สำนักหมอหลวง
ณ เรือนพยาบาลของสำนักหมอหลวง
หมอหลวงและผู้ช่วยหมอทุกคนต่างก็กำลังดำเนินการช่วยถอนพิษที่อยู่ในร่างกายของฟ่งหลันหลั่นด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายโลหิต และผู้ที่เสียสละในครั้งนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลงอี้หลิง
แต่เนื่องด้วยวิธีการถอนพิษในครั้งนี้ เป็นเพียงการบันทึกไว้ในตำราแพทย์โบราณ อีกทั้งสำนักหมอหลวงไม่มีหมอคนใดเป็นผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านพิษเลยสักคน จึงยากที่จะคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะสามารถช่วยคนได้จริงหรือไม่
ดังนั้นนี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่หมอหลวงทุกคนต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม หากว่าเกิดข้อผิดพลาดฉุกเฉินอันใดขึ้นมา
และอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ ซึ่งได้สร้างความกดดันให้กับหมอหลวงทุกคนที่ร่วมมือช่วยการรักษาผู้ไข้ในครั้งนี้ยิ่งนัก นั่นก็คือสถานะของหลงอี้หลิงกับสถานะของสตรีน้อยนางนี้ หนึ่งคนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้มากความสามารถและเป็นคนสำคัญของแคว้น
อีกหนึ่งแม้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจน แต่หมอหลวงตำแหน่งสูง ๆ ในห้องนี้ต่างก็พอจะรับรู้ข้อมูลมาบ้างแล้วว่านางผู้นี้อาจจะเป็นองค์หญิงอวี้หลัน พระธิดาในองค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน หากมีอันใดผิดพลาดขึ้นมา ทุกคนคงมิอาจจะรอดพ้นอาญาหลวงไปได้เป็นแน่ หมอหลวงทุกคนต่างคิดเช่นนั้น
รวมทั้งเหล่าข้าบริวาร ต่างพากันวิ่งวุ่นจนขาแทบขาขวิด โถหลายใบถูกบ่าวของเรือนพยาบาลทยอยขนออกมาและนำใบใหม่เข้าไปผลัดเปลี่ยนอย่างไม่ขาดสาย เพราะตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วยาม สำหรับการถอนพิษให้กับฟ่งหลันหลั่น
สีจากของเหลวในโถที่ถูกนำออกมาจากเรือนพยาบาลมีลักษณะเป็นสีม่วงดำคล้ำ กลิ่นเหม็นคาวลอยฟุ้งออกมาจากโถราวกับของเน่าเสียมานานจนคนที่ถือโถอยู่จะต้องใช้ผ้าขาวผูกปิดไว้ครึ่งหน้า และหมอหลวงใหญ่กำชับย้ำไว้ว่าห้ามนำไปเททิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นเด็ดขาด เพราะนั่นคือเลือดพิษที่ถูกถ่ายออกมาจากร่างกายของฟ่งหลันหลั่นนั่นเอง
ในขณะที่ทุกคนกำลังเร่งมือกันอยู่เพื่อแข่งกับเวลา จู่ ๆ ก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
หมอหลวงฝึกหัดคนหนึ่งไม่ทันระวังตัว ด้วยความเร่งรีบผนวกกับอาการอ่อนล้าเพราะทำงานหนักมาหลายชั่วยามโดยไม่ได้หยุดพัก ร่างกายเลยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกะทันหัน จึงทำให้จังหวะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน มือของเขาก็ดันเผลอไปโดนเข้ากับท่อที่ใช้สำหรับถ่ายลำเลียงเลือดของแม่ทัพหนุ่มเข้าสู่ร่างกายของฟ่งหลันหลั่นหลุดออกจากลำแขนของสตรีน้อยทันที
ในขณะที่เลือดเสียกำลังไหลออกจากข้อมืออีกข้างของเจ้าตัว ส่วนมืออีกข้างแทนที่จะมีเลือดใหม่ถูกหล่อเลี้ยงเข้าไป เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายเกิดความสมดุล แต่กลับต้องหยุดชะงักไป
เจ้าของเรือนร่างที่กำลังนอนเป็นผู้ไข้อยู่บนเตียงจึงเกิดอาการช็อก ธาตุทั้งห้าในร่างกายปรวนแปร หยินหยางไม่คงที่ และเป็นสาเหตุให้สตรีน้อยกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก
ส่วนลำท่อที่ต่อเข้ากับข้อมือของแม่ทัพหนุ่มก็ได้หลุดออกมาเช่นกัน ทำให้โลหิตสีแดงฉานพุ่งฉูดใส่ตัวของหมอหลวงจนชุดสีขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีชาดทันทีทันใด และเลือดของแม่ทัพหนุ่มยังกระเซ็นซ่านไปทั่วตัวคนไข้ทั้งสอง รวมทั้งพื้นบริเวณโดยรอบอย่างกับจิตรกรกำลังสะบัดปลายพู่กันเพื่อกำลังลงสีในภาพวาดของตน
ผู้ช่วยหมอหลวงตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้ายิ่งนัก จนหน้าเขาเปลี่ยนสีดูซีดขาวราวไก่ต้ม สองขาอ่อนเปลี้ยทิ้งตัวนั่งก้นกระแทกอย่างหมดแรง นั่งตัวแข็งทื่อแต่มือของเขาสั่นระริกเพราะกลัวความผิด
หมอหลวงคนหนึ่งหันมาเห็นเข้า ด้วยความตกใจแกมกังวลกับสถานการณ์ฉุกเฉินตรงหน้า เขาจึงได้เอ็ดผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นเสียงเขียว
"ฉิบหายละ! นี่เจ้าทำบ้าอะไรลงไป!" หมอหลวงผู้ที่ควรจะสำรวมและใจเย็น ตอนนี้เขาถึงกับสติหลุด เผลอกล่าวคำสบถออกมา
"ขะ ข้าน้อยขอโทษ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ มะ มันเป็นอุบัติเหตุขอรับ" ผู้ช่วยหมอหลวงตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือเท้ายังคงสั่นระริกด้วยกลัวความผิด
หมอหลวงต่อว่าผู้ช่วยหมออีกเป็นการยกใหญ่ พลางเข้าไปดันตัวอีกฝ่ายให้ถอยร่นออกไปจากที่เกิดเหตุ
"ถอยไปซะ! ถ้าเจ้าไม่พร้อมจะช่วยผู้ไข้ก็ไปอยู่ที่โรงยาโน่น ขืนอยู่ที่นี่ต่อ ก็รังแต่จะเกะกะคนอื่นเขา" พอเขาต่อว่าผู้ช่วยหมอหลวงเสร็จปากก็ตะโกนเรียกท่านหมอใหญ่
"ท่านอาจารย์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ ท่านรีบเข้ามาข้างในเพื่อดูผู้ไข้ทั้งสองด้วยเถิด"
ส่วนมือก็รีบพยายามห้ามเลือดของแม่ทัพหนุ่มเอาไว้ก่อนที่เลือดเขาจะไหลทิ้งออกจนหมดตัว
โดยทิ้งให้สตรีน้อยรอไปก่อนจนกว่าหมอหลวงคนอื่นเข้ามาช่วยเสริมทัพ
เมื่อเสียงของหลวงคนที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ได้ตะโกนดังขึ้นอย่างตกใจ หมอหลวงทุกคนก็ได้วิ่งหน้าตื่น กรูกันเข้ามายังห้องรักษาของผู้ไข้ทั้งสอง
หมอหลวงใหญ่เองก็วิ่งด้วยสีหน้าตื่นตกใจเข้ามาในห้องผู้ไข้อย่างกระหืดกระหอบเพราะวัยชรา และตรงปรี่เข้าไปจับข้อมือของสตรีน้อยเพื่อตรวจดูชีพจรทันที นาทีต่อมาเขาก็เผยสีหน้าและแววตาวิตกกังวลใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
หมอหลวงหนุ่มผู้หนึ่งสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่ตรงขมับข้างขวาของอาจารย์ตน ด้วยความสงสัยเขาจึงเป็นตัวแทนของหมอหลวงคนอื่น ๆ ในที่นั้นเอ่ยถามขึ้น
"ท่านอาจารย์ อาการของนางเป็นยังไงบ้างขอรับ เหตุใดสีหน้าท่านถึงได้ดูหวั่นวิตกเช่นนั้น"
เฮ้อ...หมอหลวงใหญ่ทอดถอนใจอย่างแรง ก่อนจะตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี
"เห็นทีพวกเราคงเวลาเหลือไม่มากแล้ว หากไม่เร่งดำเนินการช่วยคนให้สำเร็จ ธาตุไฟทั้งห้า และจุดหยินหยางที่อยู่ภายในของร่างกายนี้คงจะแตกซ่านและถึงขั้นทำให้เสียชีวิตเป็นแน่" น้ำเสียงของหมอหลวงใหญ่ ทำให้หมอหลวงคนอื่น ๆ ได้ฟังต่างก็เผยสีหน้าตึงเครียดและหวั่นวิตกกังวลใจหนักไปตาม ๆ กัน เพราะนั่นหมายถึง หากช่วยคนได้ไม่ทันการณ์ เกรงว่าคราวเคราะห์ครั้งใหญ่คงจะมาเยือนพวกเขาเป็นแน่
"เช่นนั้น...พวกเราควรจะทำยังไงกันดีขอรับท่านอาจารย์ เพราะตอนนี้ท่านแม่ทำหลงเองก็สูญเสียเลือดไปมาก และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปแม้ว่าท่านแม่ทัพจะมีร่างกายแข็งแรงกำยำแค่ไหน ข้าเองก็เกรงว่าเขาคงจะไม่อาจจะอดทนฝืนได้ไว้อีกนานนัก"
หมอหลวง คนที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เป็นคนแรกได้กล่าวเสริมต่ออย่างกังวลใจ
เมื่อหมอหลวงใหญ่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ลูบเคราสีขาวยาวของตนและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งให้ผู้ช่วยหมอนำกระเป๋าประจำตัวของตนเข้ามา
จากนั้นหมอหลวงใหญ่ก็ตัดสินใจทำการฝังเข็มเพื่อเปิดจุดชีพจรต่าง ๆ ของฟ่งหลันหลั่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และทุกการฝังเข็มท่านหมอตั้งมั่นในสติและมีสมาธิแน่วแน่ มือต้องนิ่งและแม่นยำ
ท่ามกลางสายตาของหมอหลวงคนอื่น ๆ ที่เฝ้าจับตามองและเรียนรู้วิธีการรักษานี้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อหมอหลวงใหญ่ได้ทำการเปิดจุดชีพจรให้ฟ่งหลันหลั่นขึ้นมาอีกครั้งจนเสร็จเรียบร้อย เขาก็หันไปสั่งให้หมอหลวงคนอื่น ๆ เร่งมือทำหน้าที่ของตนทันที
"พวกเจ้าทุกคนจงตั้งมั่นในสมาธิและมีสติอยู่กับตัว จงนึกถึงความรู้ในวิชาแพทย์ของตนที่ได้ร่ำเรียนมา อย่าได้ตระหนกตกใจกลัวจนพานขาดสติ ขอให้พวกเจ้าจงทำหน้าที่ของตนอย่างสุดกำลังอย่างเต็มที่เพื่อช่วยคนไข้ ห้ามถอดใจไปกลางคันเด็ดขาด ยึดมั่นในจรรยาบรรณ หมอจะต้องรักษาผู้ไข้ของตนจนสุดความสามารถที่มี เข้าใจหรือไม่"
เสียงของหมอหลวงใหญ่พูดเตือนสติและให้กำลังใจหมอหลวงคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ขอรับท่านอาจารย์!" หมอหลวงทุกคนต่างก็ตระหนักในหน้าที่ของตน จึงขานรับขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างพร้อมเพรียง
และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาในการช่วยคน
ทุกคนจึงร่วมมือร่วมใจและพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยชีวิตทั้งของฟ่งหลันหลั่นและแม่ทัพหนุ่มให้รอดปลอดภัยให้จงได้
พระตำหนักของฮ่องเต้
ด้านฮ่องเต้ เมื่อทรงได้รับรายงานจากสำนักหมอหลวงถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของแม่ทัพหนุ่ม พระองค์จึงทรงเสด็จรุดไปยังสำนักหมอหลวงอย่างร้อนพระทัยทันที
สำนักหมอหลวง
และทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จไปถึงสำนักหมอหลวง พระองค์ก็ทรงถูกเชิญให้ไปประทับรออยู่ยังโถงรับรอง ซึ่งก็ทรงยอมปฏิบัติตามกฎของที่นั่นแต่โดยดี เพราะทรงตระหนักดีว่า ตอนนี้เป็นขั้นตอนการรักษาผู้ไข้ดังนั้นผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ก็ไม่อาจจะเข้าไปเกะกะและขัดขวางการรักษาได้
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม น้ำชาชั้นเยี่ยมของสำนักหมอหลวงถูกนำมาถวายให้กับฮ่องเต้จำนวนไม่น้อย แต่พระองค์ทรงเป็นห่วงคนทั้งสองจึงไม่ยอมเสวยน้ำชาเลยสักนิด
แถมพระองค์ยังทรงเสด็จเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องโถงจนเหล่าธารกำนัลและข้ารับใช้ที่ตามเสด็จมาด้วยต่างก็พากันเวียนศีรษะไปตาม ๆ กัน
"ฝ่าบาททรงโปรดพระทัยเย็นและไว้วางพระทัยในตัวท่านหมอหลวงใหญ่เถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ร้อนพระทัยและเสด็จเดินวนไปมาและไม่ยอมประทับอยู่กับที่ แถมก็ยังทรงไม่ยอมเสวยน้ำชาเยี่ยงนี้ หากทรงพระประชวรขึ้นมาอีกคน บ่าวและคนอื่น ๆ เห็นทีคงได้ต้องโทษทัณฑ์ทุกคนเป็นแน่"
ขันทีคนใหม่ที่ถูกเรียกตัวมารับใช้เพื่อสนองพระบาทของฮ่องเต้ ได้ทูลถวายคำพูดเพื่อเตือนสติเจ้านายอย่างสุขุม
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
ฮ่องเต้ทรงหยุดเคลื่อนไหวพระวรกายและทรงยืนประทับอยู่กับที่ แต่ทว่าสายพระเนตรกลับทอดมองออกไปยังประตูของห้องโถงด้วยพระทัยจดจ่อ
"นี่มันก็นานมากแล้ว เหตุใดท่านหมอหลวงใหญ่ถึงไม่ส่งใครมารายงานต่อเราถึงอาการของสองคนนั้นกับเราเสียที"
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามขึ้นกับขันทีด้วยพระสุรเสียงกังวล
"ทูลฝ่าบาท ท่านหมอหลวงใหญ่และท่านหมอหลวงคนอื่น ๆ ทุกคนคงกำลังพยายามทำหน้าที่ของตนและคงเร่งมือช่วยกันรักษาผู้ไข้อยู่เป็นแน่ ขอพระองค์ทรงโปรดพระทัยเย็นลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
ขันทีได้กล่าวเสริมอย่างใจเย็น
ฮ่องเต้จึงทรงเงียบไปอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูปและแล้วช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลง
หมอหลวงใหญ่ได้เดินเข้ามายังห้องโถงรับรองของสำนักหมอหลวงด้วยสีหน้าราบเรียบ
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมอหลวงใหญ่เดินเข้ามา พระองค์เกิดอาการเก็บทรงไม่อยู่ ด้วยความร้อนพระทัยเพราะเป็นห่วงคนยิ่งนัก จึงทรงปรี่ตรงเข้าไปหาหมอหลวงใหญ่และทรงชิงถามขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูด
"เป็นยังไงบ้าง ช่วยคนได้หรือไม่"
หมอหลวงใหญ่ถวายบังคมทำความเคารพฮ่องเต้อย่างนอบน้อม และทูลถวายคำตอบอย่างใจเย็น.
"ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ทั้งสองคนพ้นขีดอันอันตรายแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพอาจจะต้องนอนพักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้ร่างกายคงเริ่มฟื้นตัวและได้สติกลับมา แต่ระยะนี้ควรให้ท่านแม่ทัพงดออกแรงหนักและงดฝึกยุทธ์เอาไว้ก่อน และห้ามใช้กำลังภายในสักสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อฮ่องเต้ทรงได้ยินว่าแม่ทัพหนุ่มปลอดภัยแล้ว พระองค์ก็ทรงคลายความกังวลลง แต่ยังไม่ทันที่หมอหลวงใหญ่จะทูลถวายรายงานจบ ด้วยความเป็นห่วงในตัวหญิงสาวอีกคน ฮ่องเต้จึงทรงถามแทรกขึ้นอีกครั้ง
"แล้วอาการของฟ่งหลันหลั่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง ท่านสามารถถอนพิษนั้นออกจากร่างกายให้นางได้หรือไม่"
"พระอาญามิพ้นเกล้า กราบทูลฝ่าบาทตามตรง หม่อมฉันและหมอหลวงคนอื่น ๆ...พวกเราทุกคนได้พยายามทำการรักษาผู้ไข้จนสุดความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี และพิษร้ายได้ถูกถอนพิษออกมาจนเกือบหมด แต่เนื่องด้วยระยะเวลาที่พิษเข้าสู่ในร่างกายนั้นมันนานจนเกินไป จึงไม่อาจจะขจัดออกมาได้จนหมดสิ้น...ส่วนนางจะฟื้นคืนสติได้เมื่อไร...เรื่องนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับฟ้าเบื้องบนลิขิตพ่ะย่ะค่ะ"
หมอหลวงใหญ่กล่าวจบ เขาก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อรอรับอาญาลงโทษจากฮ่องเต้ เพราะรู้ความผิดของตน
ฮ่องเต้องค์นี้ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้ซึ่งเหตุผล เมื่อหมอหลวงทูลรายงานตามจริงว่าทุกคนทำสุดความสามารถ พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัย
และอีกทั้งก็ทรงรู้ดีว่าในสำนักหมอหลวงไม่มีหมอคนใดมีความรู้เชี่ยวชาญด้านพิษโดยตรง แถมสีหน้าอันซีดเซียวไร้เลือดสูบฉีดและอาการเหนื่อยล้าอิดโรยของหมอหลวงใหญ่ พระองค์จึงทรงเข้าพระทัยว่าทุกคนได้พยายามเต็มที่แล้ว จึงทรงเข้าไปประคองตัวหมอหลวงใหญ่ให้ลุกขึ้นยืน
"ท่านหมอหลวงโปรดลุกขึ้นเถิด เราเข้าใจดีว่าทุกคนทำเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ผงปลิดชีพเป็นยาพิษเฉพาะ หากไม่ได้ยาถอนพิษจากผู้สร้างมัน เห็นทีคงยากที่จะขับพิษร้ายให้ออกมาจากร่างกายได้จนหมดสิ้น ครั้งนี้นับว่าพวกเขาสองคนมีวาสนาต่อกัน แม่ทัพหลงถึงได้สละชีวิตของตนเพื่อช่วยนางเอาไว้...ที่เหลือต่อจากนี้ ก็สุดแล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต ดั่งที่ท่านหมอกล่าว"
ฮ่องเต้ตรัสกับหมอหลวงใหญ่อย่างเข้าพระทัยในเหตุผลของความจริงและสัจธรรมของมนุษย์ข้อนั้น พลางเอี้ยวพระวรกายและทอดพระเนตรไปทางเรือนพักฟื้นของผู้ไข้ จากนั้นก็ทรงตรัสขึ้นลอย ๆ
"องค์หญิงอวี้หลัน เจ้าเคยรอดพ้นจากเงื้อมมือของพญามัจจุราชมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ เราก็ขอภาวนาให้เจ้ารอดผ่านเคราะห์กรรมนี้ไปให้ได้เช่นกัน มิเช่นนั้น หลงอี้หลิง แม่ทัพหนุ่มของเราคงได้ตรอมใจจนวันตายเป็นแน่ หากเขาฟื้นขึ้นมาแล้วไม่ได้พบหน้าเจ้าอีกครั้ง"
ด้านหลงอี้หลิงและฟ่งหลันหลั่น ต่างก็นอนพักฟื้นร่างกายอยู่ในเรือนพักฟื้นของผู้ไข้ ซึ่งได้แยกชายหญิงอย่างชัดเจนตามธรรมเนียมถือปฏิบัติ
ฟ่งหลันหลั่นหรือองค์หญิงอวี้หลันจะฟื้นสติกลับมาเป็นปกติหรือไม่ เห็นทีเรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตจริง ๆ เสียแล้ว และหวังว่าเคราะห์กรรมนี้ จะเป็นคราวเคราะห์อันสุดท้ายในชีวิตของนางเช่นกัน
....
เซียงไค 盛開