webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Eastern
Not enough ratings
1033 Chs

002 แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง (2)

บทที่ 2 แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง ( 2 )

คำแก้ตัวนี้ เหมือนยิ่งอธิบายแล้วยิ่งส่อพิรุธ ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสนใจ ยิ่งทำให้สงสัย ว่าในใจสามคนนี้มีอะไรซ่อนเร้นอยู่

"ส่งมานะ!" เหมียวอี้ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง มือที่ถือมีดฆ่าหมูพุ่งตรงไปยังสามคนนั้น

เมื่อก่อนเขาเคยแต่ฆ่าหมู ไม่เคยฆ่าคนมาก่อน แต่วันนี้ เขาจำเป็นต้องฆ่าสามคนนี้

เพราะหวงเฉิงได้เตือนสติเขาแล้ว ว่าหากปล่อยให้เขาทั้งสามให้จากไป แล้วสมมติครั้งนี้ตนกลับไปไม่ได้ น้องชายกับน้องสาวต้องเป็นอันตรายแน่ ตอนนี้ไอ้สารเลวพวกนี้กล้าฆ่าคนได้ ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าอีกล่ะ วันนี้ต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม

สามคนนั้นแตกตื่นหวาดกลัวมาก หันหลังกลับจะวิ่งหนี ใครจะไปรู้ว่า จู่ๆ ก็มีคนอื่นวิ่งเข้ามาสร้างความยุ่งยากเพิ่ม ขวางทางที่พวกเขาจะไปไว้

"ตอนนี้แย่แล้ว ไม่ใช่แค่เหมียวอี้ที่ถือมีดตามไล่ฆ่า ยังมีคนอีกเจ็ดแปดคนมาตามล้อมสกัดไว้อีก"

ทั้งสามคนหนีกลับทางเดิมไม่ได้ก็ รีบพุ่งออกไปทันที ลุกลี้ลุกลนวิ่งหนีพลางตะโกนไม่หยุดปากว่า '“พวกข้าไม่มีสมุนไพรเซียน”'

"เหมียวอี้สีหน้าเย็นชา ถือมีดไล่ตามอย่างไม่ลดละ โดยมีคนที่กลุ่มหนึ่งตามไล่ตามไปด้วย "

ไม่นานนัก คนเหล่านี้ก็ถลันออกมาอยู่นอกเส้นทางปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว

ก่อนที่ทุกคนจะมาที่นี่ ตอนอยู่ด้านนอกต่างก็ได้รับแจกแผนที่จากเมืองกู่เฉิงด้านนอกมาแล้ว บนแผนที่แสดงสัญลักษณ์เส้นทางที่ปลอดภัยเอาไว้ เป็นบักทึกประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตคนแลกมา เพื่อสรุปเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ "‘แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง"’ เปิด

สุดท้าย หวงเฉิงและพวกก็โดนชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนนั้นขวางเอาไว้ได้

"พวกเจ้าจะทำอะไร?"" หวงเฉิงตกใจจนพูดจาติดขัด ยกรัวดาบฟันไปมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้"

เห็นได้ชัดว่าบุรุษเครายาวผู้นั้นเคยฝึกวิชามาก่อน เขาก้าวเข้าประชิดตัวหวงเฉิงอย่างรวดเร็ว พลางเอียงตัวหลบดาบ จากนั้นคว้าข้อมือหวงเฉิงแล้วบิดจนเอาไว้ หวงเฉิงเจ็บจนร้องออกมา ดาบในมือตกลงพื้นดังแกร๊ก

สองพี่น้องตระกูลจ้าวเองก็ลนลานเครียดจนทำอะไรไม่ถูก หยิบมีดสั้นขึ้นมาขู่ไม่ให้คนพวกนั้นเข้าใกล้ ปกติรังแกคนอายุเท่ากันอย่างเหมียวอี้หรือไม่ก็คนที่เด็กกว่ายังพอไหว แต่พอเจอพวกชายฉกรรจ์เหล่านี้ รู้สึกเหมือนเจอกับพวกรุ่นใหญ่ จึงขี้ขลาดหวาดกลัวอยู่บ้างตามสัญชาตญาณ

ไม่ว่าหวงเฉิงจะอธิบายอย่างไร บุรุษเครายาวก็ลงมือคลำหาบนตัวเขาไปทั่ว ผลก็คือไม่พบสมุนไพรเซียนอะไรทั้งนั้น

เขามองที่สองพี่น้องตระกูลจ้าวคราแบบหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปมองเหมียวอี้ที่พรวดพราดเข้ามา ขณะที่เขากำลังจะผลักหวงเฉิงออกไป เตรียมจะค้นหาที่ตัวสองพี่น้องตระกูลจ้าว นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะแกว่งมีดฆ่าหมูพุ่งเข้ามา 'ฉึบ' มีดแทงเข้าไปในที่หน้าอกของหวงเฉิงที่เดินโซซัดโซเซออกมาพอดี

หวงเฉิงเบิกตามองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ บุรุษเครายาวนั่นก็ตกตะลึง และไม่เพียงนอกจากพี่น้องตระกูลจ้าว คนอื่นๆ ก็ตื่นตกใจเช่นกัน

ฉึกๆบฉึบ! เหมียวอี้ตั้งใจแน่วแน่ที่สีหน้าดุร้าย แน่วแน่ชักมีดออกมาแล้วกระหน่ำแทงบนร่างหวงเฉิงอีกสองที สุดท้ายชูมีดในมือขึ้นมาแล้วปาดฟันที่คอหวงเฉิง

เลือดสดๆ กระเซ็นใส่ร่างเหมียวอี้ สองมือของหวงเฉิงยกสองมือที่ปิดคออยู่พลางกระตุกร่วงลงมา ในดวงตาเผยความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

"เหมียวอี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แยกเขี้ยวยิงฟัน ในใจหวาดกลัวอยู่ แต่ยังคงถือมีดที่อาบด้วยเลือดพุ่งตรงไปที่สองพี่น้องตระกูลจ้าวต่อ"

สองพี่น้องตกใจมาก แกว่งมีดฝ่าวงล้อมออกไปอย่างไม่คิดชีวิตทันที

เหมียวอี้พุ่งเข้ามา ถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง แทงเข้าที่เอวของจ้าวหังขุย เขาชักมีดออก แล้วกระหน่ำแทงเข้าไปอีกหลายครั้ง จนจ้าวหังขุยล้มจมกองเลือด

ท่าทางโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึงไป นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้

"ขณะทุกคนกำลังใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จ้าวหังอู๋ที่กำลังแกว่งมีดเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง ก็วิ่งหนีออกไปแล้ว"

คนกลุ่มนั้นจ้องมองเหมียวอี้ที่กำลังถือมีดไล่ตามจ้าวหังอู๋อีกครั้ง

"หน่วยก้านดี โหดใช้ได้ อายุยังน้อยก็ฆ่าคนแบบไม่กระพริบตาได้! "บุรุษเครายาวพูดพลางหัวเราะ จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวหังอู๋หันกลับมามองแล้วหวาดกลัวมาก เห็นเหมียวอี้ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ไล่ตามหลังมาอย่างไม่ลดละ เขาตกใจจนวิ่งหนีไปด้วยส่งเสียงร้องโวยวายไปด้วย

"ไม่รู้เป็นเพราะเสียงร้องของเขาไปทำให้ใครตกใจเข้า หรือเป็นเพราะบุกเขามาในเขตอันตรายแล้วจริงๆ มีเสียงดังร้องวูบมาจากบนฟ้า ราวกับว่ามีตัวอะไรบินออกมา"

ฟึบ! มีเงาดำมหึมาพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้ามายังเบื้องล่าง ลงเข้าตรงกลาง และตกอยู่ตรงกลางระหว่างระหว่างด้านหน้าและด้านหลังของพวกที่วิ่งไล่กันมา

เสียงที่ตกลงมาไม่ดังนัก อีกนิดเดียวก็จะชนหัวเหมียวอี้ที่กำลังวิ่งอยู่ เขาสะดุดล้มลงพื้นตีลังกาไปหลายตลบ

อีกเจ็ดแปดคนที่ตามมาข้างหลังรีบหยุดเท้าเดินโดยพร้อมเพรีียง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเห็นอะไรเข้าจึง ทุกคนพากันถอยถอยหลังกลับช้าๆ

เหมียวอี้ที่เพิ่งลุกขึ้นเมื่อแหงนหน้ามองก็ตกใจเช่นกัน ตั๊กแตนเหรอ?

"เขามองดูดีๆ อีกครั้ง ไม่ผิดหรอก ตั๊กแตนจริงๆ ด้วย เป็นตั๊กแตนตัวหนึ่งที่ใหญ่มากๆ "

ตัวยาวเกินสองจั้ง ทั้งตัวเป็นสีดำวาว ขาทั้งสี่มีปลายเล็บที่แหลมคม ตอนมันยกขาหน้าขึ้นมา เหมือนกับมัจจุราชแบกเคียวที่กำลังแผ่รังสีความน่ากลัวที่เย็นยะเยือกลึกลับ มันเอียงศีรษะขนาดใหญ่ไปมาไม่หยุด ดวงตาสีเขียวเข้มเป็นประกาย ราวกับว่ากำลังติดตามสำรวจเหยื่อ

มันคือสัตว์ประหลาดที่ถูกบรรยายไว้ในแผนที่ ชื่อของมันคือ 'ตั๊กแตนทมิฬ' นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ เข้า

ทันใดนั้นหัวของเหมียวอี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อ แข้งขาอ่อนแรง ตัวเองยืนอยู่ด้านขวาของ 'ตั๊กแตนทมิฬ' แม้แต่จะขยับตัวยังด็ไม่กล้า

บุรุษเครายาวและพวกก็เหงื่อแตกพลั่กเช่นกัน พวกเขาอยู่ตรงหน้า 'ตั๊กแตนทมิฬ' พอดี ไม่กล้าเคลื่อนไหวมากดังนัก ค่อยๆ ถอยหลังต่อไป

ทันใดนั้น 'เคียว' ทั้งคู่ของตั๊กแตนทมิฬ ก็กวาดลงมาสองทีราวกับปีศาจ มันเด้งออกมาแล้วเก็บกลับคืนไป

ยังไม่ทันมีใครได้เห็นท่าทางของมันชัดๆ พวกของบุรุษเครายาวก็หายไปแล้วสองคน ชั่วพริบตาเดียวก็ไปห้อยอยู่บนเคียวของตั๊กแตนทมิฬแล้ว โดนเคียวเกี่ยวทะลุหน้าอก ห้อยอยู่บนนั้น ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลหยดลงมาตามร่างกาย

"พวกเขาตาย…" บุรุษเครายาวพูดเตือนคนอื่นๆ แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า "ทุกคนแยกย้ายกันวิ่งหนีเถอะ!"

อีกห้าหกคนที่กำลังหวาดผวาก็พากันหันหลัง แล้ววิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางทันที

บุรุษเครายาวบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันวิ่งหนี แต่ตัวเองกลับอยู่ที่เดิม

ตั๊กแตนทมิฬที่กำลังชูเคียวบดขยี้ศีรษะเพื่อรลิ้มรส มันกระพริบดวงตาสีเขียว จู่ๆ ก็กางปีกออกพัดกระพือลมขึ้นมา ก้อนหินดินทรายลอยฟุ้ง ในปากมันเคี้ยว 'อาหาร' ไปด้วย และไล่จับพวกคนที่วิ่งหนีไปด้วย

เหมียวอี้ที่กำลังตกใจจนแข้งขาอ่อนค่อยๆ เอียงคอหันไปมอง มองเห็นตั๊กแตนทมิฬรางๆ ท่าทางมันเหมือนกำลังเล่นแมวจับหนูอยู่ ขณะที่บินวนเวียนไปมาอยู่บนฟ้าท่ามกลางคนที่วิ่งหนี ปากก็เคี้ยวอาหารที่อยู่บนเคียวไปด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินอาหารในถ้วยแต่ตาก็จ้องอาหารในหม้อ เหมือนกับว่าเตรียมจะกินอีกหลังจากที่กินหมดแล้ว เสียงร้องโหยหวนอดครวญดังมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะๆ

"หลังจากรอจนฉากแมวจับหนูนั้นหายลับไปจากสายตา เหมียวอี้ก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา เขาคิดว่า หากไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นวิ่งหนีดึงดูดความสนใจสัตว์ประหลาดนั่น เกรงว่าวันนี้ตนคงชะตาขาดแน่หนีไม่พ้นชะตากรรมแน่"

"พอเอาชีวิตรอดกลับมาได้" บุรุษเครายาวตบหน้าตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นเหมียวอี้ยังไม่ขยับตัวไปไหน ก็ประหลาดใจเล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่ฉลาดมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมองแผนการณ์ของตนออก

หารู้ไม่ว่า ที่จริงเหมียวอี้ตกใจจนแข้งขาอ่อนขยับไปไหนไม่ได้

"เจ้าหนู พวกเราวิ่งเลยออกมาจากเขตปลอดภัยแล้ว อยู่ที่นี่นานไม่ได้ รีบออกไปกันเถอะ!"

บุรุษเครายาวเตือนด้วยเจตนาดีแล้วหันหลังวิ่งจากไป

พอเห็นอีกฝ่ายเดินหายลับเข้าไปท่ามกลางหมอกจาง เหมียวอี้ก็ดึงสติกลับคืนมาจากความตระหนกตกใจ หันไปมองหาอยากจะกลับไปตามหาจ้าวหังอู๋อีก แต่เพราะก็ถูกตั๊กแตนทมิฬมาขัดจังหวะ จึงไม่รู้ว่าจ้าวหังอู๋วิ่งหนีไปไหนแล้ว รอบด้านก็มีแต่หมอก อยากจะหาก็ไม่มีทางหาเจอแล้ว

"เขารู้สึกนับถือจ้าวหังอู๋เล็กน้อย ขณะที่ตนตกใจตั๊กแตนทมิฬจนไม่กล้าขยับตัว คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นยังจะกล้าวิ่งหนี "

แต่ไม่นาน เขาก็นึกเรื่องเศร้าขึ้นได้อย่างหนึ่ง จ้าวหังอู๋มันมัวแต่วิ่งหนี อาจจะไม่ได้สังเกตระวังตั๊กแตนทมิฬที่มาโผล่อยู่ข้างหลัง…

…………………………