ตอนที่ 159 เริ่มต้น
หวู่สิงเหวินจ้องมองไปยังสามปราชญ์ หัวใจของเขาร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าฝั่งเขามีเหตุผลมากพอที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำนั้นมันยุติธรรม และแม้ว่านางเซียนไป่ฮั่วจะโกรธเกรี้ยวจากการกระทำดังกล่าวนี้ ท่านอาจารย์เองก็สมควรที่จะหันมาปกป้องเขา
และหวู่สิงเหวินก็มั่นใจว่า แม้กระทั่งนักพรตเป่ยหยวนที่มักจะไม่เหลือบมองสิ่งใด อย่างน้อยเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวดังกล่าว ท่านก็ต้องเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเขา
ฉะนั้น ไม่ว่านางเซียนไป่ฮั่วทรงพลังมากเพียงใด แต่การที่หนึ่งปราชญ์จะต้องรับมือกับสองปราชญ์ ต่อให้เป็นนางก็คงจะฝืนทนได้เพียงไม่กี่ลมหายใจ
และเมื่อเวลานั้นมาถึง ตามแผนของหวู่สิงเหวิน เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนในภาพลักษณ์ที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงนางเซียนไป่ฮั่ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสองปราชญ์ เธอก็มิอาจแตะต้องเขาได้
นอกจากนี้ แผนการดังกล่าวยังเป็นการโจมตีศักดิ์ศรีของนิกายร้อยบุปผาโดยตรง เป็นการเอาคืนในช่วงการทดสอบประจำปีที่พึ่งผ่านพ้นมา
และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของกู่ฉิงซานก็จะเหม็นโฉ่ สมญาสิบห้าดาบไร้สาระอะไรนั่นก็จะกลายเป็นเพียงแค่คำผายลม!
อาจกล่าวได้ว่ามันคือการขว้างก้อนหินเพียงหนึ่ง ทว่ากลับฆ่านกได้ถึงสามตัว!
ทว่าใครจะรู้ สามปราชญ์เพียงเหลือบสายตามองกันวูบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ไม่คิดจะปกป้องเขา แต่แม้กระทั่งนักพรตเป่ยหยวนก็ยังถึงกับอ้าปากค้าง
อ่าว...เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
หวู่สิงเหวินรู้สึกงุนงงราวกับสมองของกำถูกกำแพงอะไรบางอย่างมาขวางกั้น เพื่อป้องกันมิให้ตนเองฉุกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เซี่ยวโหลวเจ้าจงกลับไปร่วมทำภารกิจเดิมที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์ ส่วนฉิงซาน เจ้าจงมากับข้า” นางเซียนไป่ฮั่วสะบัดมือ และกู่ฉิงซานก็ลอยขึ้นไปยืนบนเมฆเบื้องหลังเธอ
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ฉินเซี่ยวโหลวกลับกลายเป็นสุขยิ่ง ก่อนเดินกลับไปเขายังอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองหวู่สิงเหวินอยู่วูบหนึ่ง
“ปัญหาในครั้งนี้ ข้าจะละความสนใจจากมันไว้ก่อนชั่วคราว” นางเซียนไป่ฮั่วพยายามอดกลั้น ผ่านไปนานจึงเอ่ยปากออกมา
“นั่นสินะ ยามนี้มีบางสิ่งที่สำคัญกว่าจำต้องไปสะสาง เรื่องศิษย์ของเจ้า ไว้เราค่อยมาให้ความเป็นธรรมแก่เขาในภายหลัง” น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าวกระตุ้น
หวู่สิงเหวินพอได้ฟัง ใจของเขาก็พลันตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ไม่มีว่างพอสำหรับการกู้คืนสถานการณ์แล้ว
เป่ยหยวนจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธมากมายที่ส่งสายตามาด้วยความหวัง เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น “อามิตตาพุทธ เพื่อที่จะค้นหาสายลับคนทรยศ เรานักปราชญ์ได้บังเอิญค้นพบเทคนิคมนตราแยกแยะชนิดหนึ่ง ทว่ามันจำเป็นต้องให้ทุกคนในกองทัพ ทำการส่งมอบอาวุธ ถุงสัมภาระ และถุงอสูรวิญญาณมาตรวจสอบด้วยตนเองในเต็นท์หลักของค่ายต้าซางแห่งนี้ โดยจะมีข้า ปราชญ์แห่งนิกายพุทธะเป็นผู้จัดการ รับรองว่าจะสามารถระบุตัวสายลับคนทรยศได้อย่างแน่นอน”
“ทันทีที่เสร็จสิ้นกระบวนการระบุตัวสายลับคนทรยศ พวกเราจะมุ่งไปยังธารเมฆามาร และเริ่มสงครามขั้นแตกหักกับเผ่ามารทันที!”
“ขอรับ!”
เหล่าผู้ฝึกยุทธขานรับอย่างพร้อมเพรียง
ในเมื่อท่านนักพรตน่ะเป็นผู้ฝึกยุทธนักแก้ปัญหา เมื่อเขาลงมือจัดการด้วยตนเอง จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะกลับมามีกำลังใจฮึกเหิมกันได้อีกครั้งในที่สุด
ณ ขณะนี้ นางเซียนไป่ฮั่วได้นำตัวกู่ฉิงซานเข้าไปในเต็นท์ทหาร ส่วนน้อมสวรรค์ซวนหยวนได้จ้องมองไปยังผู้คนทั้งหมด เปิดปากเอ่ยกล่าว “สามนายพลติงหยวน จงก้าวออกมารายงานตัวเบื้องหน้า”
หวู่สิงเหวินได้ฟังก็ลังเล เขาเหลือบสายตามองไปยังนายพลชั้นติงหยวนอีกสองคน
เห็นแค่เพียงกงซุนซีกับภิกษุหมิงฮุ่ยก้าวเดินออกมาและติดตามน้อมสวรรค์ซวนหยวนไป
หวู่สิงเหวินยังยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม และจู่ๆ เขาก็รู้สึกขบขันท่าทีของตนเอง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดข้าจึงรู้สึกราวกับว่ามิต้องการติดตามเข้าไปยังภายใน?
หวู่สิงเหวินส่ายหัว ก่อนจะทิ้งความรู้สึกนี้ไป และเดินตามทั้งสามเข้าไปในเต็นท์ทหาร
เมื่อได้เห็นหวู่สิงเหวินเข้าสู่เต็นท์หลักของค่ายต้าซาง นักพรตเป่ยหยวนก็ถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดลงเล็กน้อย
“ยังคงพอที่จะสามารถช่วยเหลือได้…”
เขาเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงยากจะอธิบายเล็กน้อย ก่อนจะตามเข้าไปในเต็นท์ทหาร
หลังจากนั้นไม่นานนัก สามนายพลติงหยวนก็เดินออกมา
พวกเขาจัดแจงผู้ใต้บังคับบัญชา แบ่งแยกออกเป็นระเบียบ ตามแต่ละนิกายต่างๆ และส่งเหล่าผู้ฝึกยุทธเข้าไปในเต็นท์ทหารตามลำดับ
ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งออกมา อีกกลุ่มที่ต่อแถวเรียงรายกันเป็นแถวยาวก็เข้าไป
กระบวนการทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงบังเกิดฉากแปลกๆ ขึ้นในค่ายทหาร
เหล่าผู้ฝึกยุทธเข้าไปในเต็นท์ทหารด้วยสีหน้าว่างเปล่า และเดินออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ฝั่งผู้ฝึกยุทธที่กำลังต่อแถวเพื่อทำการรายงานตัว บางส่วนที่ค่อนข้างฉลาด พอจะฉุกคิดถึงความหมายแฝงของการกระทำในครั้งนี้ได้
สามปราชญ์เพียงแค่ให้พวกเขาเดินผ่านเข้าไปเท่านั้นเอง
เหตุผลที่จงใจทำเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะ ต้องการให้ผู้ฝึกยุทธได้ใกล้ชิดกับสามปราชญ์ จะได้ช่วยให้หัวใจของทุกผู้คนรู้สึกสงบและปลอดภัยมากขึ้น ก่อนที่จะเริ่มสงครามขั้นเด็ดขาดที่กำลังจะมาถึงนี้
“เป็นเช่นไรบ้าง”
“การกระทำเช่นนี้ของนักปราชญ์จะช่วยให้สามารถระบุตัวของสายลับคนทรยศได้อย่างไรกัน?”
“แล้วเทคนิคมนตราที่ว่านั่นมันคืออะไร?”
ผู้ฝึกยุทธบางส่วนที่มิได้ฉุกคิดสิ่งใด และยังมิได้เข้าไปภายใน ได้คว้าจับตัวบางคนที่พึ่งเดินออกมาจากเต็นท์ทหารและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นเทคนิคลับนิกายพุทธะ เจ้าจะรู้เองเมื่อเข้าไปข้างใน”
ผู้ฝึกยุทธที่ออกมายังคงอมพะนำ กล่าวให้ฟังดูลึกลับ
เมื่อผู้ฝึกยุทธทั้งหมดได้เข้าไปและออกมาจากเต็นท์ทหาร สามปราชญ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนแท่นเวที
มองไปยังรูปลักษณ์ของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย
ทว่าน่าแปลก จนกระทั่งตอนนี้ กลับยังไม่มีการเอ่ยกล่าวหรือระบุถึงตัวของคนทรยศเลย
แต่ดูเหมือนว่านักพรตเป่ยหยวนจะไม่มีความตั้งใจที่จะเอ่ยกล่าวถึงเรื่องนี้
ทั้งค่ายทหารจมสู่ความเงียบ และไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกมาว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่คือคนทรยศ
ท่ามกลางความเงียบนั้นเอง สามปราชญ์ก็ได้เอ่ยปากขึ้น
“เริ่มกันเลยไหม?” ซวนหยวนถาม
“จะแพ้หรือชนะ ทุกอย่างจะต้องจบลงที่นี่” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“อามิตตาพุทธ ขอพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ โปรดอวยพรให้แก่มนุษยชาติของอาตมาด้วยเถิด” นักพรตเป่ยหยวนกล่าว
ณ ธารเมฆามาร
ที่นี่คือธารน้ำอันกว้างใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้าพระราชวังมาร
แต่เดิมธารน้ำแห่งนี้มีชื่อว่า ธารเมฆา ทว่าภายหลังมารสวรรค์จากภายนอกได้มายังสถานที่แห่งนี้ และเปลี่ยนชื่อเรียกของมันเป็น ธารเมฆามาร
มีตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อหลายปีก่อน พระราชวังมารได้ปรากฏขึ้นที่นี่ ช่วงเวลานั้นเพื่อหลีกเลี่ยงและดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ เผ่ามารจากต่างโลกจึงใช้ออกด้วยวิชาลับ แยกสถานที่ดังกล่าวนี้ออกจากอาณาเขตโดยรอบ โดยมีธารน้ำคอยขวางกั้นเอาไว้โดยตรง
ภายในธารเมฆามารจะเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบตลอดทั้งวันคืน และหมอกเหล่านั้นจะลอยล่องคงอยู่กับที่ ไม่กระจัดกระจายออกไป ไม่ว่าจะเป็นนกหรือปลาก็มิอาจสามารถบินข้ามผ่านหรือแหวกว่ายในธารน้ำ แล้วยังคงรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้
หากมองจากภายนอก จะเห็นแค่ว่ามีเพียงยอดเขาเขียวชอุ่มไม่กี่ยอดเท่านั้นที่ทะลุชั้นเมฆหมอกขึ้นมาให้เห็นได้
หากผู้คนไม่ทราบถึงเรื่องนี้มาก่อน พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าสถานที่แห่งนี้ จะตกอยู่ในการครอบครองของเผ่ามาร
เบื้องหลังธารเมฆามารคือพระราชวังมาร
กล่าวกันว่าวังมารที่ว่านี้ แท้จริงแล้วแลดูคล้ายกับวิหาร
วิหารนี้ถูกสร้างขึ้นจากโลหะแข็งสีดำสนิท เชื่อมกันอย่างต่อเนื่องไร้ซึ่งรอยต่อ ไร้ซึ่งรูใดๆ เว้นเสียแต่เพียงมีประตูสีดำเท่านั้นที่เปิดอยู่
หากยืนมองจากภายนอก ในระยะไกลออกไป คุณจะสามารถมองเห็นแท่นบูชา และรูปสลักที่ดูทรงภูมิยืนอยู่
ทว่าเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านวิสัยทัศน์ ทำให้สามารถมองเห็นได้เพียงเสื้อคลุมขนนกบนร่างกายของเธอ ส่วนลักษณะอื่นๆ ของเธอนั้นมิอาจมองเห็นได้
บนแท่นบูชา ไม่มีใครรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร และรูปสลักของผู้ใดกันที่ยืนอยู่ที่นั่น มิอาจมีผู้ใดล่วงรู้ได้เลย
และไม่มีใครเคยแอบลอบเข้าไปในวิหารเพื่อค้นหาคำตอบ
ในช่วงเวลานั้น กงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน หลังจากที่กลับมาจากโลกเทวะ พวกเขาก็ต้องการที่จะลอบเข้าไปภายในวังมารเช่นกัน ทว่ากลับถูกพบตัวโดยพวกมารเสียก่อน
…
ณ ตำแหน่งเบื้องหน้าของธารเมฆามาร
เผ่ามารหลากชนิดกำลังจัดตั้งแถวเพื่อจัดเรียงกระบวนทัพ
พวกมันโห่ร้องคำรามอย่างหงุดหงิด เฝ้ารอคอยคำสั่งจากเบื้องบนด้วยใจที่กระวนกระวาย บัดนี้พวกมันหมายมั่นที่จะกระโจนเข้าใส่กองทัพของผู้ฝึกยุทธจนแทบคลั่งแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกมัน คือกองทัพของมนุษยชาติ
ผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติหลายพันคนยังคงเงียบ พวกเขาจ้องมองไปยังเผ่ามารอย่างสงบ มิได้เอ่ยอันใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
แต่ละกองกำลัง พรั่งพร้อมไปด้วยค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ ค่ายกลโจมตีก็ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธคว้าจับอาวุธในมือของพวกเขา
พวกเขาก็ยังคงเฝ้ารอคำสั่งไม่แตกต่างกัน
วันนี้ ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งสวรรค์และโลกก็ยังบังเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง ทำให้ตลอดทั้งวันนี้ แสงจากดวงอาทิตย์มิได้สาดส่องลงมาเลย
ท้องฟ้าเบื้องบน ปรากฏเมฆหนาสีทะมึนราวกับตะกั่ว ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ส่งผลให้บรรยากาศบนพื้นโลกเบื้องล่างมืดมนและเย็นเยียบ
กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน และกลองศึกก็เริ่มดังขึ้น
ทันใดนั้นเอง ปรากฏร่างถึงสิบสามร่างที่มีพลังอันน่าเกรงขามไร้ที่สิ้นสุด ลอยขึ้นมาจากทางฝั่งธารเมฆามารอย่างช้าๆ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะร่อนลงกลางระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย
มันเป็นชายชราร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมยาว
เขารวบผมยาวสีขาวเอาไว้ตรงไหล่ขวา สวมชุดคลุมยาวสีขาว ผิวหนังก็ยังซีดขาว คู่ดวงตาสีขาวขุ่นลากลงมาเป็นทางยาว ปรากฏรอยตีนกาเหี่ยวย่นอยู่ตามขอบตา หากยามเมื่อใบหน้านี้ได้หัวเราะออกมา สีหน้าท่าทางคงดูดุร้ายและสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
นี่คืออสูรเทวะที่ได้รับการสืบทอดทางสายเลือดจากพยัคฆ์ขาว เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพมานานแล้วเป็นเวลากว่าหลายร้อยปี นับเป็นหนึ่งในบรรดามารนักปราชญ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้คนต่างพากันเรียกขานเขาว่า ซินจุนจี
ซินจุนจียกมือขึ้น ปากอ้าหัวเราะและกล่าว “เราผู้ชราภาพอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดจึงยังมิเห็นสามปราชญ์ปรากฏตัวออกมาอีก?”
เมื่อเขาเริ่มเอ่ยวาจา อีกสิบสองร่างที่เหลือก็ร่อนตามลงมาอย่างเงียบๆ และหยุดยืนอยู่เบื้องหลังเขา
ทางฝั่งกองทัพมาร เมื่อพวกมันได้ยินเสียงของซินจุนจี ทุกตัวก็พลันหยุดเคลื่อนไหว มิกล้าเปล่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
ทันใดนั้นเอง เมฆจากตำแหน่งของมนุษยชาติค่อยๆ ร่อนลงมาช้าๆ ก่อนจะหยุดลงฝั่งตรงข้ามของซินจุนจี
พร้อมกับร่างของสามปราชญ์แห่งมนุษยชาติได้ปรากฏกายขึ้น
…………………………………..