webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Oriental
Sin suficientes valoraciones
1149 Chs

030 ยอมแพ้ครั้งที่สิบเอ็ด

บทที่ 30 ยอมแพ้ครั้งที่สิบเอ็ด

เหมียวอี้มองดูหลัวเจินที่น่าเกรงขามตรงหน้าไม่พูดไม่จา ราวกับถูกอำนาจของหลัวเจินทำให้ตกตะลึงเล็กน้อย

เขาอดสงสัยไม่ได้ยังมีไม่ท่าทีลังเล นักพรตบงกชขาวขั้นสองคนรูปหนึ่งมิอาจต้านทานการโจมตีครั้งเดียวของนักพรตบงกชขาวขั้นสามได้ ตนเองฝึกฝนได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น หากพลีพลามออกไปมิใช่รนหาที่ตายเปล่าหรอกรึ?

ลูกกระเดือกของเหยียนซิวขยับเขยี้ยนสองครั้ง เหมือนกับว่าไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงที่อยู่บริเวณลาดเขายิ้ม แหงนหน้า และกล่าว "ดี! ภายหลังหากมีผู้ใดกล้าเรียกเจ้าว่า 'ฮูหยินสิบพ่าย' ก็คงต้องเจอกับข้าเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงสักคราเสียแล้ว!" เขาหันหน้าไปมองรอบด้านทางซ้ายและขวาและประกาศเตือน

แต่ในขณะนั้น ได้มีเสียงประหลาดดังมาจากในเขาตรงหน้าภูเขาตรงข้าม ทุกคนหันไปมองต่างก็รับรุดไปดูอย่างรวดเร็ว เห็นแต่เพียงอาชามังกรห้าตัวพร้อมทั้งผู้ขี่อีกห้าคนพุ่งทะยาน ทางด้านหลัวเจินก็ไม่ต่างกัน กระโดดพุ่งสูงถึงสามสิบจิ้งเช่นเดียวกับหลัวเจินก่อนหน้านี้ และควบม้าเข้าไปทางยังบริเวณที่หลัวเจินที่อยู่เพียงลำพังกำลังต่อสู้ด้วยดาบเพียงเล่มเดียว

เหยียนซิวจับขวานคู่แน่นอย่างมั่นคง หลัวเจินตกใจอย่างมาก รีบเฆี่ยนม้า จึงรีบกระตุ้นม้าด้วยเดือยรองเท้าและหลบหนีอย่างว่องไว

"ฆ่ามัน!"

เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงตะโกนเสียงเย็นชา เงียบไม่พูดจา ยกทวนขึ้นและพุ่งออกไปเป็นคนแรก ทุกๆคนที่เหลือต่างก็รีบตามไปอย่างติดๆ เพื่อช่วยหลัวเจินออกจากวงล้อม

มีม้าห้าตัวจากเจ็ดตัวทะยานออกมาจากในป่าม้าห้าตัวพร้อมผู้ควบจากเจ็ดตัวกระโจนออกมาจากป่าในภูเขา เข้าร่วมสู่การต่อสู้ ชั่วพริบตาอาชามังกรของทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าข้างหลัง วิชาพลังปราณที่อันบ้าคลั่งผสมปนเปในชั่วพริบตา เคลื่อนที่ไปมาภายในบริเวณ หมายจะสังหารชีวิตฝ่ายตรงข้าม พลังวิชาพลังปราณเช่นนี้เต็มไปด้วยพลังทำลายที่รุนแรง หากคนมนุษย์ทั่วไปแค่เข้าใกล้เพียงเล็กน้อยจะก็จะทำให้หายใจไม่ออกและขาดใจตายแล้ว

‘เฮยทั่น' ที่เหมียวอี้นั่งอยู่นั้นมิได้กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เป็นกลับมีท่าทีลื่นไถลอยู่หลายครั้ง เหยาะย่างเชื่องช้าราวกับดูเหมือนว่ากลัวที่จะไถลลื่นลงไปยังตีนเขา

เหมียวอี้สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่ 'เฮยทั่น' ส่งออกมาได้อย่างเบาบางๆได้ ราวกับกำลังบอกว่ากลัว หวาดกลัว ต้องการหาที่ซ่อนตัวหรือไม่?

เหมียวอี้อยากจะหยิบทวนขึ้นมาแทงเจ้าเดรัจฉานตัวนี้ให้สิ้นเสียจงได้ อย่างมากข้าก็แค่คิดจะยอมแพ้หลังต่อสู้ไตร่ตรองดีแล้วว่าจะยอมแพ้หากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่เจ้าดันคิดหนีทั้งที่ยังไม่ทันจะรู้ผลแพ้ชนะเจ้าก็คิดจะหนีเสียแล้วหรือ?

เหยียนซิวก็มิได้กระโจนออกไปร่วมต่อสู้แต่อย่างใด กลับอยู่ข้างๆ เหมียวอี้ นี่เป็นนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยนของเขา ความปลอดภัยต้องมาอันดับแรก!

ในขณะเดียวกันก็ดึงเหมียวอี้ที่หุนหันพลันแล่นอยู่บ้าง และกำลังจะพุ่งออกไปให้หยุดชั่วครู่ และนั่งลงใกล้ๆกับส่ายหน้าให้ 'เฮยทั่น' ที่เขานั่งอยู่กำลังผงกหัว

ในการต่อสู้เข่นฆ่ากันไปมาระยะประชิดเช่นนี้ ไม่มีการอาศัยพลังอาชามังกรคอยเสริมพลัง แต่ศัตรูกลับควบอาชามังกรไปมาดั่งวายุ หากเจ้าคิดการที่จะจัดการศัตรูคงไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งด้วยความเร็วของ 'เฮยทั่น' หรือ? คงจะเป็นการไปตายเสียเปล่า

ทิศตรงข้ามมีการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด ทำให้เหยียนซิวเงยหน้ามองไปยังยอดเขาที่อยู่ตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่สง่างามอยู่ในอาภรณ์สีขาวดุจหิมะผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนอาชามังกรสีแดงที่ดูน่าเกรงขาม สะพายธนูไว้อยู่ด้านหลัง มือถือทวนอสรพิษ หน้าผากของนางมีสัญลักษณ์ดอกบัวห้ากลีบ

ด้านหลังของนางยังมีนักพรตที่ขี่อาชามังกรมาอีกสี่คตน ทั้งหมดต่างเป็นผู้บำเพ็ญบงกชขาวขั้นสาม

ทันใดนั้น"ฉินเวยเวย!" ศิษย์รักของนัยน์ตาเหยียนซิวหดรัด ตะโกนออกมาทันใด ก็ได้กล่าวออกมา"แย่แล้ว! พวกเราตกเป็นเครื่องมือของหยวนเจิ้งคุนเสียแล้ว!"

โดยธรรมชาติผู้ที่ชำนาญการยอมแพ้ย่อมเชี่ยวชาญเส้นทางสายนี้แล้วรู้ว่าต้องพูดอย่างไร เขารู้ทันทีว่าจึงรีบไปเตือนให้ทุกคนทราบว่าได้ตกหลุมพรางของหยวนเจิ้งคุนแล้ว

นางคือฉินเวยเวยหรือ? นางมิใช่เตรียมพร้อมแบ่งทหารเป็นสองสายและบุกโจมตีอีกดด้านหนึ่งหรอกรึ? เหตุใดจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันเล่า? เหมียวอี้เงยหน้าและแหงนมองยอดเขาที่อยู่ตรงข้ามเช่นกันต่อหน้า เขายังตอบสนองไม่ทันอยู่บ้างไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา ไม่รู้ว่าตกหลุมพรางอะไรของทราบว่าจะหลงกลแผนการของหยวนเจิ้งคุนหรือไม่

เหยียนซิวไม่ทันได้อธิบาย รีบจึงใช้พลังปราณส่งเสียงให้แก่หลัวเจิน แต่พลังปราณทำลายในสถานที่นั้นรัดพันได้บีบรัดไม่หยุด จึงทำให้การใช้พลังปราณส่งเสียงไม่เป็นผล

ขณะนี้ฉินเวยเวยซึ่งสวมใส่อาภรณ์สีขาวอยู่บนยอดเขานั้นก็ได้ยกมือขึ้นและชี้ลงมา ผู้รับใช้ทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังของนางทั้งสี่ก็รีบควบม้าพุ่งทะยานลงเขามาอย่างรวดเร็ว เพื่อเข้าสู่สนามรบ

นักพรตบงกชขาวขั้นสามสี่คตน นักพรตบงกชขาวขั้นสองห้าคตน ทั้งหมดเก้าคตนได้ล้อมจู่โจมพวกเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงซึ่งหกตคนได้พุ่งเข้าจู่โจมเขา

แต่ทางด้านเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิง มีเพียงเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงและหลัวเจินเท่านั้นที่ฝึกฝนถึงบงกชขาวขั้นสาม อีกสี่คนต่างฝึกฝนถึงบงกชขาวขั้นสองเท่านั้น เพียงพริบตาก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสียแล้ว

ถูกรัดพันไว้ในเวลาเดียวกัน แต่ละคนในขณะที่กำลังพัวพัน ทุกๆคนต่างก็คิดถอนตัวที่จะหลีกหนีออกมาแต่ก็มิอาจกระทำได้เสียแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามใช้กลศึกอันชาญฉลาด นักพรตบงกชขาวขั้นสามหนึ่งตนสกัดกั้นเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงเอาไว้ ส่วนนักพรตบงกชขาวขั้นสามอีกสามตนได้ล้อมจู่โจมหลัวเจิน จนทำให้หลัวเจินมีสีหน้าซีดเซียว แทบราวกับไม่มีกำลังปัดป้องการโจมตี!

หน้าอกภายในใจของเหยียนซิวสะท้อนขึ้นลงอยากจะลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ และในที่สุดเขาก็สามารถยกขวานคู่ที่อยู่ภายในมือทั้งสองขึ้นมาแล้วได้ ขณะนั้นภรรยาของตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย ปกติเขาซึ่งปกติเป็นผู้ที่รู้จักปกป้องตนเองไม่พลีพลามและไม่ประมาท แต่ ไม่อาจไม่จำเป็นต้องเสี่ยงออกไปช่วยเหลือนางด้วยชีวิต

แต่อาชามังกรใต้ร่างที่ที่เพิ่งก้าวย่างกลับหยุดชะงักอย่างรุนแรงลุกขึ้นเดิน ก็ลื่นล้มในทันที เหยียนซิวเบิกตาโตจ้องตาเขม็ง

เหมียวอี้ก็เบิกตาถลนจ้องตาเขม็งเช่นกัน 'เฮยทั่น' ย่ำเท้าไปมา เปลี่ยนท่าทีเป็นพลุ่งพล่านและไม่อยู่ในท่าทีสงบอย่างยิ่ง

ทวนยาวหนึ่งเล่มแทงเข้ากลางหลังของหลัวเจิน นางใช้มือกวัดแกว่งดาบสกัดพร้อมทั้งจับทวนยาวที่ศัตรูแทงมาูใช้แทง ยังไม่ทันก้มหน้ามองทวนที่แทงทะลุหน้าอกแต่ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าบริเวณหน้าอกของตนเองมีจนเลือดไหล เพราะปลายทวนที่แทงทะลุออกมา และยังก็ถูกนักพรตบงกชขาวขั้นสามตคนหนึ่งที่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วตวัดดาบยาว ตัดศีรษะขาดของเขาลงในทันทีทันใด

เลือดสดพุ่งออกจากศพที่ไร้หัวซึ่งอยู่บนอาชามังกรที่วิ่งด้วยความรวดเร็ว

ทวนที่แทงทะลุอกทำให้ศพลอยออกไปร่างที่ถูกทวนแทงทะลุได้ลอยตกมายังพื้นดิน หลังจากนักพรตบงกชขาวขั้นสามสามตคนได้ร่วมมือกันกำจัดหลัวเจินลงแล้ว ก็รีบหันม้ากลับ และล้อมจู่โจมเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงพร้อมๆกัน

ดวงตาของเหมียวอี้จับจ้องอย่างเย็นชาไปยังม้องนักพรตที่ตัดศีรษะที่ถูกตัดออกของนักพรตหลัวเจินออกอย่างเลือดเย็น และค่อยๆยกทวนในมือเงยขึ้นมาอย่างช้าๆ

ฮี้ๆๆ! 'เฮยทั่น' แหงนคอส่งเสียงร้องก้องและยาว ดวงตาทั้งคู่จ้องศพของหลัวเจินที่ล้มลง พ่นลมหายใจรุนแรงไม่หยุดด้วยความเย้ยหยัน และใช้เท้าทั้งสี่เตะพื้นขุดดินอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะพุ่งเข้าหาศัตรู อารมณ์กลับกลายเป็นพลุ่งพล่านหงุดหงิดไม่สงบ เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่บ้าคลั่งของ 'เฮยทั่น'

เหยียนซิวกลับยื่นมือไปจับหนวดสัมผัสของ 'เฮยทั่น' ที่และเชื่อมผสานกับเหมียวอี้ หนวดสัมผัสคือจุดอ่อนของอาชามังกร

เขาหยุดยั้งเหมียวอี้ที่จะออกไปเสี่ยงอันตราย

"ทำไมล่ะ?" เหมียวอี้เหลียวกลับจ้องมองเหยียนซิว และกล่าวอย่างเย็นชาว่า "พวกมันสังหารภรรยาของท่าน ไม่คิดจะล้างแค้นอย่างนั้นรึ?"

เหยียนซิวกล่าวอย่างแสดงสีหน้าที่เศร้าโศกและกล่าวว่า "ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมาก พวกเราคงมิอาจจะล้างแค้นได้ หากบุกเข้าไปก็คงจะตายเสียเปล่า มีเพียงแต่การรักษาตัวให้อยู่รอดเท่านั้นจึงพอมีหวังให้ที่จะล้างแค้นในภายภาคหน้า!"

เขากล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่...ทันใดนั้นเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงก็แผดเสียง "หยวนเจิ้งคุน!"

เห็นชัดว่าเขารู้ตัวแล้วเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองได้ตกหลุมพรางของหยวนเจิ้งคุน แต่ก็ไม่ทันการแล้ว เขาได้ตกอยู่ในวงล้อมของนักพรตบงกชขาวขั้นสามสี่คตนเสียแล้ว พบว่ากระทั่งการยอมศิโรราบก็ยังช้าไป ถูกคนหนึ่งตวัดดาบฟันเอว จากนั้นจึงแต่ละคนจึงถูกคมดาบฟันที่เอว ร่างกายท่อนบนลอยล่องในอากาศและส่งเสียงอยู่ในลำคอ

นักพรตบงกชขาวขั้นสองอีกสองคนที่ยังมีชีวิตรอดอีกสองตนเห็นผลว่าแพ้ชนะได้ตัดสินแล้ว จึงตะโกนขอยอมแพ้ ล้มและเลิกการต่อต้านเป็นปรปักษ์ กระโดดลงจากอาชามังกร และถูกคนพาดใช้ดาบจ่อที่คอและยอมให้จับมัดมือ!

รู้ผลแพ้ชนะแล้ว ลูกสมุนหลายคนของฉินเวยเวยชำเลืองมองเหยียนซิวและเหมียวอี้ที่ไม่กล้าขยับตัวอยู่ข้างๆ

ในขณะนั้น บนยอดเขาทิศตรงข้าม มีเสียงดังแซกๆกรอบแกรบของใบไม้แห้งดัง ขึ้นมา นักพรตซึ่งควบอาชามังกรจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ด้านหลังของฉินเวยเวย และตั้งแถวอย่างรวดเร็ว แสดงถึงพละกำลังอันน่าตกตะลึง

ฉินเวยเวยหันกลับอย่างรวดเร็ว และยกมือคารวะนักพรตที่อยู่ตรงกลางผู้ซึ่งสวมเกราะสีเงิน

นักพรตเกราะเงินผู้นี้มิใช่คนอื่น แท้จริงแล้วคือ ประมุขขุนเขาเส้าไท่หยางชิ่ง คิ้วหนาดวงตาโต วรยุทธ์ไม่ธรรมดา พลังอำนาจกดดันปราณแห่งการครอบงำแผ่กระจายออกมา สายตาที่เยือกเย็นเยียบจ้องมองไปยังสนามรบที่อยู่ด้านล่าง

อันที่จริงในความเป็นจริงแล้วหยางชิ่งและเหมียวอี้เกือบจะมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ต่างก็เคยพบกันมาครั้งหนึ่ง คือในตอนที่เทพธิดาเซียนหงเฉินได้ปรากฏตัวที่เมืองกู่เฉิงเป็นครั้งแรก หยางชิ่งในได้รับหน้าที่เป็นฐานะเจ้าบ้านคอยเพื่อต้อนรับ เพียงแต่ในขณะนั้นเหมียวอี้ได้ซ่อนตัวอยู่บนต้นหลิวโบราณ ส่วนและหยางชิ่งก็ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากแต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้พบกันอย่างน่าเสียดาย

เมื่อพบว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เหยียนซิวจึงรีบผลักเหมียวอี้ ตนเองก็และโยนขวานคู่ของตนเองลงสู่พื้น จากนั้นกระโดดลงจากอาชามังกร พร้อมทั้งยกมือคารวะและกล่าวว่า "ข้าขอยอมแพ้!"

นี่คือการยอมแพ้ครั้งที่สิบเอ็ดของเขาแล้ว!

…………………………