ท้องพระโรง
เยี่ยชิงเซียวยกมือขึ้นจับใบหน้าผิวขาวนวลของตน ซึ่งตอนนี้รอยนิ้วมือของอีกฝ่ายกำลังแดงเป็นริ้วขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ธิดาอ๋องจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง และถามสตรีน้อยอย่างโกรธเกรี้ยวและหัวเสีย
"ฟ่งหลันหลั่น! นี่เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงได้กล้าทำร้ายข้ากับท่านพ่อต่อหน้าฝ่าบาทเยี่ยงนี้"
ทั้งคู่ต่างก็จ้องตาเขม็งใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เปลวไฟแห่งโทสะลุกโชติช่วงปกคลุมสตรีทั้งสองเอาไว้อย่างร้อนระอุราวกับธารลาวา
เยี่ยอ๋องได้วางมือของเขาลงบนหัวไหล่ของธิดา และตบเบา ๆ เล็กน้อย พร้อมกับกล่าวขึ้น
"เซียวเอ๋อร์พอได้แล้วลูก ปล่อยพ่อจัดการทุกอย่างเองเถิดนะ"
เยี่ยชิงเซียวได้ยินบิดากล่าวอย่างอ่อนข้อให้กับศัตรูเช่นนั้น นางจึงตอบย้อนด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แววตาฉายความเจ็บปวดอย่างที่สุด
"หากนางทำร้ายข้าคนเดียว ข้าย่อมอดทนได้ แต่นางบังอาจตบหน้าและหมิ่นเกียรติของท่านพ่อ แล้วท่านจะให้ขอทนนิ่งเฉยอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไรกัน"
เยี่ยอ๋องทอดถอนใจอย่างเหนื่อยล้าและอ่อนแรง
"เซียวเอ๋อร์ ตั้งใจฟังพ่อให้ดี ลูกยังมีอนาคตอีกไกลอย่าเอาชีวิตอันสดใสที่เหลืออยู่มาทิ้งให้กับตาแก่ซึ่งเปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่งเลย อีกอย่าง...นางกระทำเช่นนี้ มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่พ่อได้ทำผิดต่อนางไว้สักนิด"
ในขณะที่สองพ่อลูกตระกูลเยี่ยกำลังพูดเกลี้ยกล่อมตกลงทำความเข้าใจกันอยู่นั้น
ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กล่าวเสียงแข็ง แทรกแซงการสนทนาของสองพ่อลูกขึ้นมา
"น่ารำคาญเสียจริง! ข้าทนดูละครน้ำเน่าอันน่าทุเรศของพวกเจ้าสองพ่อลูกต่อไปไม่ไหวแล้ว คิดเหรอว่าพวกเจ้าแย่งกันออกตัวรับผิดแทนอีกคน ข้าจะยอมให้อภัยในสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำไว้กับข้าและบิดา ฝันไปเถอะ!!!"
น้ำเสียงของสตรีน้อยช่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง แววตาที่จ้องมองสองพ่อลูก ราวกับสัตว์ร้ายที่อยากจะกระโจนเข้าไปฉีกร่างของพวกเขาให้ขาดออกเป็นชิ้น ๆ เสียตรงนี้
ฮ่องเต้ทรงนั่งทอดพระเนตรอยู่พักใหญ่ ในตอนนี้หากพระองค์ไม่ปรามฟ่งหลันหลั่นให้สงบใจลงเสียก่อน เห็นทีเหล่าขุนนางทั้งหลาย ณ ที่นี้ คงจะไม่มีผู้ใดยอมเป็นแน่
พระองค์จึงจำต้องตัดสินพระทัยกระทำบางอย่างด้วยความยากลำบากพระทัย
"เจ้าช่างบังอาจนัก! ต่อหน้าเรา เจ้ายังกล้าทำร้ายคนโดยไม่เกรงกลัวต่ออาญาแผ่นดินเลยสักนิด"
ฮ่องเต้ตรัสตวาดพระสุรเสียงดังลั่น ผสมกับพระโทสะใส่สตรีน้อย
ทุกคนในท้องพระโรงต่างพากันเงียบกริบ เพราะไม่มีใครอยากเอาตัวเองเข้าไปหาเรื่องใส่ตัว
จากนั้นฮ่องเต้ก็ได้ทรงตรัสรับสั่งเรียกให้ทหารองครักษ์เข้ามาด้านในท้องพระโรง
"องครักษ์! รีบเข้ามาจับกุมตัวองค์หญิงอวี้หลันเอาไว้เดี๋ยวนี้"
เมื่อสิ้นพระดำรัส ทหารองครักษ์สองนายก็วิ่งเข้ามาด้านในท้องพระโรงอย่างทันทีทันใด
ด้านแม่ทัพหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงเดินออกมาจากแถวที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ มานั่งคุกเข่าลงบนพื้นข้าง ๆ สตรีน้อย
และได้ดึงแขนของนางให้นั่งลงข้างกายเขาเช่นกัน แต่เจ้าตัวกลับแสดงท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย ไม่กี่นาทีต่อมา นางก็ยอมทำตามเขาอย่างว่าง่าย
จากนั้นแม่ทัพหนุ่ม จึงได้หันไปทูลกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยแทนคนของหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุที่นางกระทำการอันขาดสติเช่นนั้นและยังบังอาจหมิ่นเบื้องสูงต่อหน้าพระพักตร์โดยมิได้ตั้งใจ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะความโกรธแค้นใจที่อัดอั้นฝังรากหยั่งลึกอยู่ในใจมานานนับสิบปี ขอพระองค์ทรงโปรดพิจารณาไต่สวนคดีและคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่สูญเสียด้วยเถิด ส่วนโทษทัณฑ์ของนางในครั้งนี้หม่อมฉันจะเป็นผู้รับผิดทั้งหมดไว้เองพ่ะย่ะค่ะ" หลงอี้หลิงออกตัวปกป้องฟ่งหลันหลั่นอย่างไม่เกรงกลัวต่ออาญาของฮ่องเต้ แม้ว่าตอนนี้พระองค์จะทรงกริ้วมากก็ตาม
ทว่าด้านฮ่องเต้เองก็ทรงกำลังพยายามปกป้องสตรีน้อยเช่นกัน พระองค์ตั้งใจเพียงแค่จะให้ทหารองครักษ์เข้ามายืมปราม เพื่อไม่ให้นางขาดสติจนเสียการใหญ่ไปมากกว่านี้เท่านั้น
แต่พอทรงเห็นแม่ทัพหนุ่มของตนออกตัวปกป้องสตรีอันเป็นที่รัก จนลืมฐานะหน้าที่ของตน ทั้ง ๆ ที่นางกระทำความผิด เห็นทีครั้งนี้พระองค์จำต้องสั่งสอนแม่ทัพหนุ่มผู้นี้เช่นกัน
"หลงอี้หลิง มันไม่ใช่เรื่องอันใดของเจ้า จงอย่ายื่นมือเข้าแทรกแซงการไต่สวนคดีของเรา ถึงแม้ฟ่งหลันหลั่นจะเป็นคนของเจ้า แต่ในเมื่อนางกล้าทำผิดต่อหน้าเราเช่นนี้ หากไม่ลงโทษให้รู้สำนึกผู้อื่นอาจจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้"
ฮ่องเต้ทรงตรัสกับแม่ทัพหนุ่มด้วยพระสุรเสียงจริงจัง สายพระเนตรทอดมองมายังพวกเขาสองคน เหมือนพยายามบอกเป็นนัยว่าให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ และไว้ใจในพระองค์
จากนั้นฮ่องเต้ก็ได้ตรัสรับสั่งกับทหารองครักษ์ทันที
"องครักษ์ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่น เจ้าทั้งสองจงทำการลงโทษโบยหลังฟ่งหลันหลั่นเป็นจำนวนสิบไม้โบยบัดเดี๋ยวนี้"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ"
ทหารองครักษ์ทั้งสองนายน้อมรับคำสั่ง โดยคนหนึ่งเดินเข้าไปจับตัวฟ่งหลันหลั่น ให้ลุกเดินมาทางด้านหลัง และกดนางให้นั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง
ส่วนอีกคนก็เดินออกไปจากท้องพระโรง และไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับไม้โบยหลัง ซึ่งมีลักษณะแบนขนาดเท่ากับไม้พายเรือแจว
และนี่เป็นครั้งแรกที่จะมีการลงโทษใครสักคนภายในท้องพระโรงและต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้
หลงอี้หลิงเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบทูลวิงวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้แทนสตรีน้อยทันที
"ฝ่าบาท ขอทรงโปรดเมตตานางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
ด้านฟ่งหลันหลั่น นางไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์นี้เลยสักนิด แถมยังกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตน
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันน้อมรับโทษทัณฑ์นี้ของตน โปรดทรงรับสั่งลงทัณฑ์ได้เพคะ หากแต่หลังจากนั้นหวังว่าพระองค์จะคืนความยุติธรรมให้กับหม่อมฉันและบิดาด้วยเถิด"
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นพระองค์ก็ทรงออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ทันที
"องครักษ์ ลงทัณฑ์ได้"
พอสิ้นเสียงของฮ่องเต้ นาทีต่อจากนั้นนายทหารองครักษ์ทั้งสองก็ทำหน้าที่ของตน
ทหารองครักษ์ผู้ที่ถือไม้โบยได้ง้างมือของของเขาขึ้น และฟาดไม้โบยในมือลงบนแผ่นหลังบางของสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
ในช่วงจังหวะนั้นเอง หลงอี้หลิงก็ได้เข้าไปสวมกอดเรือนร่างอรชรเอาไว้แน่น และรับไม้โบยแทนนางได้พอเหมาะพอเจาะ
ผลัก!
ฟ่งหลันหลั่นตกใจที่แม่ทัพหนุ่มเข้ามาขวางทางของไม้โบยและรับแรงกระแทกนั้นเอาไว้แทน ด้วยความเป็นห่วงนางจึงได้พยายามไล่เขาออกไปให้พ้นทาง
"หลงอี้หลิง ท่านทำบ้าอะไร หลบออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ"
ด้านนายทหารองครักษ์นายนั้นเกิดตกใจ เพราะคนที่เข้ามาขวางเป็นถึงแม่ทัพผู้เกรียงไกร เขาจึงหยุดชะงักมือไว้ก่อน และเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้
กษัตริย์ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงโกรธแม่ทัพหนุ่มเป็นอย่างมาก ที่เขาไม่ยอมเชื่อฟังและไม่ยอมเชื่อใจในพระองค์
"องครักษ์ ไม่ต้องหยุดมือ หากแม่ทัพหลงอยากเจ็บตัวมากนัก พวกเจ้าก็ลงโทษโบยหลังพวกเขาเพิ่มจากเดิมอีกสิบไม้โบย"
ฮ่องเต้ทรงตรัสรับสั่งออกมาอย่างขึงขัง ทำให้พวกเหล่าขุนนางในท้องพระโรงไม่มีผู้ใดสามารถหาเรื่องกล่าวตำหนิได้ ว่าพระองค์ทรงเข้าข้างคนของตน
"หม่อมฉัน น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"
จากนั้นทหารองครักษ์ก็ได้ฟาดไม้โบยในมือลงแผ่นหลังหนาของแม่ทัพหนุ่มอย่างไม่ยั้งมือ โดยฟ่งหลันหลั่นยังคงอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขา
แม้ว่านางพยายามขยับตัวและดิ้นสุดแรงเพื่อให้เขาคลายอ้อมกอดออก แต่ก็ไม่เป็นผล นางได้แต่จำยอมทนฟังเสียงไม้โบยนั้นฟาดลงบนร่างเนื้อของบุรุษที่ตนรักโดยที่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย และทุกครั้งทุกความเจ็บปวดของเขา นางเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน
และแล้วการลงทัณฑ์ของฟ่งหลันหลั่นและหลงอี้หลิงก็ได้จบลง
ฮ่องเต้จึงทรงสั่งให้เจ้ากรมยุติธรรมอ่านราชโองการคำตัดสินโทษของสองพ่อลูกตระกูลเยี่ย ตามที่พระองค์ได้ทรงลงลายพระอักษรไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเปิดไต่สวนคดีหนึ่งวันก่อนหน้านี้
"เจ้ากรมยุติธรรม ประกาศตัดสินคดีของพวกเขาได้"
"หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเจ้ากรมยุติธรรมได้รับพระบัญชา เขาก็ได้หันไปหยิบม้วนผ้าสีแดงบนถาดที่คนของเขาถืออยู่ และคลี่กางออก
"เยี่ยอ๋อง รับราชการ"
เยี่ยอ๋องพยายามจะคุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้น และก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด โดยมีบุตรสาวช่วยประคองเขาไม่ห่าง และไม่ว่าการตัดสินโทษจะเป็นเยี่ยงไร เขาก็พร้อมยอมรับผิดในทุกข้อกล่าวหา
"จากการกระทำอันโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรมและไร้เมตตา เมื่อสิบปีก่อน ซึ่งเกิดจากความทะเยอทะยาน อิจฉาริษยา หวังจะได้ครอบครองอำนาจในตำแหน่งขององค์รัชทายาท ถึงขนาดวางแผนลอบสังหารพระอนุชาของตน รวมทั้งลอบวางยาพิษต่อผู้เป็นหลานสาว เพื่อหวังปลิดชีพเขาเหล่านั้นอย่างเลือดเย็น จนถึงปัจจุบัน เจ้าก็ยังวางแผนอย่างต่อเนื่องเพื่อต้องการช่วงชิงบัลลังก์ทองนี้ สิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปนั้นถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ และไม่อาจจะให้อภัยได้ ดังนั้นเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักและสำนึกไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนางชั้นสูงหรือผู้ดีมีเงิน และแม้แต่คนธรรมดาสามัญชน หากผู้ใดกล้ากระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ทุกคนย่อมได้รับโทษทัณฑ์เท่าเทียมกัน ไม่มีการละเว้นแม้แต่คนเดียว
เราจึงขอตัดสินด้วยการสั่งริบทรัพย์สินทั้งหมดคืนสู่ท้องพระคลัง และปลดเจ้าออกจากตำแหน่งอ๋อง พร้อมกับลงโทษสูงสุด นั่นคือประหารชีวิต ลงชื่อ ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่ว"
เยี่ยอ๋องฟังประกาศราชโองการเสร็จ เขากลับดูไม่ได้ตกใจในคำตัดสินคดีนั้นของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
"หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
เยี่ยอ๋องกล่าวน้อมรับราชโองการเรียบร้อย เจ้ากรมยุติธรรมก็ได้มันวางลงบนมือของอีกฝ่าย ที่ยังคงยกแขนท่วมศีรษะและหงายฝ่ามือรอรับราชโองการนั้น
ต่างจากเยี่ยชิงเซียว นางแทบจะทิ้งตัวลงไปนอนราบลงบนพื้นเสียเดี๋ยวนั้น ด้วยความเสียใจอย่างหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ แต่นางก็ต้องเข้มแข็งและอดกลั้นเอาไว้ เพราะมือน้อยทั้งสองข้างยังต้องประคองร่างของบิดาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มนั่นเอง
จากนั้นเจ้ากรมยุติธรรมก็ได้หยิบม้วนกระดาษสีแดงออกมาอีกหนึ่งอัน
"เยี่ยชิงเซียว รับราชโองการ"
เมื่อได้ยินเจ้ากรมยุติธรรมกล่าวขึ้น ธิดาอ๋องก็พยายามตั้งสติ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ นางก็ขอตายไปพร้อมกับบิดา
"ความผิดของเจ้าตามที่ได้สารภาพต่อหน้าเราไว้ก่อนนี้ คือการที่ลอบวางยาพิษผสมผงปลิดชีพลงในขนมหวานเพื่อต้องการให้ฟ่งหลันหลั่นและคนสกุลหลงกิน เจตนาของเจ้านั้นชัดเจนยิ่งนักในการหมายมาดมุ่งร้ายเอาชีวิตของผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำอันโหดเหี้ยม ทว่าจากเหตุการณ์นั้นยังมิได้มีผู้ใดเสียชีวิต และผู้เสียหายไม่ได้กล่าวโทษ อีกทั้งเจ้ายังได้สำนึกผิด ด้วยการสารภาพในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้ เราจึงละเว้นโทษประหาร แต่เจ้าจะต้องถูกถอดยศของธิดาอ๋องออก และเปลี่ยนเป็นสามัญชนทั่วไป อีกทั้งยังต้องให้ทำประโยชน์ต่อแผ่นดินตามสมควรแก่โอกาสและเวลาอันเหมาะสม ลงชื่อ ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่ว"
"หม่อมฉัน ขอน้อมรับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
เยี่ยชิงเซียวทูลกล่าวน้อมรับราชโองการด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เลื่อนลอยราวสายลม
ทุกคนในห้องนั้นเห็นสีหน้าและแววตาของธิดาอ๋อง ต่างก็พากันดูออก ว่านางไม่ได้ดีใจในคำตัดสินละเว้นโทษตายนี้จากฮ่องเต้เลยสักนิด
สลับกลับมายังฟ่งหลันหลั่น หลังจากที่นางได้รับฟังการตัดสินคดีของสองพ่อลูกจบสิ้น นางยังคงนั่งนิ่งเฉย ไม่แสดงอากัปกิริยาใด ๆ ออกมา
แม้แต่หลงอี้หลิง ฮ่องเต้ รวมไปถึงคนอื่น ๆ ในห้องนั้น ต่างก็คาดเดาไม่ออกว่านางพึงพอใจในการตัดสินนี้หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางยังอาละวาดและได้แผลงฤทธิ์ให้กับสองพ่อลูกคู่นี้
ด้านเจ้ากรมยุติธรรมได้หันไปหยิบม้วนผ้าสีแดงม้วนสุดท้ายจากในถาดคลี่กางออกอีกครั้ง
"องค์หญิงอวี้หลัน น้อมรับราชโองการ"
ฟ่งหลันหลั่นนั่งยืดหลังตรง มือทั้งสองข้างวางอยู่บนหน้าตักและประกบเข้าหากัน
"สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากการกระทำผิดของเยี่ยอ๋อง ที่ได้วางแผนสังหารอ๋องอวี้ องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน และตัวเจ้าเองก็ได้ถูกลอบวางยาพิษ จนทุกคนคิดว่าเจ้านั้นได้สิ้นใจตายไปตั้งแต่ในคราวนั้น ซึ่งเจ้ามีชันษาเพียงแปดขวบเท่านั้น กลับต้องมาเผชิญเคราะห์กรรม
และเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมและเลวร้ายจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระญาติคนสนิท เรา ในฐานะฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ผู้ที่ปกครองแคว้นโหย่วนี้ อยากจะกล่าวขอโทษเจ้าจากใจ และเราคงไม่อาจจะคืนชีวิตของบิดาและเหล่าผู้คนที่เจ้ารักให้ฟื้นกลับมาได้ แต่เพื่อทดแทนสิ่งที่เจ้าได้สูญเสียไป เราขอคืนยศถาบรรดาศักดิ์เดิมและทรัพย์สินทั้งหมด รวมทั้งข้าทาสบริวารให้กับเจ้า และขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็น เหอซั่วกงจู่[1] พร้อมกับอนุญาตให้เจ้าย้ายกลับเข้ามาอยู่ยังพระตำหนักต้องห้ามและเปลี่ยนชื่อใหม่ตามนามของเจ้า ลงชื่อ ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่ว"
หลังจากที่เจ้ากรมยุติธรรมได้ประกาศราชโองการฉบับสุดท้ายเสร็จ ยังไม่ทันที่ฟ่งหลันหลั่นจะได้กล่าวน้อมรับราชโองการ เหล่าขุนนางหลายคนต่างก็ได้แสดงความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยในการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้
"ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งเหอซั่วกงจู่ มิใช่พระองค์จะทรงแต่งตั้งให้ผู้ใดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งนางเองก็ได้กระทำการหมิ่นเบื้องสูงต่อหน้าพระพักตร์หลายครั้ง และหากพระองค์ยังยืนกรานตัดสินพระทัยเช่นเดิม พวกเกล้ากระหม่อมเกรงว่าประชาชนทุกคนคงไม่เห็นด้วยเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ"
"ขอฝ่าบาททรงโปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วยเถิด"
เหล่าขุนนางหลายคนต่างพยายามถวายคำคัดค้านในการตัดสินพระทัยครั้งนี้ของฮ่องเต้ และแน่นอน พวกเขารู้ดีว่าสตรีนางนี้คือคนรักของหลงอี้หลิง และหากนางได้ถือตำแหน่ง เหอซั่วกงจู่ ก็เท่ากับมอบอำนาจเพิ่มให้กับแม่ทัพหนุ่มเป็นทวีคูณ
เหล่าขุนนางที่พยายามกล่าวคำคัดค้าน เกรงว่าพวกตนจะสูญเสียอำนาจไป จึงได้ยืนกรานเสียงแข็งไม่เห็นด้วยต่อราชโองการนี้
"บังอาจ! คนที่ไม่ยอมรับในการตัดสินใจของเรา เห็นทีจะเป็นพวกเจ้าหัวหงอกหัวดำตรงนี้เสียมากกว่า จงอย่าได้เอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องอันใดมาเป็นข้ออ้างเลย กษัตริย์ ตรัสแล้วย่อมไม่มีทางคืนคำอย่างแน่นอน"
ฮ่องเต้ทรงโต้ตอบสวนพวกเขาอย่างต่อตาตา ฟันต่อฟัน ครั้งนี้พระองค์จะไม่ทรงยอมให้พวกเขาวางตัวเหนือพระองค์ได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงเวลาที่จะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสียที
ท่ามกลางความโต้แย้งระหว่างกษัตริย์กับเหล่าขุนนางถึงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน
ฟ่งหลันหลั่นผู้เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ก็ได้กล่าวแทรกเสียงดังขึ้น
"กราบทูลฝ่าบาท..."
ทุกคนต้องเงียบเสียงลงและหยุดฟังในสิ่งที่นางกำลังจะพูดอย่างตั้งใจ
เมื่อดึงความสนใจจากทุกคนในท้องพระโรงนั้นให้มาหาตัวเองได้แล้ว ฟ่งหลันหลั่นจึงตั้งสติและกล่าวทุกอย่างด้วยความใจเย็นและชัดถ้อยชัดคำ
"ทูลฝ่าบาท พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันขอปฏิเสธในราชโองการนี้ของพระองค์เพคะ"
สิ่งที่สตรีน้อยกล่าวออกมาได้สร้างความประหลาดใจต่อทุกคนในท้องพระโรงยิ่งนัก
"องค์หญิงอวี้หลัน เจ้ากล่าวออกมาเช่นนั้นหมายความว่าเยี่ยงไรกัน"
ฮ่องเต้ทรงไม่อาจจะเข้าพระทัยในเจตนาของนางได้จึงทรงตัดถามออกไปตามตรง
"เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันผ่านมานานนับสิบปี และแน่นอนว่าทุกชีวิตที่ได้สูญเสียไปรวมทั้งชีวิตของบิดา คงไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ และองค์หญิงอวี้-หลันผู้นั้นก็ได้ตายไปพร้อมกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ผู้ที่นั่งกราบทูลอยู่ ตรงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์อยู่ในขณะนี้ คือหม่อมฉัน ผู้มีนามว่า ฟ่ง-หลันหลั่น ในตอนนี้หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนที่กลายมาเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหลงอี้หลิง เป็นบ่าวไพร่ในเรือนหลงหลิง และนั่นหมายถึงหม่อมฉันเป็นคนของเขาอย่างสมบูรณ์"
ฟ่งหลันหลั่นหยุดพูดครู่หนึ่งและหันไปมองหน้าแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งเขาก็กำลังมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ
นางเผยรอยยิ้มหวานละมุนให้กับเขา ก่อนที่จะหันมาทางเบื้องหน้าและทูลกล่าวกับฮ่องเต้ต่อ
"และหากพระองค์จะทรงมีพระเมตตาต่อการตายขององค์หญิงอวี้หลันน้อยและอ๋องอวี้
และขอพระทรงยกเลิกการแต่งตั้งตำแหน่งเหอซั่วกงจู่ ให้หม่อมฉัน เปลี่ยนเป็นการละเว้นโทษประหารให้กับเยี่ยอ๋องแทนด้วยเถิดเพคะ เพราะในความผิดที่เขาได้กระทำต่อหม่อมฉันและบิดา โทษตายนั้นมันช่างง่ายดายเกินไป ตอนนี้เขาได้รับกรรมในส่วนหนึ่งไปแล้ว จากบุคคลที่มีฐานะสูงส่ง กลับกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเงินทอง พร้อมข้าทาสบริวารก็ถูกริบคืนไปหมดแล้ว หม่อมฉันจึงอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้ในสภาพนั้น เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้รสชาติของความอดอยากและความยากลำบากในชีวิต และสำนึกผิดในบาปของตนไปจวบจนลมหายใจสุดท้าย หากแม้นชาติหน้ามีจริง เขาจะได้ไม่เกิดมาเป็นคนเลวมีจิตใจโหดเหี้ยมอย่างชาตินี้"
ทุกคำพูดของฟ่งหลันหลั่นที่ได้ทูลกล่าวต่อฮ่องเต้ทั้งหมดนั้น ล้วนได้ผ่านการพิจารณาไตร่ตรองมาก่อนเป็นอย่างดีแล้ว
....
เซียงไค 盛開
[1] เชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 2 มีฐานะเทียบเท่าจวิ้นอ๋อง เป็นพระธิดาที่เกิดจากจักรพรรดิและพระชายา หรือเป็นพระธิดาบุญธรรมของจักรพรรดิหรือจักรพรรดินี
จักรพรรดิ คือ ฮ่องเต้