจะใช้เน็ตที่ออฟฟิศเล่นเกมออนไลน์ฮะ ตอนแรกๆผมก็แค่นั่งเล่นเกมสู้กะพี่เอก แต่ไปๆมาๆเราก็คุยเรื่องการเมืองกัน แล้วพี่เขาเลยเปิดหน้าเพจเฟซกับทวิตเตอร์ของเขาให้ผมดู แอ็คเคานท์สองอันนั่นน่ะมันของพี่เอกเขา มีคนตามมากพอควรเลยอะฮะ"

หลังจากดูดบุหรี่กันไปคนละมวนสองมวน ตอนนี้เหมือนลูกจะเปิดใจยอมเล่ามากขึ้นแล้ว เรนไม่ใช่เด็กช่างพูด และก็ไม่ใช่คนที่จะสนิทสนมกับใครง่ายๆ จะว่าไปก็เหมือนผมนั่นแหละ

คงต้องให้เวลากับเขา ให้เขาได้พูดขึ้นมาเอง พอรู้สึกอยากพูด เจ้าเรนก็พูดใหญ่เลย

"แล้วอีกอย่าง จอคอมพ์ในห้องออกแบบก็เจ๋งสุด ใหญ่โคตร คอมพ์ก็มีตั้งสองเครื่อง แถมมีเครื่องละสองจอด้วย ป้าลินบอกว่าพ่อเป็นคนเปลี่ยนจอให้ แล้วที่สำคัญป้าลินก็ใจดีมาก ไม่เคยว่าพวกเราเลยสักครั้งที่เล่นเกมกันในออฟฟิศ ทั้งๆที่ป้าแกก็รู้แหละ"

นั่นยังไง ชอบตามใจให้ท้ายเด็ก ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงคนตาโตใจอ่อนคนนั้น เมื่อเย็นที่ออฟฟิศก็ทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายพยายามปกป้องเด็กๆสุดชีวิต ส่วนตอนพาผมไปหาเจ้าเรนที่บ้านหลังนั้นก็หน้าตาซีดเซียวเชียว ไม่รู้เค้าจะรู้สึกผิดอะไรกันนักหนา ผมว่าเรื่องทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความผิดของคุณลินเลย อาจจะแค่เพราะเธอยอมให้เด็กๆใช้คอมพ์ของบริษัทเล่นเกม ก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนคุณป้าตาโตเขาจะคิดไปไกลว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาที่ไม่ดูแลเอาใจใส่เจ้าเรนให้ดีกว่านี้ เอ้อ นี่ลูกผมนะครับคุณป้า ไม่ใช่ลูกป้าซักกะหน่อย

เงียบกันไปอีกพักหนึ่ง ผมและลูกต่างคนต่างกำลังตั้งอกตั้งใจพ่นควันบุหรี่ออกมาให้เป็นรูปแปลกๆแข่งกัน

วันนี้คงเป็นวันที่ผมดูดบุหรี่มากที่สุดในรอบสิบห้าปีแล้วมั้งเนี่ย

ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นวันนั้น วันที่ผมรู้ว่ากำลังจะเป็นพ่อคนในวัยสิบเจ็ด…

ผมหันไปมองหน้าลูกอย่างช้าๆ พบว่าลูกกำลังมองผมอยู่ก่อนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเด็กห้าวคนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่ร้องไห้น้อยใจเพราะผมจำวันเกิดเค้าไม่ได้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

"ผมขอโทษฮะ ไม่ทันคิดว่าพวกตำรวจเค้าจะมาสนใจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้บริษัทเสียหาย"

ในที่สุดวัยรุ่นหน้าใสก็เอ่ยคำขอโทษออกมา คำนี้แหละที่ผมต้องการได้ยินจากลูกมากที่สุด

"แต่เอาเข้าจริงนะ จะโพสต์ที่ไหนมันก็เหมือนกัน ถ้าเขาจะสืบ เขาก็รู้อยู่ดีว่าเรนเป็นลูกใคร" ไปๆมาๆผมก็เริ่มปลงแล้ว "ก็เรนเล่นไม่เปลี่ยนลายเส้นการ์ตูนเลยนี่นา สืบง่ายจะตายไป"

ผมจ้องหน้าลูกชาย "ตั้งใจท้าทายคนมีอำนาจใช่ไหมเรา"

"ก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้นฮะ เพียงแต่ผมคิดว่าทำไมเราต้องปกปิดตัวตนด้วย เปิดหน้าสู้กันแบบแมนๆไปเลยจะดีกว่า กล้าทำก็ต้องกล้ารับดิ"

แววตาที่มุ่งมั่นกล้าหาญของลูกชายทำเอาผมทั้งภูมิใจและหนักใจ นี่มันความคิดของเด็กอายุสิบหกจริงๆเหรอวะ ดูมีวุฒิภาวะกว่าผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเมืองนี้เสียอีก

"ความตรงไปตรงมามันทำได้แต่เฉพาะในสังคมที่มีความยุติธรรมเท่านั้น เรนก็เห็นอยู่ว่าบ้านเมืองของเราในตอนนี้มันเป็นยังไง" ผมถอนหายใจ การเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นเป็นคนมีคุณภาพในสภาวะแบบนี้มันไม่ง่ายจริงๆ

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

"เรนลองดูเพจศิลปะเพจนี้นะ พ่อว่าเขาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านศิลปะได้ดีมาก"

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าเพจเฟซบุ๊ค ไม่รู้เหมือนกันว่าศิลปะแบบนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร มันเป็นคล้ายๆส่วนผสมของการตัดแปะระหว่างรูปวาดและรูปถ่าย ที่สำคัญคือมันไม่มีคำพูดคำบรรยายอะไรเลย แต่ทุกคนที่ได้เห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาหมายถึงใครและต้องการจะสื่อถึงอะไร

"โห เจ๋งอะพ่อ โคตรล้ำลึก"

หนุ่มน้อยท่าทางตื่นเต้นเมื่อผมไล่มือไปตามโพสต์ต่างๆของเพจ Uninspried by current… ให้ลูกดู

"กร้าวใจทุกรูป! เขาเป็นใครวะครับเนี่ย Respect!"

"อื้อ เรนลองดูๆแล้วกัน เผื่อเป็นแนวทาง เดี๋ยวส่งลิงก์ให้"

"พ่อสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอฮะ" เจ้าหน้าหล่อมีแววตาเป็นประกาย คงรู้สึกเหมือนได้พรรคพวกเพิ่มขึ้น

"ป่าว ไม่มีเวลา นี่ก็ได้ลิงก์นี้มาจากป้าลิน"

คำตอบตรงๆของผมทำเอาลูกชายหัวเราะ "ก็ว่าอยู่นะ"

ผมจ้องมองตาคมสวยคู่นั้น พยายามกลั่นกรองคำพูดที่ดีที่สุดที่คิดว่าพอจะเป็นแนวทางให้กับลูกได้

"โลกนี้มันสีเทา หาจุดยืนของตัวเองให้เจอ ซื่อสัตย์กับตัวเอง มั่นใจแล้วก็มั่นคงในจุดยืนนั้น ชีวิตเป็นของเรา ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา เราต้องเลือกทางเดินของเราเอง ไม่จำเป็นต้องตามใคร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร"

ผมเห็นสายตาของคำขอบคุณและความเชื่อใจตอบกลับมา ผมรู้ว่าลูกเข้าใจความหมายที่ผมพูด

"แต่กลับมาเรื่องออฟฟิศก่อน ยังไงใช้คอมพ์บริษัททำเรื่องส่วนตัวก็มีความผิด กล้าทำก็ต้องกล้ารับ" ผมยังไม่ลืมเรื่องนี้ อยากจะหัดให้ลูกมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำลงไป

"ผมยอมรับผิด พ่อลงโทษมาเลย" ดวงตาคู่คมนั่นมีความเด็ดเดี่ยวฉายขึ้นมา เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ

"เรามีกฎห้ามอยู่ก็จริง แต่เราก็ยังไม่มีการตั้งบทลงโทษอะไรที่ชัดเจนเอาไว้เพราะถือเป็นการไว้เนื้อเชื่อใจกัน" ผมหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ "แล้วเรนคิดว่าพ่อควรจะทำโทษเรนยังไงดี"

และผมก็เห็นสายตาของความสับสนฉายขึ้นมา เจ้าวัยรุ่นเขาคงไม่คิดว่าผมจะใช้วิธีการนี้ วิธีการที่ให้เขากำหนดโทษตัวเอง

"เอ่อ… งั้นขอกูเกิ้ลดูก่อนได้ไหมฮะ" ลูกชายผมควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง

เออแฮะ มันฉลาด

"การประพฤติผิดกฎของบริษัท ความผิดครั้งที่หนึ่ง …ว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจา ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ภาคทัณฑ์บน …ความผิดครั้งที่สอง สั่งพักงาน สั่งตัดค่าแรง …ความผิดครั้งที่สาม ให้ออก ปลดออก ไล่ออก" เสียงห้าวๆนั้นไล่อ่านหน้าจอ

"โอเค ของผมเป็นความผิดครั้งที่หนึ่ง บทลงโทษคือว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจา จบฮะ" อ่านเอง สรุปเอง นักเลงพอ

"ใช่ แต่เผอิญความผิดครั้งนี้นำความเสียหายมาสู่บริษัท จึงถูกเลื่อนขั้นไปเป็นความผิดครั้งที่สอง สั่งพักงาน" ผมแย้งไปตามรูปการณ์

"พ่อ!" เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิจ้องหน้าผม

"พ่อจะให้เรนพักงานสองเดือน" ผมยื่นบทตัดสินโทษ ซึ่งลูกก็คัดค้านทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ

"ไมได้นะฮะ ผมพักงานไม่ได้ ผมกำลังช่วยป้าลินออกแบบผ้าลายใหม่สำหรับส่งประกวดอยู่ มันเป็นผ้าลายการ์ตูนสมัยใหม่ผสมกับลายดอกไม้คลาสสิค ผมทิ้งงานไปถึงสองเดือนไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่ทันส่งประกวด" จากหน้าหล่อๆคมๆกลายเป็นหน้าถอดสีซีดๆ

"ก็ให้คนอื่นๆในทีมเขาทำ" แต่ผมทำหน้าเฉยๆ ยังคงนอนราบสูบบุหรี่ควันปุ๋ยๆ

"พ่อ แต่งานนี้เป็นฝีมือของผมเกือบครึ่งนึงเลยนะฮะ ผมเริ่มมาตั้งแต่ก่อนพ่อกะป้าลินไปบาหลีแล้ว ผมอยากทำให้เสร็จ มันจะเป็นงานใหญ่งานแรกที่ผมทำสำเร็จ"

ก็เพราะผมรู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่ คุณลินเขารายงานผมตลอดเวลาแหละเรื่องเจ้าเด็กคนนี้น่ะ ผมชอบฟังเวลาเขาพูดด้วยความตื่นเต้นถึงความสามารถของเจ้าเรน แววตาของเขาจะเป็นประกายระยิบระยับ และดูภาคภูมิใจมากที่มีส่วนส่งเสริมให้ลูกชายผมได้ทำในสิ่งที่ถนัด

และผมก็รู้ว่าเรนกับคุณลินทั้งสองคนตั้งใจแค่ไหนกับงานชิ้นนี้ มันเป็นงานการแข่งขันประจำปีระหว่างบริษัทออกแบบจัดในนามกระทรวงอุตสาหกรรม บริษัทไหนได้รางวัลชนะเลิศจะได้รับการสนับสนุนด้านการส่งออกเป็นพิเศษ ระยะนี้เจ้าเรนเลยเข้าออฟฟิศเกือบทุกวันเพื่อเร่งทำงานชิ้นนี้กับคุณลิน ผมจึงเลือกวิธีนี้ในการทำโทษลูกชาย เขาควรจะรู้ว่าการกระทำบางอย่างถ้าเขาทำโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ มันอาจส่งผลไปให้ถึงสิ่งที่เขาอยากทำสิ่งอื่นๆและคนอื่นๆด้วย

ลูกชายผมต้องเรียนรู้เรื่องการรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง ผมซีเรียสกับเรื่องนี้

"พ่อใจร้ายอะ ผมจะฟ้องป้าลิน ป้าเขาไม่ยอมหรอก งานมันจะเสร็จอยู่แล้ว" นัยน์ตานั้นเริ่มแดงก่ำ

"ไม่ต้องฟ้องหรอก ทำโทษแบบนี้ก็เหมือนทำโทษพร้อมกันสองคนเลยนั่นแหละ"

"เดี๋ยวฮะ ป้าเขาไม่ได้ผิดอะไรนี่ ทำไมเขาต้องมาโดนด้วยอะ"

"เขาก็ผิดด้วยป่าว เขาเป็นคนรับผิดชอบห้องออกแบบหนิ แล้วพวกเธอก็ไปใช้คอมพ์ห้องเขา"

"แต่ไว้ให้ผมกับป้าลินทำงานนี้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอฮะ นะพ่อนะ ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่อยากให้ป้าลินเขาผิดหวัง ป้าเขาเสียใจแน่ๆถ้างานไม่เสร็จแล้วไม่ได้ส่งเข้าประกวด ป้าเขาพูดทุกวันว่างานนี้เราชนะแน่ๆ ป้าบอกว่าถ้าไม่มีผมป้าคงไม่มีไอเดียเจ๋งๆแบบนี้ ผมสำคัญกับป้าลินมากนะฮะพ่อ" เจ้าเด็กหัวฟ้าหน้าซีด พยายามต่อรองอย่างสุดความสามารถ แถมยังมีการเอาคุณลินมาอ้าง

ปกติลูกชายผมไม่เคยง้อใครง่ายๆนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เค้าพยายามจะอ้อนวอนผม

"ก็ดีแล้ว เรนจะได้รู้ว่าถ้าเราคิดไม่รอบคอบบางทีการกระทำของตัวเองอาจมีผลต่อคนอื่นได้" แต่ผมก็ยังทำหน้าจริงจัง

"ซอรี่จริงๆครับคุณเรน แต่คุณต้องรู้ไว้ว่าทุกการกระทำมันมีราคาที่ต้องจ่าย"

ต้องถือโอกาสตอกย้ำความรับผิดชอบรัวๆ ถึงเป็นเด็กก็ต้องมีความรับผิดชอบ

"พ่อ…" เจ้าหน้าหล่อบัดนี้หน้าจ๋อยสนิท ผมรู้ว่าลูกผมรักและเคารพคุณลิน ไม่อยากให้คุณลินเสียใจ แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขาสองคนก็สนิทกันอย่างรวดเร็ว เขามีอะไรบางอย่างที่เข้ากันได้ดี

…ความเป็นศิลปินที่ผมเข้าไม่ถึงมั้ง?

"ผมไม่อยากทำลายความหวังของป้าเค้า" สีหน้าของเจ้าเรนรู้สึกผิดจริงๆ ช่างน่าสงสาร เด็กหนอเด็ก

ผมอดไม่ได้ที่จะแอบมองลูกชายด้วยความเอ็นดู ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกจะเป็นคนเอางานเอาการขนาดนี้ หน้าตาเจ้าเด็กหล่อนี่เหมือนไม่เคยใส่ใจอะไรในโลกใบนี้ แต่พอเป็นเรื่องที่เขาสนใจเขาถนัด ทำไมกลายเป็นคนจริงจังขึ้นมาได้ เหมือนเป็นคนละคน เหมือนมีหลายตัวตน

หรืออาจจะเป็นเพราะ… แว่บหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมาในใจ

หรือว่าเจ้าเรนอาจจะกำลังรู้สึกกับคุณลินเหมือน… เหมือนได้รับความรักความเอาใจใส่ที่โหยหามาแสนนาน ความรักที่ไม่เคยมี

ความรักจากแม่…

แม้เรนจะมีผม มีพ่อของผม หรือคุณมะพร้าวคอยดูแลคอยให้ความรักอย่างท่วมท้น แต่ความรู้สึกมันก็คงจะไม่เหมือนกัน ครอบครัวผมไม่ได้แสดงความอ่อนโยนต่อกันขนาดนั้น มันคงคนละแบบกัน …ก็คุณลินเขาเป็นคนน่ารักละเมียดละไมนี่นะ

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อัดบุหรี่เข้าปอดไปอีกสองสามรอบ ลุกขึ้นนั่งบ้าง แต่ก็ยังคงห้อยขาและเท้ายังคงจมอยู่ในบ่อปลา แล้วก็พูดขึ้นยิ้มๆขณะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้างตัว

"โอเค เห็นแก่ความตั้งใจจริงของจำเลยที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของบริษัท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นพักงานหนึ่งเดือน"

แม้หน้าใสๆนั่นจะยังมีอาการคิ้วขมวด แต่เจ้าเด็กน้อยก็ถอนหายใจยาว สีหน้าหนักใจ ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่บ้าง

ลูกผมได้เรียนรู้ความรู้สึกนี้แล้ว ความรู้สึกของการต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจทำ

"เอาน่า ไม่ได้เข้าออฟฟิศเดือนนึงไม่ตายหรอก ไปคุยหลังไมล์กันเอาเองละกันว่าจะจัดการงานยังไง ถึงไม่เข้าออฟฟิศก็ยังทำงานที่บ้านได้ไม่ใช่หรือ ก็แค่ยุ่งยากไม่สะดวกและเสียเวลา" นี่ล่ะที่ผมต้องการให้เขาได้เรียนรู้

"ก็ช่วยไม่ได้ อยากทำผิดเอง ถือเป็นการลงโทษพร้อมกันสองคนเลยทั้งเรนทั้งป้าลิน นี่โทษเบาแล้วนะ ถ้าโทษหนักกว่านี้คือพ่อจะไม่ส่งงานนี้เข้าร่วมประกวดเลย ให้อดทำงานนี้ทั้งคู่" ผมยักคิ้วทำสีหน้าเหี้ยมเกรียม

"ก็จริง อย่างน้อยผมกับป้าลินก็ยังได้ทำงานนี้กันต่อ อย่างน้อยผมก็ยังมีโอกาสจะได้ทำมันจนสำเร็จ"

ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าลูกผมจะยอมรับการลงโทษแบบนี้แต่โดยดี เจ้าหน้าหล่อกลับมายิ้มกว้างแก้มบุ๋มทั้งสองข้าง

เอ ยิ้มแบบนี้เหมือนใครวะ คุ้นๆแฮะ…

คืนนั้นขณะกำลังเตรียมตัวจะเข้านอนผมก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง

"อ้าว มีอะไร ยังไม่นอนอีกเหรอลูก" ผมมองลูกชายในชุดนอนลายทางสีฟ้าพร้อมกับหมอนข้างเจ้าปลานีโม่ในอ้อมแขน แหม่ อยู่ในชุดนอนนี่น่ารักดีวุ้ย ท่าทางกวนประสาทนั่นหายไปแล้ว เหลือไว้แต่ท่าทางของเด็กน้อยขี้เหงา

"ผมนอนไม่หลับ …คิดถึงคุณมะพร้าว"

ผมนิ่งอึ้งไปกับคำสารภาพ นัยน์ตาคู่คมนั่นแดงก่ำ คงแอบไปร้องไห้มาล่ะสิ

"งั้นมานอนห้องพ่อไหม แต่ออกตัวก่อนว่าพ่อนอนกรนนะ แล้วก็ห้ามแย่งหมอนข้างพ่อด้วย" ผมรีบเปิดประตูกว้างให้ลูกเข้ามา พยายามทำเสียงติดตลกไม่ให้เจ้าเด็กน้อยเค้าเขิน

"ผมมีน้องนีโม่มาด้วย ไม่แย่งหมอนข้างพ่อหรอก แล้วผมก็ว่าปู่น่าจะกรนดังกว่าพ่อนะ"

"นี่เคยไปนอนห้องปู่ด้วยเหรอ" ผมไม่นึกว่าเด็กห้าวขนาดนี้จะไม่ชอบนอนคนเดียว

"ก็มีบ้าง …บางเวลา" เด็กน้อยเดินตรงไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนหลับตาทันที แขนขาทั้งสองข้างนั่นกอดก่ายเจ้านีโม่ไว้แน่น ผมมองลูกด้วยความเอ็นดู เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ลูก คงจะเพลียแย่แล้ว

"เวลาไหน" ผมนั่งลงบนเตียง อยากจะรู้ว่าทำไมเค้าถึงต้องไปนอนห้องปู่ น่าจะเป็นตอนดูหนังผีแล้วเกิดกลัวไม่กล้านอนคนเดียวแน่ๆ

หากแต่คำตอบนิ่งๆที่ผมได้ยินกลับมาจากลูกชายที่กำลังนอนหลับตาอยู่นั้นทำเอาผมน้ำตารื้น

"ก็เวลาที่ผมคิดถึงพ่อ…"

อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมสีฟ้าๆนั่นอย่างเบามือ นึกถึงตอนที่ลูกบินเดี่ยวตอนปิดเทอมไปอยู่กับผมที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเรนอายุสิบสองแต่ก็ฉายแววความเฮี้ยวออกมาแล้ว ลูกไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับผม ยืนยันจะปูผ้านอนที่พื้นห้อง

เจ้าลูกชายตัวน้อยจอมแสบของพ่อ…

"ว่างๆพาคิวกับไอซ์มากินข้าวบ้านเราบ้างนะ" ผมอยากจะรู้จักลูกให้มากกว่านี้

"อื้อ…" เสียงอู้อี้ดังตอบมา

ก่อนจะเงียบกันไปอีกชั่วครู่ ก่อนน้ำเสียงสั่นเครือจะดังมาแผ่วๆ

"พ่อว่าคุณมะพร้าวจะโอเคไหม"

"แน่นอนสิ คุณมะพร้าวเค้าต้องโอเค เพราะเค้ารู้ว่าพวกเรารักเค้ามากแค่ไหน"

"ผมเชื่อพ่อ…" เสียงห้าวๆนั่นพึมพำออกมาเบาๆ

ผมนั่งมองลูกหลับอย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอมาจากเด็หน้อย จึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปปิดไฟก่อนจะมาล้มตัวลงนอนข้างๆลูก

นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรนยอมนอนข้างๆผม…