บทที่ 3 แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง (3)
อย่าคิดมากเลย หลุดออกมาจากเส้นทางปลอดภัยแล้ว จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เหมียวอี้สำรวจไปรอบๆ กลับไปยังเขตสถานที่ที่เรียกว่าปลอดภัยอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็สังเกตบริเวณรอบๆ ด้วยว่ามีสมุนไพรเซียนหรือไม่
ตอนนี้เขาก็เข้าเขตอันตรายไปตามหาจ้าวหังอู๋ต่อไม่ได้แล้ว และก็ไม่รู้ด้วยว่าจ้าวหังอู๋จะยังมีชีวิตหนีไปได้หรือไม่
หลังจากที่เขาคลำทางจนกลับเข้าเขตปลอดภัยได้แล้ว ฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง
เดินเตร่อยู่ที่นี่ต่อในตอนกลางคืน แม้แต่ถนนหนทางก็มองไม่ชัด บวกกับสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะโผล่มาทุกเมื่อ ที่นี่อันตรายเกินไปจริงๆ
ที่สำคัญกว่านั้นคือวิ่งมานานมากหลายทางแล้ว เหนื่อยมาก ต้องหาที่ทางเพื่อหาที่พักผ่อนก่อน เขากวาดสายตาไปรอบๆ แล้วคลำทางไปยังกองกลุ่มแท่งหินระเกะระกะที่ตีนเขาลูกหนึ่ง
ขณะถลันเข้าไป เขาพบว่าตรงกลางกลุ่มแท่งกองหินนั้น มีถ้ำเล็กๆ ถ้ำหนึ่ง เขารู้สึกโล่งอก คิดว่าค้างคืนที่นี่ดีที่สุดแล้ว เพราะด้านนอกมีกองกลุ่มแท่งหินพวกนี้คอยปิดบังไว้
แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ ขณะที่เขาเพิ่งจะเข้ามาในช่องแคบๆ เท่าตัวแมวผ่านได้ จู่ๆ ก็มีมือใหญ่มากดคอเขาไว้ เหมียวอี้ใช้มีดฆ่าหมูแทงเข้าไปเพื่อป้องกันตนเองโดยทันทีอัตโนมัติ แต่การตอบสนองของอีกฝ่ายไม่ธรรมดา จับข้อมือเขาไว้ได้ในฉับพลันทันที
"ในที่สุดทั้งสองคนในถ้ำก็ได้เผชิญหน้ากัน พอเหมียวอี้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ก็ส่งสายตาบอกให้อีกฝ่ายปล่อยตน"
อีกฝ่ายก็คือบุรุษเครายาวที่เจอกันก่อนหน้านี้ ไม่นึกเลยว่าจะมาหลบอยู่ในนี้
"เจ้าเองเหรอ?" บุรุษเครายาวค่อนข้างตกใจอึ้งงัน ขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ ปล่อยเหมียวอี้ พร้อมทั้งแย่งมีดฆ่าหมูของเหมียวอี้มาไว้ในมือตัวเอง เหมือนเขาจะยังไม่วางใจเหมียวอี้ เพราะภาพความโหดร้ายของเหมียวอี้ยังชัดอยู่ในความทรงจำจริงๆ เขากังวลว่าจะโดนแทงข้างหลัง
"แค่กๆ!" เหมียวอี้ที่เลือดคั่งจนหน้าแดง เอามือลูบคอพลางไอออกมาสองที
บุรุษเครายาวรีบเอามือปิดปากเขาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ "อย่าทำเสียงดัง ! ไอ้สัตว์ประหลาดนั่นยังอยู่ข้างนอกรึเปล่า?"
แน่นอนว่าเขาต้องเจอกับสัตว์ประหลาดอีกแน่ถึงได้มาหลบอยู่ที่นี่
เหมียวอี้โบกมือ รอจนอีกฝ่ายคลายมือออก จึงส่ายหัวแล้วแล้วพูดพลางหอบว่า "ตอนที่ข้ามาก็ไม่เห็นสัตว์ประหลาดนะ"
บุรุษเครายาวยื่นหัวออกไปสำรวจนอกถ้ำ แล้วหดหัวเข้ามาจ้องเหมียวอี้พร้อมขมวดคิ้วถามว่า "เจ้าหนู อายุน้อยแค่นี้ลงมือโหดใช้ได้นี่นะ ตอนนี้กลับมาคิดๆ ดูแล้ว ไม่ว่าข้าจะคิดยังไง มันก็ยังแปลกๆๆ อยู่ เจ้าไม่เหมือนกำลังแย่งชิงสิ่งของ แต่เหมือนอยากจะกำจัดสามคนนั้นให้สิ้นซากมากกว่า เจ้าหนู พูดความจริงมาเถอะ บนตัวสามคนนั้นมีสมุนไพรเซียนจริงหรือ?"
เหมียวอี้จ้องไปที่มีดฆ่าหมูที่ตกในอยู่ในมืออีกฝ่าย พลางคิดในใจว่าไม่ควรปิดบัง จึงเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ
"ก็สมน้ำหน้าเจ้าพวกสวะโง่สามคนนั่้นแล้วล่ะ! ข้าว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยแบบเจ้า หลอกคนอื่นได้ก็ถือว่าไม่เลวโง่แล้ว ข้าว่า…เฮ้ยถุ้ย ! ข้าก็โง่เหมือนกัน โดนเจ้าหลอกใช้จนซะแล้ว เกือบจะได้สังเวยชีวิตแล้ว" บุรุษเครายาวหัวเราะเยาะตัวเอง
เขาหันมามองห่อย่ามบนตัวเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามว่า "มัวแต่ห่วงเอาชีวิตรอด ของกินที่พกติดตัวมาร่วงหายไปหมดแล้ว ถ้าเจ้าไม่ถือสา แบ่งอาหารให้ข้าหน่อยได้มั้ย?"
เหมียวอี้ไม่พูดอะไร แกะห่ออาหารออกมา หยิบน้ำกับเสบียงส่งให้แล้วพูดว่า "ท่านอา ตอนกลางคืนเราผลัดกันพักผ่อน สลับกันเฝ้ายามดีมั้ย? อยู่คนเดียวถ้าหากมีใครสักคนหลับสนิทเกินไป อยู่ในสถานที่น่ากลัวแบบนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย"
เหมียวอี้มองออกว่าอีกฝ่ายฝึกวิชาป้องกันตัวมา ถ้าเขาลงมือขึ้นมาตนสู้เขาไม่ไหวแน่ เหมียวอี้กังวลนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายจะมีเจตร้ายแอบแฝง จึงแสดงให้อีกฝ่ายเห็น ว่าตนก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
บุรุษเครายาวมองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าที่กำลังครุ่นคิด เขายกมุมปากขึ้น ไม่ได้พูดอะไร รับของมาแล้วก็กิน ขณะที่กินก็มองไปนอกถ้ำแล้วพูดด้วยความสงสัย "ท้องฟ้าข้างนอกคงยังไม่มืดขนาดนี้หรอก ที่นี่หมอกเยอะเลยมืดเร็ว"
ทั้งสองคนกินไปด้วยคุยกันไปด้วย ที่แท้บุรุษเครายาวผู้นี้ก็ชื่อว่า เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหง เดิมเป็นผู้บัญชาการกองทัพของเมืองแห่งหนึ่งที่มีประชากรหนึ่งล้านคน แต่ดันไปเป็นชู้กับอนุภรรยาของเจ้าเมือง จนทำให้เกิดปัญหาตามมา สุดท้ายก็ทำให้ทั้งครอบครัวของตนต้องเดือดร้อน เขาจึงสังหารเจ้าเมืองคนนั้นด้วยความโมโหแล้วหนีมา
วันที่เขาถูกไล่จับไปทุกหนทุกแห่งนั้นลำบากมาก ถึงอย่างไรก็ไร้หนทางจะไปแล้ว จึงถลันมาที่ 'แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง' เพื่อสู้ดูซักตั้ง
เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงแปลกใจว่าทำไมคนอายุน้อยอย่างเหมียวอี้ ทำไมถึงเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ หากจะร่วมมือกันก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ เหมียวอี้จึงไม่ปิดบังเขา
คืนนั้น ทั้งสองคนทำตามที่ตกลงไว้ ผลัดกันพักผ่อน ผลัดกันเฝ้ายาม
พวกเขาร่วมมือกันได้อย่างดีตลอดทั้งคืน ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดของเหมียวอี้เมื่อวาน ที่ดึงดูดให้มีคนมาแย่งปล้น ทำให้เหมียวอี้เข้าใจแล้วว่า ลำพังตัวเขาคนเดียวต่อให้หาสมุนไพรเซียนได้ก็มีปัญหายุ่งยากอยู่ดี วันรุ่งขึ้นเขาจึงออกปากขอให้เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงมาเป็นพันธมิตรกัน
เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงไม่รับปากและก็ไม่ปฏิเสธด้วย พอฟ้าสางก็โยนมีดฆ่าหมูคืนให้เหมียวอี้ แล้วเดินไปด้วยกัน
พอมีบทเรียนที่ได้เจอตั๊กแตนทมิฬมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสองก็ไม่กล้าวิ่งออกจากเส้นทางที่ปลอดภัยง่ายๆ อีก เรื่องที่โชคดีหนีรอดมาได้ อาจจะไม่เกิดขึ้นทุกครั้งเสมอไป พวกเขาเดินไปข้างหน้าบนเส้นทางปลอดภัยตามที่แผนที่บอกไว้แต่โดยดี
แต่สภาพที่แสดงให้เห็นบนถนน เส้นทางที่เรียกว่าปลอดภัย ดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว เพราะบนเส้นทางปลอดภัย ก็สามารถเห็นชิ้นส่วนแขนขาได้เช่นกัน
วิเคราะห์จากศพที่ถูกตัดขาดจนเลือกโชก หรือไม่ก็ร่องรอยที่โดนกัดแทะ เห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนไม่น้อยโดนตั๊กแตนทมิฬโจมตีบนเส้นทางปลอดภัยนี้
ทั้งสองคนถึงขนาดหลบเข้ามาอยู่หลังก้อนหิน เห็นตั๊กแตนทมิฬฝูงหนึ่งไต่ผ่านไปช้าๆ กับตาระหว่างหลบอยู่หลังก้อนหิน ทำให้ทั้งคู่คนตกใจสุดขีด
ทั้งสองคนพอจะรู้รางๆ ว่า ถึงแม้ตั๊กแตนทมิฬจะชอบฆ่า แต่ก็ใช่ว่าจะฆ่าไม่เลือก มันจะเหลือทางรอดไว้ให้ไม่มากก็น้อย เหมือนกับว่าถ้ายิ่งขี้ขลาดวิ่งหนี ตั๊กแตนทมิฬก็ยิ่งไม่ปล่อยไป
ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน เห็นภูเขาแม่น้ำพังทลาย สายน้ำเปลี่ยนเส้นทาง พื้นดินเป็นรูพรุน สภาพที่เสียหายรุนแรงแบบนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังมนุษย์แน่ ช่างน่าตกตะลึง มันยากจะจินตนาการว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้น หรือว่าที่นี่จะเคยเกิดสงครามระหว่างเซียนและมารขึ้นจริงๆ?
การเผชิญหน้าครั้งถัดไป เหมียวอี้ดีใจที่โชคดีได้ร่วมทางกับเยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหง
ถึงแม้แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งจะเป็นแห่งเดียวที่มีสมุนไพรเซียนชิงหัว แต่ก็ใช่ว่าจะเติบโตขึ้นทุกที่ ทั้งสองเข้ามาเดินอยู่ในนี้หลายวันแล้ว แต่ไม่เห็นเงาของต้นสมุนไพรเซียนสักต้น
ที่น่ากลัวกว่าก็คือ พอหนีรอดจากการจู่โจมของตั๊กแตนทมิฬแล้ว กลับมาเจอการคุกคามประเภทเดียวกันอีก
อาหารที่เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงพกติดตัวมาก็ทำหล่นหายไปแล้วตอนวิ่งหนี ที่ตัวเหมียวอี้ก็พกเสบียงมาแค่สำหรับสิบวัน ไม่มีใครสามารถแบกอาหารสำหรับหนึ่งเดือนเข้ามาวิ่งวุ่นอยู่ในนี้ได้หรอก ดังนั้นอาหารของเขา ถ้ากินคนเดียวก็ยังอยู่ต่อไปได้อีกสิบวัน แต่พอกินด้วยกันสองคน นับๆ ดูแล้ว อาหารที่เหลืออยู่แม้แต่ห้าวันยังยากเลย
เห็นได้ชัดว่าสภาวะขาดแคลนอาหารเกิดขึ้นกับคนอื่นๆ แล้วเหมือนกัน ทั้งสองคนถูกคนห้าคนล้อมไว้ บังคับให้ส่งอาหารที่เหลืออยู่น้อยนิดออกมา
เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงหัวเราะอย่างเย็นชา ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ชักดาบที่เอวแบนพุ่งออกไปทันที
สมกับที่เคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพของเมืองที่มีประชากรนับล้าน ฝีมือองอาจ ฟันจนดาบอาบด้วยสีแดงเลือด สังหารอีกฝ่ายแบบหนึ่งต่อห้า
พอเช็ดรอยเลือดที่อยู่บนดาบแล้ว เยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงก็จัดการเก็บอาหารที่เหลืออยู่บนตัวศพทั้งห้ามารวมกัน โยนให้เหมียวอี้แบกไว้ ทั้งสองมีอาหารกินเพิ่มอีกสองวันแล้ว
แต่ทว่า วันต่อมาเยี่ยนเป่ยหงเยียนเป่ยหงได้พบกับคนที่ฝีมือเหนือกว่าตนเข้าแล้ว
…………………………