webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · Historia
Sin suficientes valoraciones
13 Chs

บทที่ 12 บาตรโพธิธรรม

เมื่อเนินเขาสูงปรากฏกลุ่มคนชุดใหม่ขึ้นมา แทนที่จอมภูตจะเสียสมาธิ กลับกลายเป็นเขาลงมือได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ทันใดนั้นพลังดัชนีสะท้านภูตดูเหมือนเปล่งอานุภาพได้มากกว่าเดิมร่วมเท่าตัว นิ้วหัวแม่มือซ้ายกด นิ้วชี้ขวาปาด นิ้วก้อยซ้ายตวัดเขี่ยขึ้น ผสานกับอย่างรวดเร็ว จนกลุ่มกระบี่ของสองนักพรตที่จ่อจี้คุกคามเริ่มคลายตัวออก สองนักพรตปรากฏหยาดเหงื่อหลั่งโทรมกาย โดยเฉพาะนักพรตเฒ่าผู้มีศักดิ์เป็นน้องถึงกับหอบ ลมหายใจเริ่มติดขัด จนนักพรตหนุ่มต้องชิงเข้าปะทะแทนในหลายจังหวะท่วงทีเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ 

 ที่แท้เป็นเพราะเมื่อสักครู่จอมภูตออมแรงเอาไว้เพื่อรอจังหวะโหมรุกเมื่อคู่ต่อสู้ทั้งสองเริ่มอ่อนล้า หรือ เป็นเพราะรอดูท่าทีของกองกำลังกลุ่มใหม่ที่พึ่งมาถึง ก็ยังไม่แน่ชัด หากแต่ตอนนี้ สองยอดฝีมือนักพรตที่คุมกระบี่ 7 เล่มผสานกันกำลังกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างกินแรง

 สถานการณ์แปลผัน แต่ฝ่ายที่มาใหม่กลับนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว มีเพียงชายร่างใหญ่ที่ถูกระบุนามว่า "หม่าซานเป่า" ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเป็นเชิงครุ่นคิดก่อนพึมพำออกมาเบาๆ

 "สองบรรพชิตฉวนเจินนับเป็นยอดฝีมือที่พบได้ยาก เสียดาย... มาพบกับเจ้าตัวประหลาดครึ่งผีครึ่งคนนับว่ากินแรงอย่างยิ่ง"

 "สมควรเข้าร่วมกระหนาบหรือไม่ขอรับท่านแม่ทัพ" เสียงจางหย่วนเอ่ยขึ้นจากทางเบื้องหลังของชายร่างใหญ่ในชุดขันทีอย่างนอบน้อม

 "ไม่ต้อง รอจังหวะต่อไป" จอมขันทีโบกมือ เขาคือ หม่าซานเป่า หรือ ที่ผู้คนรู้จักในนาม เจิ้งเหอ ขันทีคนสนิทผู้เปรียบประหนึ่งแขนซ้ายของ จูตี้ ผู้ครองบัลลังก์ต้าหมิงคนปัจจุบัน

 สัปเหร่อเสียนพลันแผดเสียงหัวเราะขึ้นดังลั่น ฉับพลันปล่อยพลังผ่านสิบนิ้วพุ่งดีดออกพร้อมกันอย่างรวดเร็วรุนแรงจนกระทั่งสามารถกระแทกกระบี่ทั้ง 7 เล่ม และนักพรตฉวนเจินจนต้องผงะหงายถอยห่างออกไปพร้อมๆ กัน จากนั้นจอมภูตเปลี่ยนท่าจากดัชนีเป็นฝ่ามือ เขากางมือออกขยับหมุนวนยืดยุบๆ จากช้าไปเร็ว จนในที่สุดปรากฏเป็นเงาฝ่ามือกราดเกลื่อนบดบังจนมองร่างไม่เห็น

 "หัตถ์ยมภพ !" จางหย่วนเคยรับทราบความร้ายการของกระบวนท่านี้มาก่อนจากตุ๊กตาผีในอารามร้างถึงกับรู้สึกสยิวกายจนต้องร้องโพล่งขึ้น 

 "เป็นหัตถ์ยมภพแบบเดียวกับซากผีดิบตัวนั้นเคยใช้ออก แต่รุนแรงมากกว่า !" 

 "ตามมา !" ชายร่างสูงใหญ่ในชุดขันทีชั้นสูง ดีดร่างพุ่งทะยานลงจากเนินมาอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้คนที่ร่วมทางทั้งหมดต่างพร้อมใจกันทุ่มเทท่าร่างติดตาม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่หามกล่องไม้เร่งฝีเท้าตามติดผู้นำขบวนไปอย่างเร่งด่วน

ทันที่จอมภูตผลักดันฝ่ามือ แสดงพลังของหัตถ์ยมภาพออกมานักพรตทั้งสองไม่เพียงไม่สามารถใช้กระบี่ทั้งเจ็ดเล่มของค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวรุกต่อได้ ตอนนี้ทั้งสองทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งรับและถอยร่น ควงกระบี่เจ็ดเล่มคุ้มกายให้พ้นจากอานุภาพสะเทือนดินของพลังฝ่ามือ ผ่านไปพริบตาเดียวกระบี่เจ็ดเล่มแทบหลุดจากการควบคุมของสองนักพรต มันเคลื่อนฉวัดเฉวียนถูกชักจูงกดดันจากพลังฝ่ามือกระชากวนไปวนมาจนกระทบกันเองดังเปรื่องปร่าง ในจำนวนนั้นมี 3 เล่มถึงกับหักสะบั้นแหลกเป็นชิ้นๆ กระเด็นหลุดออกไปนอกวง ตอนนี้นักพรตทั้งสองเพียงเหลือกระบี่ 4 เล่ม อยู่ในมือนักพรตหนุ่ม 3 เล่ม ส่วนนักพรตเฒ่าผู้เป็นศิษย์น้องเหลือกระบี่เล่มเดียวทำได้เพียงใช้มันคุ้มครองกาย พลังของหัตถ์ยมภพนับว่าน่าตื่นตระหนก แต่นักพรตหนุ่มหลิวต้าเหิงดื้อดึงยึดถือทิฐิ ไม่ยอมลดละยังคงทิ่มแทงกระบี่ทั้งสามเข้าใส่พายุฝ่ามืออย่างหักโหม ผ่านไปอีกเพียงครู่เดียวเขาก็เสียงจังหวะ ปรากฎฝ่ามือหนึ่งแหวกม่านกระบี่พุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้า พริบตาที่นักพรตหนุ่มรอรับความตายกลับเกิดเสียงดังกร็อบสนั่นหวั่นไหว !

เป็นนักพรตเฒ่าไฉ่โจวเฉินเบียดร่างเข้ารับฝ่ามือแทน ถูกกระแทกเข้าที่หน้าอกเสียงกระดูกหักดังลั่นกระอักเลือดฉีดพุ่งออกมาจากปาก ร่างปลิวออกไปราวกับว่าวมหึมาหลุดจากสายตัวหนึ่ง 

 "ศิษย์น้อง !!!" 

นักพรตหนุ่มตะโกนลั่น พลันดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยโทสะ ดีดตัวถอยออกห่าง แล้วพุ่งสวนกลับเข้าไป หมายลงมือโจมตีสุดกำลังด้วยท่าไม้ตาย 'หนึ่งลมปราณแปลงสามเทพ' กระบี่สามเล่มในมือพลันแผ่กระจายวง กลายเป็นฝนกระบี่หนาทึบพุ่งเข้าปะทะกับพลังหัตถ์ยมภพอย่างหักโหม หมายแลกชีวิตตกตายไปตามกัน

ปราณกระบี่และพลังฝ่ามือปะทะหักหาญกันอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ทันปรากฎผลแพ้ชนะพลัน จางหย่วน พาบริวาร 7 คนรายล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

"กางค่ายกลไหมมรกต !" 

จางหย่วนตะโกนสั่ง ชายในชุดองครักษ์ทั้ง 7 สะบัดมือที่สวมถุงมือใยทองออกอย่างพร้อมเพรียง ปรากฏตาข่ายสีเขียวเลื่อมพรายส่งกลิ่นคาวคลุ้ง 7 ผืนโอบล้อมเข้ามา มันเป็นตาข่ายถักทอจากเส้นโลหะเหนียวพิเศษและมีความคมราวกับใบมีด ทั้งยังอาบไว้ด้วยพิษร้าย เพียงสะกิดรอยเลือดเท่าแมลงวันดื่มก็สามารถทำให้ผู้คนต้องตกตายในทันที จางหย่วน วางแผนอาศัยจังหวะที่นักพรตหนุ่มพัวพันแลกชีวิตกับจอมภูต เข้าเล่นงานด้วยอาวุธพิษชั่วร้ายให้ทั้งสองต้องตกตายไปพร้อมกัน !

แต่... ยังไม่ทันที่ค่ายกลไหมมรกต ของเหล่าองครักษ์จะโอบร่างของทั้งคู่พลันมีเสียงคลืนครันปะทุดังสนั่นขึ้นจากใต้ดิน ! พลันปรากฏมีโลงไม้สีดำ 12 โลง พุ่งขึ้นมาจากพื้น รายล้อมการต่อสู้ของนักพรตหนุ่มและจอมภูตเอาไว้ พอดีสามารถสกัดขวางกั้นการเคลื่อนโอบเข้ามาของค่ายกลตาข่ายพิษอันชั่วร้ายไว้ได้พอดี

นักพรตหนุ่มเต็มไปด้วยความอาฆาต เขาไม่สนใจเหตุการณ์รอบข้าง เพียงมุ่งหมายกำจัดฆ่าสัปเหร่อเสียนจนตกตายให้จงได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต หากแต่ในขณะที่เขาโหมรุกเต็มกำลังเข้าปะทะ พลังฝ่ามือพลันสลายหายไป ! นักพรตหนุ่มงงงันวูบศัตรูเบื้องหน้าพลันหายไป กลับปรากฏเป็นเงาดำพาดมาด้านหลัง สันมือฟาดเข้าที่ท้ายท้อยของเขาอย่างหนักหน่วง นักพรตฉวนเจินหลิวต้าเหิงชาวูบขึ้นสมอง หมดสติล้มฟาดลงกับพื้นดังสนั่น

 "เจ้านับว่ายังไม่สมควรตาย... สำนักฉวนเจินควรเหลือผู้สืบทอดยอดวิชาต่อไป" 

สัปเหร่อเสียนแค่นเสียงเบาๆ จากนั้นหันหน้าไปทางกลุ่มของขันทีเจิ้งเหอ ที่หยุดฝีเท้าลงในตอนที่จางหย่วนเริ่มเคลื่อนค่ายกล แล้วเป่าปากดังๆ ขึ้นสามครั้ง

เจิ้งเหอ วาดหลังมือทั้งสองข้างออกเบื้องหน้า เดินพลังคุ้มครองกายด้วย พลังระฆังทอง เหล่าบริวารทั้งหมดที่ติดตามมาล้วนเกร็งลมปราณเตรียมพร้อม 

ทันใดนั้น ฝาโลงทั้ง 12 อันพลันดีดออก ปรากฏผีดิบ 12 ซากโดดออกจากโลงประจันหน้าเข้ากับค่ายกลตาข่ายพิษ ป้องกันจอมภูตเอาไว้ด้านใน 

เหตุการณ์แม้แปรเปลี่ยน แต่จางหย่วนยังนับว่าไม่หวาดหวั่นมีสติ สั่งเคลื่อนค่ายกลไหมมรกตเข้าจัดการ ตาข่ายพิษทั้ง 7 ผืนล้อมบีบเข้าปะทะกับร่างกายของผีดิบอย่างถนัดถนี่ หากนี่เป็นร่างกายของผู้คน เชื่อว่าหากไม่ตายเพราะถูกคมของตาข่ายโลหะบาดจนร่างฉีกขาดแหลกเหลว ก็ต้องตกตายด้วยพิษอันชั่วร้ายลงในฉับพลัน หากแต่... ที่ปะทะกับตาข่ายมิใช่คน พวกมันเป็นผีดิบ มีร่างเป็นซากศพ ทั้งยังเป็นซากศพที่แห้งกรังและแข็งทื่อ แข็งทื่อจนตาข่ายมีคม หรือ แม้แต่ดาบกระบี่ก็ไม่อาจระคายผิว ! 

จอมภูตที่อยู่ใจกลางวงล้อมของซากศพยิ้มด้วยมุมปาก ตวัดสองนิ้วพลิกมือขึ้น ซากศพทั้ง 12 ร่าง เบิกตาโพลงสองแขนที่แนบกายดีดขึ้นชี้ไปข้างหน้า ตาข่ายโลหะอาบพิษที่ทั้งเหนียวและคมพลันขาดสะบั้น เหล่าองครักษ์ที่ควบคุมค่ายกลถูกเศษตาข่ายพิษและแรงมหึมาจากแขนของซากศพกระแทกใส่ร่างปลิวกระเด็นออกไป บางรายถึงกับแขนขาขาด สิ้นชีวิตอย่างน่าอนาถทั้ง 7 นาย !! จางหย่วนที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังพลันดีดเท้าพลิ้วกายหันกลับ ถอยไปอยู่ในกลุ่มของจอมขันทีอย่างรวดเร็ว

ซากศพทั้ง 12 ร่างพลันโดดเด้งมายืนเรียงแถวขวางอยู่เบื้องหน้าของจอมภูต พวกมันจ้องแววตาที่หม่นไร้แววไปยังกลุ่มของเจิ้งเหออย่างแน่วนิ่ง และไม่มีการขยับร่างกาย

"บัดซบ ผีดิบกล้าปรากฏร่างตอนกลางวัน !!" เจิ้งเหอคำรามในคอ โบกมือขวาขึ้นแล้วร้องออกคำสั่ง 

"จตุโลกบาล !"

พอสิ้นเสียงขันที 4 คน กระโดดออกมาเบื้องหน้า ในมือทั้ง 4 กำไว้ด้วยอาวุธพิสดาร 4 ชนิด ไม่ซ้ำกัน อันได้แก่ พิณ กระบี่ กระบองมังกรแดง และ ร่ม อันเป็นอาวุธของท้าวจุโลกบาล ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ทิศของแดนสวรรค์ 

"กำราบปีศาจ !" ขันทีทั้ง 4 เปล่งเสียงพร้อมกัน และลงมือโดยฉับพลัน อาศัยอาวุธวิเศษที่ได้รับการปลุกเสกมาจากอารามหลวงเข้าปะทะหักหาญกับเหล่าผีดิบ 

อาวุธฝ่ายธรรมะพอดีมีพลังข่มอาถรรพ์ของเหล่าซากศพ เพียงปะทะระลอกแรกก็สามารถทำลายผีดิบที่คงกระพันให้แหลกเป็นผงไปได้ถึง 4 ร่าง แต่ยังไม่ทันได้ลงมือต่อ พลันร่างของจอมภูตดีดลอยขึ้นจากพื้น โฉบร่างลอยฉวัดเฉวียน ดีดนิ้ว ปาดฝ่ามือ สะบัดเตะ กลายเป็นมือเท้าหมัดนิ้วเข่าศอกพร่างพรายพุ่งเข้าปะทะร่างของขันที เหล่าอาวุธวิเศษพลันหักสะบั้นแตกเสียหาย ร่างขันทียอดฝีมือทั้งสี่ปลิวละล่องกระเด็นออกไปแน่นิ่งหมดสติอยู่บนพื้นไกลออกไปหลายวา ! 

ทั้งหมดพากันหยุดนิ่ง ไม่มีใครขยับเคลื่อนไหว เจิ้งเหอ กับ สัปเหร่อเสียน จับจ้องกันแน่วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ พลันริมฝีปากของทั้งคู่ปรากฎรอยยิ้มขึ้น ถึงกับเป็นรอยยิ้มที่แฝงความยินดี แฝงความขบขัน ปนความขมข่มขื่นภายใน ดูๆ ไปคล้ายเกิดเป็นรอยยิ้มของเพื่อนเกลอเก่าที่จากกันนานปีแล้วบังเอิญได้มาพบเจอกันคู่หนึ่งขึ้น...

ชั่วครู่ผ่านไปรอยยิ้มยังไม่คลายลง ทั้งคู่เดินเข้าหากัน แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ห่างจากกันในระยะราว 20 วา

 "อัสซะลามุอะลัยกุม" สัปเหร่อเสียนร้องขึ้นพลางยกมือแตะที่หน้าผากเป็นเชิงคำนับให้เกียรติ 

 "วะอะลัยกุมุสซะลาม" ชายร่างใหญ่ส่งเสียงตอบรับ พลางยกมือแสดงกิริยาเดียวกัน

 "ได้ยินว่าท่านแม่ทัพเชี่ยวชาญวิชาทางธรรมหลายแขนง วันนี้จึงเห็นจริง เชื่อว่าเหล่าของวิเศษที่ท่านนำมาล้วนไม่ธรรมดา และที่เก็บงำเอาไว้ในกล่องใบนั้นคงเลิศภพจบแดนอย่างยิ่ง ท่านสามารถนำมาได้ ทำให้ข้านับถือสุดหัวใจ..." 

สัปเหร่อเสียนกล่าวแย้มยิ้ม พลางทั้งสองเดินเข้าหากันอีก จนเหลือระยะห่างกันราว 10 ก้าว จึงหยุดฝีเท้าลง ทั้งคู่มองดูกันและกันด้วยสายตาที่คล้ายเพื่อนฝูงที่ไม่พบปะกันมานานปี

"เสี่ยวเสียน... จากกันมานานท่านสบายดี ?" แม่ทัพขันทีเอ่ยปากขึ้นในที่สุด

"สบายตามอัตภาพ เราเป็นเพียงชาวบ้านร้านตลาด เชื่อว่าไม่สบายเท่า ซานเป่าท่านที่เป็นขุนนางใหญ่อันดันหนึ่งไปเสียแล้ว" จอมภูตตอบด้วยรอยยิ้ม

"สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็นของเจ้าชีวิต เราเมื่อทำงานให้เจ้าชีวิตย่อมสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก... อาจพอมีความสบายอยู่บ้าง หากท่านชมชอบเรื่องเหล่านี้เรายินดีให้ท่านชื่นชมและครอบครอง ขอเพียงท่านยินดีติดตามเรากลับไปรับใช้ต่อองค์จักรพรรดิแห่งต้าหมิง ทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้" หม่าซานเป่าในชุดขันทีพูดอย่างหนักแน่น

สัปเหร่อเสียนแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณก่อนจะกล่าว

"เราท่านต่างมีปณิธานรับใช้นายเหนืออย่างซื่อสัตย์ นับว่าเป็นเรื่องสอดคล้องกัน หากแต่...นายของพวกเราเป็นคนละคน เรื่องนี้เราคงต้องทำให้ท่านลำบากใจแล้ว..." 

ชายร่างใหญ่ในชุดขันทีถอนหายใจพลางส่ายศีรษะเบาๆ 

"น่าเสียดายฝีมือท่านนัก ทอดตาทั่วแผ่นดินผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมท่านนับว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย หากมาช่วยงานแผ่นดิน ต้าหมิงของเราจะยิ่งรุ่งเรืองไพศาล แต่หากท่านไม่เห็นด้วยข้าก็มิบังอาญไปบังคับ อย่างไรก็ดี ขอเพียงท่านพาพรรคพวกถอยห่างออกไป ปล่อยให้เราสะสางเรื่องราวขององค์เหนือหัว พาตัวท่านผู้นั้นกลับไปเมืองหลวง ทุกเรื่องก็ล้วนคลี่คลายได้เช่นกัน ไม่มีใครต้องบาดเจ็บล้มตาย พลพรรคทั้งมวลของท่านเองก็เช่นกัน มิเพียงไม่เสียหายยังจะได้รับการสนับสนุนจากราชสำนัก สามารถกลายเป็นค่ายพรรคอันดับหนึ่งของแผ่นดินได้อย่างเต็มภาคภูมิ นี่เป็นการทำเพื่อต้าหมิง เพื่อแผ่นดินที่เราและท่านรับใช้" 

สัปเหร่อเสียนพลันหัวร่อขึ้นยาวนาน พลางส่ายหน้าราวกับได้ฟังเรื่องขบขันจนเกินกลั้นเรื่องหนึ่งก็ไม่ปาน

"หม่าซานเป่า... ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ข้าก็ทำหน้าที่เพื่อต้าหมิงอยู่มิใช่หรือ ทั้งยังเป็นงานที่สุจริตถูกต้องตามสิทธิธรรมเสียด้วย เป็นท่านเองหรือไม่ ที่ควรรับฟังคำเหล่านั้นของตนเอง อย่าได้เข้าข้างฝ่ายกบฏที่คิดปล้นชิงราชบัลลังก์..." สัปเหร่อเสียนลากเสียงยาว

"เฮอะ !" ขันทีร่างใหญ่แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ 

ทั้งคู่ดีดร่างถอยห่างออกจากกัน จอมภูตลอยตัวไปอยู่ด้านหลังแนวของผีดิบที่เหลืออีก 8 ร่าง ส่วนขันทีร่างใหญ่พลิ้วกายถอยไปยังกลุ่มผู้รักษาหีบทั้ง 4 พลันตบฝามือลงไปที่ฝาหีบจนเปิดออกแล้วกระชากวัตถุเรืองแสงอันหนึ่งออกมา !!

จอมภูตหยีตาเม้มปาก กางฝ่ามือทั้งสองออก ทันใดนั้นผีดิบทั้ง 8 ร่างดีดกายพุ่งเข้าไปหาเจิ้งเหอด้วยท่าร่างพิสดารและรวดเร็วเกินบรรยาย !

"บาตรของท่านโพธิธรรมอยู่ที่นี่แล้วภูตผีตนใดยังกล้าแผลงฤทธิ์ !" ขันทีร่างใหญ่คำราม แสดงบาตรสีทองเปล่งแสงแวววาวออกมาเบื้องหน้า เมื่อประกายแสงส่องวาบออกไป เหล่าซากศพพลันร่างเด้งสะท้อนกลับคล้ายถูกพลังไร้สภาวะกระแทกออกมาอย่างรุนแรง ทิ้งร่างนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น 

"หม่าซานเป่านับว่าร้ายกาจ... สิ่งนี้เองที่ทำให้ข้าอึดอัดตั้งแต่เมื่อครู่ !"

สัปเหร่อเสียนแค่นเสียงขึ้น บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ พลางชูมือขึ้น ปรากฏมีกระดิ่งทองเหลืองอันหนึ่งในมือ แล้วขยับสั่นมันจนดังระรั่ว ทันใดนั้นเหล่าซากศพทั้งหลายที่นอนแน่นิ่งบนพื้นพลันดีดตัวขึ้น กลับมายืนอยู่เบื้องหน้าของประมุขพรรคสัปเหร่อ

 ขันทีเจิ้งเหอ ยกมือที่ถือบาตรสีทองขึ้นชูแล้วกล่าวเน้นเสียง

"แม้ท่านจะมีวรยุทธสูง แต่กอปรด้วยพลังมารอันชั่วร้าย ย่อมไม่สามารถต้านทานอำนาจแห่งบาตรของท่านโพธิธรรมได้ หากคิดอาศัยซากศพเหล่านี้เคลื่อนไหวด้วยอาถรรพ์มืดดำต่อหน้าอาวุธแห่งธรรมะอันกระจ่างไพศาลเกรงว่าไม่สามารถช่วยเหลือแล้ว" 

สัปเหร่อเสียนเพียงแสยะยิ้มออกมา ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใด ชายร่างใหญ่ในชุดขันทียังคงกล่าวสืบต่อ

"แม้รู้ว่าต่อให้อาศัยอาวุธวิเศษนี้ เราท่านก็คงไม่อาจแตกหักรู้ผลในเวลาอันสั้น แต่เพียงอีกครู่หนึ่งกำลังคนของข้าจะรุดมาเสริมอีกในที่นี้ ถึงตอนนั้นต่อให้ท่านมีปีกก็ไม่อาจหนีรอด ฉวยโอกาสที่ยังพอมีอยู่ ตัดสินใจเสียใหม่เถิด เรารับประกันพวกท่านทั้งหมดล้วนปลอดภัยไร้อันตราย โดยเฉพาะท่านผู้นั้น เราเพียงเชิญเสด็จกลับคืนนครหลวง มิได้มีเจตนาจะทำร้าย มิเช่นนั้นข้าคงมาพร้อมกองทัพใหญ่ตั้งแต่ต้น หาใช่พากันมาเพียงไม่กี่คนให้ท่านหัวร่อเยาะเล่นเช่นนี้" 

"นับว่าให้เกียรติเราสัปเหร่อยิ่ง !" สัปเหร่อเสียนหัวเราะเบาๆ อย่างเฉื่อยชา ทำท่าส่ายหัวอย่างอับจน แต่ฉับพลันดีดร่างโถมกายเลียดพื้นเข้าใส่ขันทีใหญ่ พร้อมจี้ดัชนีออกสามนิ้วพร้อมๆ กัน โดยตวัดม้วนขึ้นจากด้านล่าง พลังดัชนีแหลมคมรุนแรงสุดเปรียบปานพุ่งเข้าใส่หม่าซานเป่าอย่างเร่งร้อน !

การแปรเปลี่ยนนี้นับว่าฉับพลัน ยากที่ใครจะรับมือได้ทันท่วงที หากแต่เจิ้งเหอไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วจนตาไม่ทันกระพริบ ลงมือกดบาตรลงต่ำแผ่พลังกระแทก หมายใช้บาตรศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าปะทะกับพลังดัชนีอย่างหักโหม แต่ผิดคาด ร่างของสัปเหร่อเสียนพลันหาบวับไปจากเบื้องหน้าอย่างอัศจรรย์ !

ถึงตอนนี้ขันทีใหญ่จึงทราบว่าการพุ่งดัชนีเป็นเพียงท่าหลอก แท้จริงสัปเหร่อเฒ่าใช้พลังกดกระแทกของฝ่ามืออีกข้างหนึ่งเปิดกลไกลงสู่พื้น ซึ่งมีช่องทางลับซ่อนอยู่ พาร่างมุดหายลงไปในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว

"บัดซบ ! มันแค่ถ่วงเวลา กระจายกำลังติดตามโดยด่วน !" ขันทีร่างใหญ่คำรามลั่น 

คำสั่งไม่ทันสิ้นเสียง ผู้คนก็เคลื่อนไหว พากันถีบเท้าทะยานขึ้นกระจายกำลังค้นหา หม่าซานเป่านำผู้คนขบวนหนึ่งหมายจะตรงไปยังบ้านพักสัปเหร่อเพื่อค้นหาตัวเป้าหมาย แต่ยังไม่ทันเคลื่อนที่ไปถึง ก็พบว่าซากศพทั้ง 7 ร่าง ที่ยืนนิ่งพากันดีดตัวมายืนขวางทางเอาไว้ ตลอดร่างของพวกมันพลันมีอาการชักกระตุกเกิดขึ้นเล็กน้อย 

"ถอย !" ขันทีร่างใหญ่ผู้นำขบวนขมวดคิ้วพบว่าผิดท่า ตะโกนเตือนเหล่าบริวารพลางกระโดดถอยร่างออกมา

เสียงบึ้ม ! ดังสนั่น ซากศพทั้ง 7 ร่างพลันระเบิดออกพร้อมกัน ซากของมันฟุ้งกระจายเกิดเป็นไอหมอกสีดำ กลิ่นเหม็นฉุนเฉียว บริวารที่หลบไม่ทันพากันล้มกลิ้งลงกับพื้นอย่างทุรนทุราย 

"หมอกควันมีพิษ !" จางหย่วนร้องตะโกนพลางถีบตัวถอยอย่างรวดเร็วให้พ้นจากรัศมีการฟุ้งกระจาย มันไปหยุดร่างลงอยู่เบื้องหน้าขันทีร่างใหญ่ผู้นำขบวนในท่าทีคอยอารักษ์ขา พลางกระชากเสื้อนอกของตนเองออกมาม้วนโบกไล่ไอหมอกไม่ให้เข้ามากล้ำกราย

"สัปเหร่อเฒ่า ช่างร้ายกาจจริงๆ เหมือนมันเตรียมการรับมืออยู่ก่อนแล้ว" ขันทีร่างใหญ่แค่นเสียงออกมา 

จางหย่วนรีบหันตัวกลับมากุมมือคาราวะค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อมแล้วจึงกล่าว

"ท่านแม่ทัพโปรดวางใจข้าวางกำลังดักตามเส้นทางไปลงเรือของพวกมันไว้แล้ว เชื่อว่าไม่สามารถหนีรอดไปได้" 

เจิ้งเหอไม่สนใจคำกล่าวขององครักษ์ เพียงยกอาวุธวิเศษในมือขึ้นมอง 

"บาตรท่านโพธิธรรมนับว่ามีอานุภาพสะกดข่มอาถรรพ์ของจอมภูตได้จริงๆ...ข้ามีสิ่งนี้อยู่ไม่กลัวจะกำราบท่านไม่ได้หรอก เสี่ยวเสียน !"