บทที่ 29 หลัวเจินควบอาชา
หยวนเจิ้งคุนจ้องมองไปที่กลุ่มคน และตะโกนไปยังคนกลุ่มนั้น "เจ้าสำนักโกรธจัด และได้สั่งรวบรวมกองกำลังของขุนเขาทั้งเก้าแห่งเอาไว้แล้ว หยางชิ่งไม่อาจจะหลีกหนีเคราะห์กรรมได้ อีกไม่กี่วันหยางชิ่งก็จะถูกลงโทษด้วยการฉีกร่าง ตอนนี้ตั้งแต่ที่ข้าพบว่าประมุขฉินเวยเวยแห่งถ้ำร้อยบุปผา ภายใต้คำสั่งของได้ได้รับใช้หยางชิ่งได้และแบ่งกองกำลังออกเป็นสองกลุ่มคิด เพื่อจู่โจมถ้ำล่องนิภาของข้า แต่ด้วยข้าได้รับรู้ข่าวลับนี้เสียก่อน ข้าต้องการศีรษะของนางมารร้ายฉินเวยเวย ผู้ใดจะกล้าต่อกรกับถ้ำล่องนิภาของข้า ผู้ใดต้องการติดตามข้าออกรับศึก!"
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความท้อใจ และยังไม่ชัดเจนในบางอย่าง หลี่ซิ่นและซุนเจียวเจียวได้ก้าวไปยังอาชามังกร ทั้งคู่พูดว่า "ข้าขอติดตามท่านประมุขไปเผชิญหน้ากับศัตรู เพื่อเด็ดหัวของฉินเวยเวยมาให้จงได้!"
เฉาติ้งเฟิงสะดุ้งตกใจ รีบควบอาชามังกรออกมาและกุมมือกล่าวว่า "ข้าน้อยขอติดตามไปด้วย!"
เช่นเดียวกับผู้รับใช้ขของหยวนเจิ้งคุน หลี่ซิ่นและซุนเจียวเจียวได้ตอบรับแล้ว เหตุใดเขาจะจึงไม่แสดงจุดยืนได้อย่างไร
ผู้อื่นไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ยินยอม ต่างก็ส่งเสียงตอบรับ แม้กระทั่งเหยียนซิวและเหมียวอี้ต่างก็ส่งเสียงตอบรับเช่นกัน
"ดี!" หยวนเจิ้งคุนรีบยกง้าวที่อยู่ในมือและชี้ไปยังกลุ่มคนพร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ "หลี่ซิ่น ซุนเจียวเจียว เจ้าสองคนจงติดตามข้าเพื่อรับศึกโจมตีฉินเวยเวยตรงๆ ด้านหน้าเฉาติ้งเฟิง เจ้าจงนำผู้อื่นไปยังสันเขาทั้งด้านทิศตะวันตกเพื่อป้องกันการโจมตี ต้องสกัดกั้นผู้ติดตามของฉินเวยเวยให้จงได้ รอให้ข้าเด็ดหัวของฉินเวยเวยให้ได้ ข้าจะรีบกลับมาพบกับพวกเจ้าทันที!"
หลี่ซิ่น ซุนเจียวเจียวและเฉาติ้งเฟิงรับคำสั่งพร้อมกัน
"ทุกคนในถ้ำล่องนิภาของข้าต้องร่วมแรงร่วมใจโจมตีศัตรูที่บุกเข้ามาให้เต็มที่ ผู้ใดทำงานได้ดีจะมีรางวัลตอบแทนอย่างงาม! บุกไป!"
หยวนเจิ้งคุนไม่รีรอ ขึ้นควบอาชามังกรกระโดดลงจากแท่น พร้อมทั้งควงง้าวในมือและตะโกนปลุกใจ
หลี่ซิ่นและซุนเจียวเจียวเร่งรีบควบอาชามังกรตามไปอย่างติดๆ พุ่งออกจากประตูทางขึ้นยอดเขาไปอย่างรวดเร็ว
"ตามข้ามายังสันเขาทั้งด้านทิศตะวันตกเพื่อหยุดยั้งศัตรู!"
เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงที่สะพายกระบี่วิเศษไว้อยู่ด้านหลังอีกทั้งในมือยังถือทวนยาวอีกเล่ม หันม้ากลับ และตะโกนแก่ผู้ติดตาม
ภายใต้การนำของเขา นักพรตแปดรูปควบอาชามังกรทะยานเร็วดุจดั่งสายฟ้า ข้ามภูเขาและสันเขาไปยังทุ่งหญ้า
เหมียวอี้ที่ตามอยู่ท้ายสุดได้ใช้แทบอยากจะใช้ทวนยาวแทง 'เฮยทั่น' ที่เขารำคาญให้ตาย หลังจากนั้นก็จึงใช้สองขาของตนวิ่งตามไปให้รู้แล้วรู้รอด
‘เฮยทั่น' ได้เคารพเขามากเกินไปแล้ว ทำให้เขาดูเหมือนขี้ขลาดและกลัวตายมากกว่าเหยียนซิวเสียอีก ต่อไปจะทำให้ผู้คนในถ้ำล่องนิภามองเขาอย่างไรในภายภาคหน้า
แม้จะเป็นเหมือนเฉกเช่นเดียวกับที่เหยียนซิวได้กล่าวเอาไว้ ว่าหากรบไม่ชนะก็จงยอมแพ้ก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ทันได้สู้เจ้าก็วิ่งรั้งท้ายสุดแล้ว แบบนี้นับเป็นอะไรได้ เจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนี้การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเจ้าก็จะตั้งท่าหนีซะแล้ว ดูที่เหยียนซิวสิ ถึงจะเตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้ไว้เสียแล้ว แต่อย่างน้อยที่แสดงออกมาก็คือพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าอย่างทุกคนก็ได้เห็นว่าเขาพุ่งเข้าไปในการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนอื่นตำหนิอะไรไม่ได้ ทุกคนจึงไม่ได้ตำหนือะไร
เขารู้สึกว่าเสียหน้าอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าตนเองต้องกลายเป็นผีตายแทนแพะรับบาปของหยวนเจิ้งคุน
แผนการของหลี่ซิ่นนั้นไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ทำให้หยวนเจิ้งคุนยุแหย่ให้ผู้อื่นมาทำศึก หลังจากนั้นตนเองและพวกก็ได้หลบหนีไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเบื้องบนหลังจากนั้นไม่นาน ผู้ที่มีตำแหน่งอยู่ในระดับสูงได้สืบสวนขึ้นมา เรื่องราวที่เกิดขึ้น หยวนเจิ้งคุนก็สามารถแก้ตัวข้อหาหนีตายไม่ต่อสู้ได้ เพียงกล่าวว่า ‘เจ้าดูสิ พวกข้าได้แก้ตัวข้อหาที่ตนเองไม่ได้ต่อสู้และหนีไป เขากล่าวว่ามีเพียงเขาทั้งสามคนเพียงเท่านั้นที่โชคดีและเอาตัวมีชีวิตรอดจากการต่อสู้ออกมาได้ แม้แต่ผู้ช่วยที่ข้าไว้ใจของข้าอย่างเฉาติ้งเฟิงยังตายในสนามรบแล้ว มิใช่ข้าไม่พยายามต่อสู้ แต่หยางชิ่งนำทัพมาด้วยตนเอง ข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ก็มิอาจต้านทานได้’ ไม่ว่าใครก็ล้วนเข้าใจได้นี่คงเป็นสิ่งที่ทุกๆคนเข้าใจ
เช่นนี้ดังนั้นไม่เพียงแต่ปัดความปฏิเสธความรับผิดชอบข้อหาไม่ได้ต่อสู้และหนีไปได้ ยังสามารถทำให้เฉาติ้งเฟิงนำกองกำลังของเขาคุ้มกันอยู่ข้างหลัง เพื่อยืดเวลาให้ตนเองล่าถอยได้อีกด้วย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากรู้ว่าหยางชิ่งนำทัพมาด้วยตนเอง หยวนเจิ้งคุนยังกล้านำทัพมาเผชิญหน้า ความจงรักภักดีและกล้าหาญในครั้งนี้ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาได้เลื่อนยศขึ้น เรื่องร้ายอาจจะกลายเป็นดีก็เป็นได้
เมื่อได้ประโยชน์มากมายเช่นนี้ หยวนเจิ้งคุนก็ไม่รีรอ ทำตามแผนขั้นต่อไปของหลี่ซิ่นโดยพลัน
อาชามังกรเจ็ดตัววิ่งผ่านแนวสันเขาด้านตะวันตก เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงพบว่าบริเวณตีนเขาและภูเขาตรงข้ามเป็นพื้นที่โล่ง ซึ่งเป็นพื้นที่เหมาะสมที่ใช้ในกับการปะทะกับกองกำลังของศัตรู จึงรีบยกทวนยาวที่อยู่ในมือขึ้น และเคลื่อนกองกำลังไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และให้ทุกๆ คนซ่อนอยู่ภายในป่าทึบบริเวณทางลาดเขา
ทุกคนต่างก็ดักรออยู่สักพักแล้ว กว่าและเหมียวอี้จะก็ได้ควบ 'เฮยทั่น' เหยาะย่างมาถึงเดินมาอย่างไม่เร่งรีบ
เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงหันกลับไปมอง 'เฮยทั่น' ที่เขาคร่อมขี่อยู่ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ขณะนั้น ในป่าทิศตรงข้าม อาชามังกรหนึ่งตัวได้วิ่งลงเขามาอย่างรวดเร็ว บนหลังอาชามังกรคือปรากฏนักพรตนั่งอยู่บนอาชามังกรซึ่งมีสัญลักษณ์ของดอกบัวสีขาวสองกลีบอยู่ระหว่างคิ้ว ยกทวนขึ้นและชำเลืองซ้ายขวา คอยสอดส่องพลางและเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
เฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงแค่มองเห็นก็รู้ทราบว่าเป็นคนเปิดเส้นทางได้เปิดขึ้นแล้ว ดูท่าเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะระมัดระวังไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้การรอดักซุ่มโจมตีอย่างไรก็ไม่อีกครั้งก็คงจะไม่เป็นผลเสียแล้ว
จึงถัดมา หันกลับมาซ้ายขวาและพูดว่า "ฆ่าไปหนึ่งก็น้อยลงไปหนึ่ง ใครจะออกโรงเป็นคนแรก!"
"ข้าไปเอง!" หลัวเจินกล่าวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย มือถือดาบยาว ควบอาชามังกรพุ่งลงเขาไป
"เจ้า…" เหยียนซิวยื่นมือขัดขวางแต่ยังไม่ทัน ก็แข็งทื่อไปทั้งตัวก็ไม่สามารถขยับได้
ทุกคนต่างก็งุนงงตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฮูหยินผู้พ่ายสิบพ่ายครั้งออกรบเป็นคนแรก
เหมียวอี้เองต่างก็ตกใจไม่น้อย เหยียนซิวแนะนำสอนตนเองอย่างเสมอ ตนเองก็จำคำแนะนำสอนได้ดี แต่ฮูหยินสามีของเขากลับไม่รับฟังเลย
เขาไม่รู้ว่าหลัวเจินทนมาที่โง่เขลามากพอแล้ว ทนยังถูกผู้อื่นทำให้อับอายด้วยการเรียก 'ฮูหยินสิบพ่าย' มาโดยตลอด นางจึงได้แต่อดกลั้นยับยั้งความโกรธเอาไว้อยู่เสมอ
ก่อนที่หยวนเจิ้งคุนจะเริ่มยุแหย่ทุกคน จิตใจของหลัวเจินก็ตัดสินใจเอาไว้ก่อนแล้วได้ด้านชาแล้ว นางได้ถูกผู้อื่นดูถูกทำให้อับอายมามากพอแล้ว...
อาชามังกรที่ถลาลงมาอย่างรวดเร็ว ได้พาหลัวเจินออกมาจากป่า มันสามารถกระโดดครั้งเดียวก็ได้สูงถึงสามสิบจั้ง อาชามังกรพุ่งทะยานเข้าใส่พื้นที่ราบเปิดโล่งด้วยเสียงอื้ออึงและด้วยเสียงกรีดร้องที่มาจากด้านหน้าทำให้อาชามังกรถึงกับเอียง
ผู้มาติดตามตกใจยกใหญ่ หันหัวอาชามังกรกลับไม่ทันแล้วจึงรีบกระโดดขึ้นสูงเกรงว่าจะไม่ทันจึงได้กระโดดขึ้นจากหลังของอาชามังกรสูงถึงหกจั้ง
นักพรตทั่วไปต่างๆก็สามารถใช้อาวุธได้ทั้งสั้นและยาวได้ทั้งสองชนิด โดยปกติปรกติจะใช้อาวุธสั้นในการป้องกันตนเอง หากขึ้นขี่อาชามังกรจะใช้อาวุธยาวในการรับมือศัตรู
เขาเองก็ใช้ดาบยาว จากนั้นทะยานขึ้นไปในอากาศและฟันลงมาทางอาชามังกรร่วงลงมาสู่พื้นดิน แต่ในขณะที่ทะยานขึ้นในอากาศก็ได้เห็นสัญลักษณ์บงกชขาวขั้นสามของหลัวเจินอย่างชัดเจน และทันใดนั้นก็เกิดอาการลนลานขึ้นเล็กน้อยทันใด
หลัวเจินที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วหลัวเจินส่งเสียงกรีดร้องและแทงดาบออกไปอย่างรวดเร็วไปหนึ่งครั้ง ปัดป้องคมดาบจากฝ่ายตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังปราณตรึงฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
การตอบสนองของอีกฝ่ายเชื่องผู้ติดตามช้าไปทันที เมื่อต้องรับมือกับพลังปราณขั้ชั้นสูงกว่า สีหน้าของเขาแสดงถึงความตระหนกหวาดกลัวและเจ็บปวด
โครม! อาชามังกรของหลัวเจินใช้ศีรษะที่แข็งของมันชนเข้าที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้าม
ตุบพรวด! ฝ่ายตรงข้ามกระอักเลือดออกมา หน้าอกถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนยุบลงไป
เหตุใดนักพรตจึงชอบขี่อาชามังกรนะหรือ? เป็นเพราะสัตว์วิเศษชนิดนี้มีพละกำลังมากมาย ความสามารถในการบรรทุกและอานุภาพในการพุ่งชนนั้นช่างเยี่ยมยอด แม้แต่นักพรตระดับบงกชเขียวก็มิกล้าที่จะรับการโจมตีของอาชามังกรที่โตเต็มวัย
โดยเฉพาะความเร็วของอาชามังกร เพียงแค่ปล่อยมันวิ่งเท่านั้น นักพรตระดับบงกชเขียวก็ยากที่จะตามทัน แม้จะตามทันแต่ก็ ก็คงจะเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ยิ่งใช้เวลายาวนานเท่าใดก็มิอาจสู้ความเร็วและความอึดของอาชามังกรได้
ลองตรองดูหากอยู่ภายใต้ความเร็วและพละกำลังเฉกเช่นนี้ อีกทั้งเพิ่มพลังวิชาปราณของนักพรตเข้าไปด้วย ความรุนแรงของการโจมตีของนักพรตคงจะเพิ่มพูนเป็นทวีคูณเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้อาชามังกรจึงเป็นพาหนะที่เหล่านักพรตชื่นชอบ
"ตายซะเถอะ!"
หลังจากเลือดของฝ่ายตรงข้ามไหลทะลัก หลัวเจินตะโกนดุร้ายอีกครั้ง มือทั้งสองกวัดแกว่งดาบฟาดฟันเป็นขึ้นและฟันผ่านฝนเลือด
หลัวเจินบังคับอาชามังกรลงสู่พื้น ถือดาบกระโดดลงมาจากอาชามังกรสู่พื้นดินและมองกลับไปยังพวกเฉาติงเฟิงเฉาติ้งเฟิงซึ่งอยู่บริเวณลาดเขา กระบวนท่าเดียวก็และได้สังหารนักพรตบงกชขาวขั้นสองได้แล้วที่พุ่งเข้ามาทีละคนๆ
สายลมพัดผ่านภูเขาในชั่วขณะ ทันใดนั้นก็เกิดลมพายุขึ้นในภูเขา ต้นไม้ใบหญ้าส่ายโอนเคลื่อนไหวดุจดั่งคลื่น ยิ่งขับเน้นทั้งหมดได้แสดงให้เห็นถึงพลังของหลัวเจิน
อาชามังกรของนักพรตผู้นั้นที่นั่งอยู่ส่งเสียงร้องอย่างเศร้าโศก พร้อมทิ้งวิ่งไปยังวิ่งไปข้างๆศพขาดท่อนของเจ้านายของมัน ไม่ยอมห่างไปไหน
ฮี้ๆๆ!'เฮยทั่น'ส่งเสียงร้องก้องและยาว ดวงตาทั้งคู่จ้องศพของหลัวเจินที่ล้มลง ด้วยความเย้ยหยัน และใช้เท้าทั้งสี่ขุดดินอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะพุ่งเข้าหาศัตรู อารมณ์กลับกลายเป็นหงุดหงิดไม่สงบ เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่บ้าคลั่งของ'เฮยทั่น'
เหยียนซิวยื่นมือไปจับหนวดสัมผัสของ'เฮยทั่น'และเชื่อมผสานกับเหมียวอี้ หนวดสัมผัสคือจุดอ่อนของอาชามังกร
เขาหยุดยั้งเหมียวอี้ที่จะออกไปเสี่ยงอันตราย
"ทำไมล่ะ?"เหมียวอี้เหลียวกลับจ้องมองเหยียนซิว และกล่าวอย่างเย็นชาว่า"พวกมันสังหารภรรยาของท่าน ไม่คิดจะล้างแค้นอย่างนั้นรึ?"
เหยียนซิวแสดงสีหน้าที่เศร้าโศกและกล่าวว่า"ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมาก พวกเราคงมิอาจจะล้างแค้นได้ หากบุกเข้าไปก็คงจะตายเสียเปล่า มีเพียงแต่การรักษาตัวให้อยู่รอดเท่านั้นจึงพอมีหวังที่จะล้างแค้นในภายภาคหน้า!"
เขากล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่...ทันใดนั้นเฉาติงเฟิงก็แผดเสียง "หยวนเจิ้งคุน!"
เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองได้ตกหลุมพรางของหยวนเจิ้งคุน แต่ก็ไม่ทันการ เขาได้ตกอยู่ในวงล้อมของนักพรตบงกชขาวขั้นสามสี่ตนเสียแล้ว พบว่าการยอมศิโรราบก็ยังช้าไป จากนั้นจึงแต่ละคนจึงถูกคมดาบฟันที่เอว ร่างกายท่อนบนลอยล่องในอากาศและส่งเสียงอยู่ในลำคอ
นักพรตบงกชขาวขั้นสองที่ยังมีชีวิตรอดอีกสองตนเห็นว่าแพ้ชนะได้ตัดสินแล้ว จึงตะโกนขอยอมแพ้ และเลิกการเป็นปรปักษ์ กระโดดลงจากอาชามังกร และใช้ดาบจ่อที่คอและยอมให้จับ!
รู้ผลแพ้ชนะแล้ว ลูกสมุนหลายคนของฉินเวยเวยชำเลืองมองเหยียนซิวและเหมียวอี้ที่ไม่กล้าขยับตัวอยู่ข้างๆ
ในขณะนั้น บนยอดเขาทิศตรงข้าม มีเสียงดังกรอบแกรบของใบไม้แห้งดังขึ้นมา นักพรตซึ่งควบอาชามังกรจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ด้านหลังของฉินเวยเวย และตั้งแถวอย่างรวดเร็ว แสดงถึงพละกำลังอันน่าตกตะลึง
ฉินเวยเวยหันกลับอย่างรวดเร็ว และยกมือคารวะนักพรตที่อยู่ตรงกลางผู้ซึ่งสวมเกราะสีเงิน
นักพรตเกราะเงินผู้นี้มิใช่คนอื่น แท้จริงแล้วคือ ประมุขขุนเขาเส้าไท่หยางชิ่ง คิ้วหนาดวงตาโต วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ปราณแห่งการครอบงำแผ่กระจายออกมา สายตาที่เยือกเย็นจ้องมองไปยังสนามรบที่อยู่ด้านล่าง
ในความเป็นจริงแล้วหยางชิ่งและเหมียวอี้ต่างก็เคยพบกันมาครั้งหนึ่ง คือในตอนที่เซียนหงเฉินได้ปรากฏตัวที่เมืองกู่เฉิงเป็นครั้งแรก หยางชิ่งได้รับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านเพื่อต้อนรับ เพียงแต่ในขณะนั้นเหมียวอี้ได้ซ่อนตัวอยู่บนต้นหลิว และหยางชิ่งก็ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากแต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้พบกัน
เมื่อพบว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เหยียนซิวจึงรีบผลักเหมียวอี้ และโยนขวานคู่ของตนเองลงสู่พื้น จากนั้นกระโดดลงจากอาชามังกรพร้อมทั้งยกมือคารวะและกล่าวว่า"ข้าขอยอมแพ้!"
นี่คือการยอมแพ้ครั้งที่สิบเอ็ดของเขาแล้ว!
…………………………