วันต่อมา หลงอี้หลิงก็ฟื้นคืนสติกลับมา หมอหลวงที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จึงรีบทำการตรวจดูอาการของเขาทันที
ด้านฮ่องเต้เมื่อทรงทราบข่าวว่าแม่ทัพหนุ่มของตนฟื้นคืนสติ พระองค์ก็ทรงรีบเสด็จไปเยี่ยมเขาถึงโรงพักฟื้นของผู้ป่วยในเขตของสำนักหมอหลวงอย่างร้อนพระทัย
ณ ห้องพักฟื้นผู้ไข้ หมอหลวงกำลังนั่งตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลงอี้หลิง หลังจากที่เขาพึ่งได้กินยาไปเมื่อช่วงเวลาหนึ่งจิบน้ำชาก่อนหน้านี้
โดยที่แม่ทัพหนุ่มได้นั่งอยู่ และมีหมอนหนุนแข็งขนาดยาวพิงหลังพยุงตัวเอาไว้อีกแรง
"ฝ่าบาทเสด็จ..."
เสียงของมหาดเล็กร้องตะโกนส่งสัญญาณจากด้านนอกดังลอดเข้ามาภายในห้องพักฟื้นของผู้ไข้
จากนั้นฮ่องเต้ทรงเก้าพระบาทฉับ ๆ ตรงปรี่มายังเตียงผู้ไข้ด้วยสีพระพักตร์นิ่ง นัยน์ตาเผยแววดุเล็กน้อย
จังหวะนั้นเองหมอหลวงก็ได้ตรวจอาการของแม่ทัพหนุ่มเสร็จพอดี เขาจึงลุกขึ้นและถอยหลังร่นออกไปทางด้านข้าง พร้อมนั่งคุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้นอย่างสำรวม และกล่าวขึ้น
"ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
ด้านแม่ทัพหนุ่มก็พยายามประคองตัวเองลุกออกจากเตียงลงมานั่งบนพื้น เพื่อจะทำการถวายพระบังคม
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จึงทรงตรัสห้ามไว้ก่อน
"เจ้ายังป่วยอยู่ นอนพักเช่นเดิมเถิด"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
หลงอี้หลิงขานรับสั่งอย่างนอบน้อมด้วยน้ำเสียงเบาหวิวดั่งสายลม เพราะพลังภายในของเขายังไม่ฟื้นคืนสมบูรณ์
จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงหันพระพักตร์ทอดพระเนตรชำเลืองมองไปยัง หมอหลวง จากนั้นทรงได้ผายพระหัตถ์ให้กับเขาและยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยหนึ่งครั้ง พร้อมทรงตรัสเป็นกันเองอย่างไม่ถือตัว
"ส่วนท่านหมอก็ด้วยไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอก ที่นี่เป็นสำนักหมอหลวง ไม่ใช่ท้องพระโรง จงพากันทำตัวตามสบายเถิด"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" หมอหลวงกล่าวเสริมรับพร้อมกับลุกขึ้นยืน
"ว่าแต่...คนก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงใหญ่ถึงไม่ได้อยู่ที่นี่กัน"
พระสุรเสียงของฮ่องเต้ฉุนเฉียว ฟังให้รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองพระทัยของฮ่องเต้ที่มีต่อหมอหลวงใหญ่ ได้ถูกแสดงออกมาผ่านถ้อยคำถามนี้
หมอหลวงผู้ที่ทำการตรวจดูอาการของแม่ทัพหนุ่มรับรู้ได้ถึงพระโทสะเล็ก ๆ ที่เจืออยู่ในพระสุรเสียงนั้นของฮ่องเต้ เขาจึงรีบอธิบายแทนหมอหลวงใหญ่ทันที
"พระอาญามิพ้นเกล้า ทูลฝ่าบาท...ตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังเฝ้าไข้ของแม่นางฟ่งอยู่อย่างใกล้ชิดพ่ะย่ะค่ะ เพราะอาการของนางผู้นั้นยังคงน่าเป็นห่วง และท่านอาจารย์ก็ทราบดีว่าสตรีนางนั้นสำคัญต่อท่านแม่ทัพหลงเยี่ยงไร จึงได้มอบหมายให้หม่อมฉันมาดูแลแม่ทัพที่นี่แทนพ่ะย่ะค่ะ"
หลงอี้หลิงกังวลใจเล็กน้อยว่าความเป็นห่วงของฮ่องเต้ที่มีต่อตัวเขา จะพานทำให้สำนักหมอหลวงพลอยเดือดร้อนไปด้วย เขาจึงออกตัวและพูดปกป้องทุกคน
"ฝ่าบาทขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา และทรงอย่าตรัสตำหนิท่านหมอเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกอ่อนเพลีย
คงอาจจะเป็นเพราะร่างกายพึ่งสูญเสียเลือดไปมากก็เท่านั้น พักผ่อนและฝึกควบคุมพลังปราณภายในสักสองสามวัน ร่างกายคงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดังเดิมพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ทรงได้ยินแม่ทัพหนุ่มพูดออกตัวปกป้องสำนักหมอหลวงเช่นนั้น พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์กลับมาทางเขา จากนั้นก็ทรงประทับลงบนเก้าหัวตัดที่วางอยู่ข้างเตียงผู้ไข้ พร้อมกับตรัสตำหนิแม่ทัพหนุ่มของตนด้วยพระสุรเสียงประชดประชันแกมดุเล็กน้อย
"ฮึ! เจ้าก็อีกคน รู้ทั้งรู้ว่าตนเป็นคนสำคัญมากแค่ไหนต่อแคว้นโหย่ว แต่เจ้ากลับเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเช่นนี้ เจ้ายังจะให้เราอารมณ์ดีทำใจเย็น ไม่ลงโทษเจ้าและพวกเขาอีกงั้นรึ หากแผ่นดินนี้ไร้ซึ่งเจ้า...แล้วไพร่ฟ้าประชาชนจะมีชีวิตกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขเหมือนที่ผ่านมาได้เยี่ยงไรกัน" ถ้อยคำและพระสุรเสียงตำหนิของฮ่องเต้ที่มีต่อแม่ทัพหนุ่ม หาได้เป็นความโกรธเกรี้ยวไม่ หากแต่พระองค์ทรงเป็นห่วงเขามาก จึงได้เอาเรื่องของไพร่ฟ้ามาอ้าง เพราะพระองค์รู้ว่าแม่ทัพหนุ่มก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันขอประทานอภัยและยินดีรับโทษทัณฑ์ในความผิดนั้นของตนพ่ะย่ะค่ะ ทว่าแผ่นดินนี้เป็นของฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงทหารของพระองค์ มีหน้าที่คอยปกป้องบ้านเมืองให้ปลอดภัยจากศัตรูเท่านั้นและไพร่ฟ้ามีชีวิตได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ก็ล้วนเป็นเพราะพระเมตตาและพระปรีชาสามารถในเรื่องการดูแลและการปกครองบ้านเมืองจากฝ่าบาททั้งสิ้น"
แม่ทัพหนุ่มทูลกล่าวตามความจริง เพราะแม้ว่าบนแผ่นดินจะมีทหารเก่งกาจและมากความสามารถนับหมื่นนับแสนนาย ซึ่งคอยปกป้องดินแดนจากศัตรูมากแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งกษัตริย์ที่เป็นธรรมราชาและปกครอง ด้วยหลักเมตตาธรรม หวังเพียงใช้แต่อำนาจบาตรใหญ่ในมือควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร้ซึ่งเหตุผล และปล่อยให้ประชาชนอดอยาก เช่นนั้นบ้านเมืองก็คงจะไร้ซึ่งความสงบสุขเฉกเช่นกัน
ฮ่องเต้ถูกเขากล่าวชมเยี่ยงนั้น พระองค์ก็ทรงพระทัยอ่อนลงให้แม่ทัพหนุ่ม แต่ก็ทรงยังคงมีความขุ่นเคืองพระทัยอยู่บ้างตามประสาคนห่วงใยกัน
นาทีต่อมาหลงอี้หลิงก็พยายามที่จะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง ฮ่องเต้จึงทรงยกพระหัตถ์ดันตัวเขาไว้และตรัสถามขึ้นอย่างฉงนพระทัย
"นี่เจ้าจะทำอะไร"
แม่ทัพหนุ่มยังคงดึงดันและฝืนแรงพระหัตถ์ของฮ่องเต้พร้อมกับตอบอย่างไม่คิดไตร่ตรอง
"หากไม่เห็นกับตาว่านางปลอดภัยดี หม่อมฉันคงจะคลายความกังวลในใจลงไม่ได้สักวินาที ขอฝ่าบาททรงโปรดอย่าห้ามหม่อมฉันเลยพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ได้ฟังคำกล่าวของแม่ทัพหนุ่ม ด้วยความเป็นห่วงในสุขภาพร่างกายของลูกน้อง พระองค์จึงทรงตรัสสวนขึ้นด้วยพระสุรเสียงขึงขัง
"ไม่ได้! ร่างกายของเจ้าเองก็ยังไม่ฟื้นตัวเลยเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเราไม่อนุญาตให้เจ้าลุกออกจากเตียงนี้จนกว่าจะหายดี นี่เป็นคำสั่ง!"
เมื่อฮ่องเต้ตรัสกับแม่ทัพหนุ่มอย่างแข็งกร้าว พระองค์ก็ทรงได้สั่งให้หมอหลวงและทหารมหาดเล็กให้ควบคุมดูแลผู้ไข้อย่างเข้มงวด
"ท่านหมอ! ท่านจงดูแลแม่ทัพของเราให้ดี ห้ามปล่อยให้เขาออกไปห้องนี้ได้โดยเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเราเสียก่อน และเราจะสั่งให้ทหารมหาดเล็ก มาคอยช่วยพวกท่านจัดการกับแม่ทัพจอมดื้อผู้นี้อีกแรง"
"หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท สำนักหมอหลวงของเราจะดูแลท่านแม่ทัพให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรงให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อฮ่องเต้ได้รับคำตอบรับจากหมอหลวง พระองค์ก็ทรงประทับยืนขึ้นและเอี้ยวพระวรกายเบี่ยงตัวหันออกไปทางประตูด้วยท่าทีขุ่นเคืองในความดื้อรั้นของแม่ทัพหนุ่ม
"ฝ่าบาท...ได้โปรดทรงประทานพระราชาอนุญาตให้หม่อมฉันไปเยี่ยมนางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มพยายามวิงวอนร้องขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เป็นผล
"ไม่ได้! เจ้าพักผ่อนซะเถอะ เราเองก็จะกลับเช่นกัน"
ฮ่องเต้ทรงยืนกรานปฏิเสธคำขอของแม่ทัพหนุ่มเสียงแข็ง และตัดบทด้วยการเสด็จกลับพระตำหนัก เพราะอันที่จริงก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จมาเยี่ยมเขา พระองค์ก็ทรงได้รับรายงานเรื่องอาการบาดเจ็บของฟ่งหลันหลั่นจากสำนักหมอหลวงเรียบร้อยแล้ว
'หลงอี้หลิง! จงพักผ่อนรออยู่ที่นี่อย่างใจเย็นเถิด เพราะในสภาพของนางตอนนี้ เราไม่อาจที่จะอนุญาตให้เจ้าไปพบนางได้จริง ๆ และนี่คือน้ำใจและความหวังดีของเราที่มอบให้พวกเจ้าทั้งสองจากใจ'
ฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับพระตำหนักและตรัสกับแม่ทัพหนุ่มในพระทัย ทันใดนั้น พลันมีภาพของฟ่งหลันหลั่นผุดขึ้นในห้วงพระดำริ
สตรีน้อยผู้มีดวงหน้าซีดเซียวราวกับว่าอาศัยอยู่ในดินแดนน้ำแข็งอันเยือกเย็น เรือนผมที่เคยเงาวับดับขลับราวสีน้ำหมึก ตอนนี้กลายเป็นสีขาวไม่ต่างจากเกล็ดหิมะ ริมฝีปากจืดชืดไร้สีสัน และเปลือกตาบางก็ยังคงปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมา
ยิ่งโดยเฉพาะลมปราณและตำแหน่งหยินหยางในร่างกายก็ยังไม่คงที่ เดี๋ยวดี...เดี๋ยวร้าย บางครั้งร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟนรกที่กำลังแผดเผาไหม้ บางครั้งเย็นเยียบราวกับแท่งน้ำแข็งแทงลึกเข้าไปถึงสุดขั้วหัวใจ
หลงอี้หลิงมองตามแผ่นหลังของฮ่องเต้ ซึ่งกำลังเดินจากไปจากห้องผู้พักฟื้นของเขา สองมือหนาของแม่ทัพหนุ่มกำหมัดแน่นเอาไว้อย่างเจ็บปวดใจ เพราะในเวลานี้ตนไม่อาจจะขัดพระบัญชาของฮ่องเต้ได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่ส่งแรงใจและพยายามสื่อไปให้ถึงนางเท่านั้น
'หลั่นเอ๋อร์ เจ้าจะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยให้ได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะดูแลปกป้องเจ้าไปจนแก่เฒ่า แม้ความตายก็ไม่สามารถแยกเราจากกันได้ ข้าให้สัญญาด้วยชีวิต'
หลายวันต่อมาร่างกายภายในของหลงอี้หลิงก็หายดีและกลับมาเป็นปกติ แต่เขากลับไม่เป็นอันกินอันนอนเพราะเป็นห่วงในอาการบาดเจ็บของฟ่งหลันหลั่น ถึงขนาดมีปัญหาพานกระทบไปถึงเรื่องงาน จนทำให้ขุนนางฝั่งกังฉินได้ฉวยโอกาสนี้ถวายฎีกาต่อองค์ฮ่องเต้เพื่อหวังเอาผิดเขา
ฮ่องเต้ไม่มีทางเลี่ยงอื่นและเพื่อไม่ให้แม่ทัพหนุ่มเสียการเสียงานจนอาจจะทำให้ตำแหน่งแม่ทัพของเขาสั่นคลอนได้ พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาห้ามไม่ให้หลงอี้หลิงออกจากจวนแม่ทัพแม้แต่ก้าวเดียว และหากเขาไม่ยอมปฏิบัติตาม คนทั้งจวนก็จะต้องรับโทษทัณฑ์ไปพร้อมกับเขา
ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้จางเก่อกับเข่อลั่วได้รับคำสั่งมาจากหลงฮูหยิน ให้ใช้วิธีการขั้นเด็ดขาด นายกองทั้งสองจึงฉวยโอกาสตอนที่แม่ทัพหนุ่ม ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ได้ล่ามโซ่ใส่กุญแจเขาและขังไว้ให้ห้อง และรอจนกว่าจะมีพระบัญชาใหม่จากองค์ฮ่องเต้
เวลาต่อมาหลงอี้หลิงก็เริ่มต่อต้าน เขาโวยวายและทำลายข้าวของอย่างบ้าคลั่งราวกับคนขาดสติ เพราะเพียงแค่ต้องการให้นายกงอทั้งสองยอมปลดพันธนาการและปล่อยให้เขาไปเยี่ยมนางอันเป็นที่รัก จนถึงขนาดขั้นทำร้ายตัวเอง
แม้ว่าหลงฮูหยินรวมทั้งทหารนายกองคนสนิทและเหล่าทหารในจวนแม่ทัพจะเป็นห่วงและเห็นใจเขาเพียงใด แต่ทุกคนก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะนี่เป็นรับสั่งของฮ่องเต้นั่นเอง
ในเวลานี้ ทุกคนที่รู้จักฟ่งหลันหลั่น ต่างก็พากันสวดภาวนาขอให้นางรอดปลอดภัยและฟื้นคืนสติมาเสียที รวมไปถึงฮ่องเต้และคนของสำนักหมอหลวงทุกคนเช่นกัน
ส่วนด้านกรมยุติธรรม พวกเขาก็ได้ตรวจสอบหาหลักฐานและข้อมูลเพื่อจะลงโทษคนทำผิดได้แล้ว หากแต่ต้องรอให้ฮ่องเต้ทรงมีบัญชาลงมาก่อน จึงจะเปิดการไต่สวนอย่างเป็นทางการได้
เรือนพยาบาลภายในสำนักหมอหลวง
หลายวันต่อมา ช่วงยามเซิน[1]ผู้ช่วยหมอฝึกหัดได้วิ่งหน้าตาตื่นเต้นดีใจเข้าไปหาหมอหลวงใหญ่ที่โรงยา ซึ่งเป็นสถานที่ต้มยาและจัดเตรียมยาสมุนไพรเพื่อรักษาคนไข้
"ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์ขอรับ! ฟื้นแล้ว คนฟื้นแล้วขอรับ!"
แฮ่ก แฮ่ก...
ผู้ช่วยหมอฝึกหัดร้องตะโกนเสียงมาแต่ไกลพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ
ในจังหวะที่ก้าวขาข้ามธรณีประตู ด้วยความรีบร้อนและผนวกกับชายผ้าสีขาวของชุดหมอที่ยาวรุ่มร่ามเกือบถึงข้อเท้า เกือบทำให้เขาแทบจะสะดุดขาของตัวเองล้มหน้าคะมำ
หมอหลวงใหญ่กำลังยืนกำชับผู้ช่วยหมอแผนกต้มยาในเรื่องการจัดเตรียมตัวยาสูตรใหม่ ที่จะนำไปทดลองใช้รักษาอาการของผู้ไข้ และพอได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของผู้ช่วยหมอหนุ่มดังลอดเข้ามาในห้อง
เขาและทุกคนก็ได้ละมือและละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่ ก่อนจะพากันหันไปมองเป็นทางเดียวกัน
หมอหลวงวัยกลางคนท่านหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ หมอหลวงใหญ่ เห็นท่าทางซุ่มซ่ามลุกลนของผู้ช่วยหมอหนุ่มคนที่วิ่งตะโกนเข้ามา เขาก็เกิดความรำคาญตาและหงุดหงิดใจในความไม่สำรวมนั้นของอีกฝ่าย จึงได้ต่อว่าออกมาพร้อมกับสะบัดน้ำเสียงอย่างวางอำนาจ
[1] ยามเซิน (申:shēn) คือ 15.00 - 16.59 น.
"เอ้าระวังหน่อยสิ! เจ้านี่ช่างซุ่มซ่ามเสียจริง เดินเข้ามาดี ๆ ไม่เป็นรึไง ใครสั่งสอนให้เจ้าวิ่งเข้ามาในโรงต้มยาเยี่ยงนี้ หากเกิดพลาดหกล้มใส่หมอต้มยาหรือล้มใส่พวกถาดสมุนไพรเสียหายขึ้นมา เจ้าคงไม่มีปัญญาชดใช้เป็นแน่"
เมื่อผู้ช่วยหมอหนุ่มถูกตำหนิใส่หน้าอย่างแรงต่อหน้าหมอคนอื่น ๆ เขาถึงกลับหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันใด พลันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยอย่างสำนึกผิดในความไม่ยั้งคิดของตน
"ขะ ขออภัยขอรับ ต่อไปข้าน้อยจะระวังและจะวางตัวให้สำรวมมากกว่านี้และจะไม่วิ่งเข้ามาในโรงต้มยาอีกแล้วขอรับ ท่านหมอหลวงโปรดอย่าสั่งลงโทษข้าน้อยเลยนะขอรับ"
ผู้ช่วยหมอหนุ่มยืนก้มหน้าและห่อไหล่เข้าหากัน พร้อมทั้งกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
"เอาละ คนก็สำนึกผิดแล้ว ตำหนิดุด่าว่ากล่าวเตือนสติกันแต่พองาม ที่นี่ไม่ใช่ศาล ดังนั้นพูดคุยกันด้วยวาจาให้เข้าใจก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่อย่าได้ไปลงโทษให้เจ็บตัวกันเลย"
หมอหลวงใหญ่มีลักษณะของชายชราที่มีผมและหนวดเคราสีขาว จากบุคลิกการวางตัวและน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา แม้กระทั่งแววตาอ่อนโยน เขาจึงดูใจดีสมกับที่เป็นหมอรักษาผู้ไข้จริง ๆ
ผู้ช่วยหมอรีบหันไปกล่าวขอบคุณหมอหลวงใหญ่อย่างนอบน้อมทันที เพราะผู้ที่ถือครองตำแหน่งใหญ่สุดของสำนักหมอหลวงก็คือเขาผู้นี้ ดังนั้นหากเขากล่าวสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวทัดทาน
"ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่เมตตาต่อศิษย์ขอรับ"
"เอาละ ทีนี้เจ้าพูดมาอีกครั้งสิ ตั้งสติให้ดีและพูดช้า ๆ เมื่อกี้เจ้าต้องการจะบอกอะไรกับพวกเรากัน"
หมอหลวงใหญ่ได้ถามขึ้นถึงสาเหตุที่ผู้ช่วยหมอหนุ่มวิ่งหน้าตาตื่นเต้นเข้ามาในโรงต้มยาก่อนหน้านี้
ผู้ช่วยหมอหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ทันที
"อ้อ! ศิษย์เกือบลืมไปเลย แม่นางฟ่งท่านนั้นได้สติฟื้นกลับมาแล้วขอรับ แถมยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก เชิญท่านอาจารย์ใหญ่รีบจะไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่าขอรับ"
น้ำเสียงตื่นเต้นแกมประหลาดใจของผู้ช่วยหมอหนุ่มที่เผยออกมาในขณะที่เขากำลังกล่าว พานทำให้หมอหลวงใหญ่และหมอคนอื่น ๆ รวมทั้งคนของสำนักหมอหลวงภายในโรงต้มยาแห่งนี้ต่างก็ประหลาดใจในคำพูดและท่าทีของเขาเช่นกัน
"คนฟื้นขึ้นมาแล้วงั้นรึ!"
หมอหลวงใหญ่ย้ำถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง พร้อมทั้งเผยแววตาโล่งใจออกมาผ่านดวงตาสีขุ่นมัวของเขา
"ขอรับ! นางผู้นั้นเพิ่งฟื้นคืนสติมาเมื่อสักครู่นี้เอง ข้าน้อยจึงได้รีบร้อนมาเรียนท่านอาจารย์ใหญ่เฉกเช่นนี้"
ผู้ช่วยหมอหนุ่มตอบสวนกลับอย่างหนักแน่น และในทุกครั้งที่กล่าวถึงสตรีน้อยนางนั้น ดวงตาเขายังคงเบิกโตอย่างประหลาดใจเช่นเดิม
จากนั้นหมอหลวงใหญ่ก็ได้ตามผู้ช่วยหมอผู้นั้น เพื่อรุดไปยังเรือนพักฟื้นที่ฟ่งหลันหลั่นพักอยู่
จากนั้นไม่นาน ข่าวการฟื้นคืนสติของฟ่งหลันหลั่นก็ได้แพร่สะพัดจากสำนักหมอหลวง และกระจายออกไปทั่วทั้งวังและทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว จนเข้าไปถึงหูของแม่ทัพหนุ่มและคนของเรือนสกุลหลง ทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอการได้สติของนาง ต่างพากันดีใจเป็นอย่างมาก
ทันทีที่หลงอี้หลิงได้รับข่าวเขาก็ไม่ทนอยู่เฉยอีกต่อไป ถึงขนาดใช้กำลังภายในของตัวเองตัดโซ่ที่พันธนาการอยู่ขาดออกในคราวเดียว จากนั้นก็รีบรุดเดินทางเข้าวังและตรงดิ่งไปยังสำนักหมอหลวงทันที
เรือนพักฟื้นคนไข้ของสำนักหมอหลวง
ผ่าง!
แม่ทัพหนุ่มวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องพักฟื้นผู้ไข้ที่ฟ่งหลันหลั่นนอนรักษาตัวอยู่ โดยไม่สนใจว่าด้านนอกห้องจะมีทหารมหาดเล็ก เหล่าขันทีและข้าราชบริพาร เหล่าธารกำนัลที่ตามเสด็จฮ่องเต้ยืนเรียงแถวเฝ้ารออยู่ทางด้านนอก
ทางด้านฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยและกำลังทรงตรัสพูดคุยกับฟ่งหลันหลั่นเพื่อถามไถ่อาการบาดเจ็บ และยังมีหมอหลวงใหญ่รวมไปถึงหมอหลวงอีกสองคนยืนสำรวมอยู่ โดยเยื้องไปทางด้านข้าง
"หลั่นเอ๋อร์ ข้ามาหาเจ้าแล้ว!"
ทันทีที่แม่ทัพหนุ่มย่างกรายเข้ามาในห้องผู้ไข้ เขาก็ส่งเสียงบอกกล่าวนางอันเป็นที่รักอย่างห่วงใย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เห็นดวงหน้าของนาง เพราะฮ่องเต้ได้ทรงประทับบังทิศทางไว้อยู่นั่นเอง
ฮ่องเต้ได้ยินเสียงของแม่ทัพหนุ่ม พระองค์จึงทรงเบือนพระพักตร์หันมาทางฝั่งประตู พร้อมกับทรงพระสรวลออกมาเบา ๆ และตรัสแซวขึ้น
"อวี้หลัน เจ้าดูเอาเองเถิด ว่าแม่ทัพของเรารักและเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน ขนาดทำให้เขาถึงกับลืมกฎมณเฑียรบาลและขนมธรรมประเพณีของคนในวังหลวง ว่าจะต้องปฏิบัติตัวเช่นไรเมื่ออยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้"
หลงอี้หลิงถูกฮ่องเต้กล่าวแซว จึงรีบกล่าวขออภัยในทันที
"ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
และพระดำรัสของฮ่องเต้ได้ทำให้เขาเสียอาการจนเผลอหลุดความเคอะเขินและวางตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
ผนวกกับพระสรวลของฮ่องเต้ ได้ทำให้ทุกคนในนั้นก็พลอยคลายความตึงเครียดที่มีก่อนหน้านี้ลงได้พอสมควร
"เอาละ ๆ อยู่เป็นมารขัดขวางความสุขคนอื่นมันเป็นบาป พวกเรารีบออกไปกันเถอะ จะได้ปล่อยให้คู่รักเขาพูดคุยกัน"
ก่อนจากไปฮ่องเต้ยังคงตรัสแซวแม่ทัพหนุ่มของตนทิ้งท้ายไว้
บนโลกใบนี้คนที่ทำให้หลงอี้หลิง แม่ทัพหนุ่มจอมอหังการผู้นี้ร้อนรนใจและเสียอาการจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ เห็นทีคงจะมีอวี้หลันหรือฟ่งหลันหลั่นผู้นี้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
"ขอบพระทัยเพคะ"
และจังหวะที่ฮ่องเต้ทรงขยับพระวรกายลุกขึ้นยืนนั้น
หลงอี้หลิงก็เริ่มมองเห็นดวงหน้างามของสตรีอันเป็นที่รักของเขา ชุดผู้ไข้สีขาวเผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับราวน้ำหมึก ทิ้งตัวสยายลงมาปกคลุมหัวไหล่จนถึงช่วงข้อศอก ซึ่งมือของนางได้ยกไปวางไว้บนตักของตัวเอง
แม่ทัพหนุ่มยืนกำหมัดแน่นและพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ข่มใจตัวเองไม่ให้รีบพุ่งเข้าไปหานางอันเป็นที่รัก เพราะต้องสำรวมรอให้ฮ่องเต้และทุกคนเดินออกไปจากห้องให้หมดเสียก่อน
ช่วงที่ฮ่องเต้กำลังทรงเสด็จผ่านแม่ทัพหนุ่ม พระองค์ทรงหยุดยืนข้างกายเขา และได้วางพระหัตถ์แตะลงบนไหล่อันกว้างและแข็งแรงของอีกฝ่าย พร้อมกับตรัสขึ้นอย่างอ่อนโยน
"ไม่ต้องอดทนแล้ว รีบไปดูแลสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าเถิด หลังจากวันนี้ไป พวกเราจะได้จัดการปัญหาในเรื่องที่มันยังค้างคาอยู่ให้จบลงเสียที"
พระดำรัสของฮ่องเต้เสมือนเป็นกุญแจปลดล็อกให้กับแม่ทัพหนุ่ม
หลงอี้หลิงไม่รอช้าอีกต่อไป เขารีบพุ่งตัวไปยังเตียงผู้ไข้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับโผสวมกอดนางอันเป็นที่รักเอาไว้อย่างแนบแน่น
"หลันเอ๋อร์! เจ้าฟื้นแล้ว! นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปหากข้าไม่อนุญาต เจ้าห้ามทำให้ตัวเองเจ็บตัวอีกเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่"
แม้ว่าถ้อยคำของแม่ทัพหนุ่มจะฟังดูเหมือนกำลังตำหนินาง แต่สัมผัสและอ้อมกอดอันอ่อนโยนของเขาที่มอบให้กับสตรีผู้นี้ มันเต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ
ฟ่งหลันหลั่นโอบกอดเขากลับอย่างแนบแน่นเช่นกัน พร้อมกับตอบกลับสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเบาหวิวดุจสายลม
"อื้ม!...ข้าให้สัญญา"
น้ำตาที่กำลังหยดแหมะลงบนพวงแก้มทั้งสองข้างของดวงหน้างามซึ่งไหลรินออกมาในขณะนี้ ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งดีใจ และความรักที่นางก็มีต่อเขาอย่างสุดหัวใจเช่นกัน
...
เซียงไค 盛開