webnovel

สุสานไพร

อาถรรพณ์ไพร ตอน สุสานไพร

"พวกคุณแน่ใจเหรอ...ว่าจะเข้าไปในนั้น"

พาซู หนุ่มกะเหรี่ยงพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงชัดเจนและชัดถ้อยชัดคำ เขาเป็นชายหนุ่มส่วนน้อยในหมู่บ้านที่ได้โอกาสลงไปเล่าเรียนในเมืองจนจบปริญญาตรี แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจตัดความสัมพันธ์กับบ้านเกิดได้ จึงกลับมาทำงานเป็นไกด์นำนักท่องเที่ยวท่องชมป่า ชมนกชมไม้ ปีนหน้าผา ตามเส้นทางที่ได้กำหนดเอาไว้

"พวกเราแน่ใจครับ แค่มองจากที่ไกลๆ ก็สวยสดงดงามขนาดนี้ ถ้าได้เข้าไปดูใกล้ๆ คงงดงามสุดเปรียบปาน พาเราไปเถอะนะครับ ผมจะเพิ่มค่าจ้างให้คุณสองเท่าเลย"

สายชลพูดอย่างเด็ดเดี่ยว บ่งบอกถึงความตั้งใจ พาซูหายใจเข้าลึกๆ สถานที่ที่คณะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อยากเข้าไปนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามของหมู่บ้าน ชาวบ้านเรียกกันว่า สุสานไพร เป็นที่เล่าลือกันว่าใครเข้าไปแล้วก็ไม่มีวันออกมาได้อีก พาซูรู้ตำนานเรื่องนี้ดี

"แต่มันอันตรายนะครับ ที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้าม เรียกว่า ปว่าสว่าโข่ ซึ่งแปลว่า สุสานป่า แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านยังไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำเข้าไปในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรเลยครับ อ้อ และยังมีการเล่าขานกันว่าใครที่เข้าไปในป่านี้แล้วจะไม่มีวันได้ออกมาอีก"

พาซูพยายามอธิบายถึงความน่ากลัวของสุสานไพร เขายังคงแปลกใจอยู่เสมอมา ไม่ว่าเขาจะพานักท่องเที่ยวคณะไหนมาเดินป่า พอมาถึงตรงนี้แล้วหยุดมองทิวทัศน์ทางสุสานไพร ทุกคณะมักจะร้องขอให้เขาพาไปที่นั่นเสมอ แต่ด้วยความกลัว เขาจึงปฏิเสธที่จะพาเข้าไป แต่ครั้งนี้เขาเองกลับต้องการค้นหาความลับในสุสานไพรเหมือนกัน จึงบังเกิดความลังเลขึ้นมา

"ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า เชื่อผมเถอะ ผีป่านางไม้ไม่มีในโลกหรอก มันเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก ผมไปเดินป่ามาไม่รู้กี่แห่งก็ยังไม่เคยเห็นผีสางนางไม้สักตัว ถ้ามีนางไม้นะ ผมจะเอามาเป็นเมียสักคน"

สายชลพูดจบก็หัวเราะดังลั่น นารี ปกรณ์ และละอองดาว ล้วนหัวเราะสนับสนุนสายชล มีแต่พาซูที่ยิ้มไม่ออก เขากำลังตัดสินใจว่าจะพาคนพวกนี้เข้าไปดีหรือไม่ วินาทีนั้นเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ มีเสียงหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง 'พาพวกเขาเข้ามา' เสียงที่ไม่มีที่มา เสียงแข็งกระด้าง เยือกเย็น ตอนแรกเขานึกว่ามโนไปเอง แต่พอได้ยินหลายๆ ครั้งก็แน่ใจว่าเป็นเสียงเรียกจากบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก ร่างกายก็สั่นเทาโดยมิอาจควบคุม

"นี่พาซู อย่าบอกนะว่าคุณกลัวจนสั่นไปทั้งตัวแบบนี้ โธ่ บอกแล้วไงไม่มีอะไรหรอก เราแค่ไปดูเฉยๆ ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร แค่ชมบรรยากาศและทิวทัศน์สักครึ่งชั่วโมงก็กลับแล้ว"

พาซูยังไม่ทันตอบคำถามละอองดาว ก็ได้เสียงประหลาดนั้นอีกครั้ง 'พาพวกเขาเข้ามา' ครั้งนี้เสียงดูจะนุ่มนวลกว่าครั้งก่อน พาซูมั่นใจว่าสิ่งลี้ลับในสุสานไพรกำลังพูดกับเขา ขณะที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้น ละอองดาวก็มุ่งหน้าเดินขึ้นเขาตรงไปทางสุสานไพร สายชลและพวกพยายามตะโกนเรียกก็ไม่ยอมตอบ ไม่ยอมหันกลับมา พาซูจึงรีบเดินตาม พาให้สายชล นารี และปกรณ์ต้องเดินตามไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ละอองดาวกลับเดินป่าได้อย่างคล่องแคล่ว ฝีเท้าว่องไวเกินสตรีในเมืองคนหนึ่งจะทำได้ เก่งกว่าผู้นำทางอย่างเขา แม้พาซูจะเร่งฝีเท้าปานใด ระยะห่างก็ยังคงเท่าเดิม กลายเป็นสายชล นารี และปกรณ์ ที่ถูกทิ้งห่าง ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็มาถึงปากทางเข้าสุสานไพร ปรากฏต้นตะเคียนยักษ์ขนาดสิบคนโอบสองต้นตั้งตระหง่านอยู่ ละอองดาวหยุดเดินทันที ร่างส่ายโงนเงนไปมา

"ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง สายชล นารี ปกรณ์ หายไปไหน"

ละอองดาวพูดเสียงสั่น พาซูเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน รีบเดินเข้าไปใกล้ละอองดาว พลางกล่าว

"พวกเขากำลังตามมาครับ... ขอถามหน่อยนะ ทำไมคุณถึงเดินมาทางนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเคยมาเลย แม้แต่ผมเองถ้าเดินมาเองอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่นี่คุณนำทางมาใช้เวลาสิบกว่านาทีเอง"

"ฉันไม่รู้ ตอนแรกรู้สึกเหมือนง่วงนอน พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมที่นี่ดูวังเวงจัง"

"แห่ก แห่ก พวกคุณเดินกันเร็วมาก ตามแทบไม่ทัน ดาวเธอเป็นอะไรไปนี่ เดินเร็วจนพวกเราตามไม่ทันเลย ดูสิ ปกรณ์หกล้มหัวฟาดก้อนหิน เลือดอาบหน้าหมดแล้ว"

นารีบ่นใส่ละอองดาว ดูหล่อนจะเหนื่อยมาก ถึงกับล้มตัวนั่งพื้น หอบหายใจถี่เร็ว สายชลกลับเดินผ่านพวกเขาไป เข้าไปลูบไล้ต้นตะเคียนยักษ์ด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจ ปกรณ์เองก็เดินตามสายชลไปติดๆ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ต้นตะเคียนขนาดสิบคนโอบตั้งตระหง่านโดดเด่นกว่าต้นไม้อื่นใด ดูน่าเกรงขามเหมือนเป็นพญาไพรในที่แห่งนี้

"ไม่เคยเห็นต้นตะเคียนใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่พบเห็นต้นตะเคียนแล้วรู้สึกขนลุกซู่ ปกรณ์นายถ่ายรูปให้ผมคู่กับต้นตะเคียนสองต้นนี้หน่อย"

ปกรณ์กดถ่ายรูปสองสามครั้งก็ปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล นารีจึงพยายามเอาผ้ามาซับ ใช้สำลีปิดปากแผล แต่ยิ่งปิดก็ปรากฏว่าเลือดยิ่งไหลมากกว่าเดิม ปกรณ์เริ่มร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขาเหวี่ยงกล้องกระเด็นไปด้านข้างพร้อมกับผลักนารีจนหงายหลัง ลุกขึ้นวิ่งเข้าป่าไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครจับเขาไว้ทัน สายชลกับพาซูรีบวิ่งตามไป นารีกับละอองดาวกอดกันกลมด้วยความหวาดกลัว

"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมปกรณ์ถึงเป็นแบบนี้ ดาว ดาว ฉันกลัว ฮือ ฮือ"

นารีพูดไปร้องไห้ไป สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าที่จะคาดคิด ยามนี้ความกลัวเข้ามาเกาะกุมส่วนลึกในจิตใจเสียแล้ว คนเมื่อมีความกลัวย่อมอ่อนแออย่างที่สุด ละอองดาวพยายามทำใจให้แข็ง โอบกอดเพื่อน พลางกล่าว

"มันเป็นแค่อุบัติเหตุ แกอย่างคิดมากนะรี ดูสิ ไม่มีอะไรเลย มันก็เป็นแค่ป่าเท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดจะมาทำร้ายเราได้ เดี๋ยวเราจะเข้าไปตามหาพวกเขาในนั้น เธอต้องไม่กลัวนะ"

"อืม อืม ฉันจะไม่กลัว ฉันไม่กลัว"

นารีรับคำแม้เสียงยังสั่นกลัวอยู่ ละอองดาวพยุงนารีลุกขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปของปกรณ์ตกอยู่ หล่อนจึงเดินไปหยิบมา แล้วเอามาคล้องคอไว้ หล่อนมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากป่า ต้นไม้ ใบหญ้าประหลาดที่ไม่อาจพบเห็นได้ในเมืองกรุง บรรยากาศวังเวงจนน่ากลัว ความเงียบก็มาเยือนในที่สุด

"เราไปกันเถอะ ฉันเริ่มกลัวแล้ว"

นารีกระซิบบอกด้วยเสียงสั่นเทา ละอองดาวพยักหน้าคราหนึ่ง ก็เดินนำหน้าไป ทั้งสองเดินตามทางที่ปกรณ์วิ่ง ยิ่งเข้าไป บรรยากาศยิ่งน่ากลัว อากาศเยือกเย็นจนบางทีพวกหล่อนคิดว่าสามารถทำให้หัวใจหยุดเต้นได้เลย ต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์ขึ้นเรียงรายเต็มไปหมด มีทั้งพันธุ์แปลกๆ ที่ทั้งสองไม่เคยพบเจอมาก่อน ต้นที่มีเกล็ดเหมือนงู ใบใหญ่เท่าฝาหม้อ เถาวัลย์ขนาดเท่าต้นขาห้อยย้อยยั๊วะเยี๊ยะเต็มไปหมด พาให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดแทบขาดใจตาย

"ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันหายใจไม่ออก ฉันกลัว กลัว...."

"ไม่นะ รีเธอต้องไม่กลัว เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เราจะตามหาพวกเขาให้พบ เธอต้องอดทนไว้ ป่านี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอกถ้าจิตใจเราเข้มแข็งสักอย่าง"

ละอองดาวปลุกปลอบใจตนเองและเพื่อนสาว แม้หล่อนเองจะรู้สึกกลัวมากแค่ไหนก็ตามก็ต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตของหล่อนและนารีคงต้องจบสิ้นที่นี่เป็นแน่แท้

"ทำไมถึงเงียบจัง ไม่มีเสียงของพวกเขาเลย"

นารีหันมาซักเพื่อนสาว ละอองดาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ เนื่องจากไม่รู้จริงๆ ได้แต่เดินหน้ามาเรื่อยๆ ก็เจอขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง ขอนไม้ที่ดูคล้ายจะผุผังได้ทุกเมื่อ แต่มันใหญ่มาก พาดยาวไปเป็นร้อยเมตร ดูไปก็คล้ายพญางูยักษ์ตัวหนึ่งที่กำลังสงบนิ่ง นารีจับแขนละอองดาวไว้แน่น หล่อนรู้สึกถึงลางอัปมงคล เมื่อบังเกิดความกลัวถึงขีดสุด คนเรามักจะได้กลิ่นแห่งความชั่วร้ายที่แฝงมากับสายลม

ละอองดาวไม่พูดไม่จา ก็ปีนขึ้นไปบนขอนไม้อย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ปีนขึ้นไปสำเร็จ เมื่อขึ้นมายืนบนขอนไม้สำเร็จ ภาพที่หล่อนเห็นแทบทำให้หล่อนช็อก ภาพแนวหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่เต็มป่า แนวหินที่แต่งแต้มด้วยสีนานาชนิด ดูเหมือนจะถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบแต่ก็ดูคล้ายกระจัดกระจายภายในตัวเช่นกัน สิ่งที่ลี้ลับกว่านั้นคือมีหมอกหนาบ้างจางบ้างอยู่สูงจากพื้นไม่เกินสามฟุต แทบจะมองไม่เห็นพื้นดิน

"ดาว ดาว ดึงฉันขึ้นไปด้วย"

หล่อนตื่นจากภวังค์ รีบดึงเพื่อนสาวขึ้นมาทันที ทั้งสองก้าวผ่านขอนไม้ไปได้ด้วยดี แต่สิ่งที่เผชิญอยู่ข้างหน้ากลับลี้ลับน่ากลัวกว่าที่พบเจอมาอีก ทุกย่างก้าวที่ย่ำเดินรู้สึกเหมือนเท้าหนักอึ้งกว่าปกติหลายเท่า แว่วเสียงสายชลดังมาแต่ไกล

"นารี นารี นารี เธออยู่ไหน"

"ฉันอยู่นี่ สายชล สายชล เธอมาหาฉันเร็ว"

นารีตะโกนสุดเสียง หล่อนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง มองซ้ายมองขวา แลหน้าดูหลัง แต่ก็ไม่มีแม้กระทั่งเงาของสายชล กลับกลายเป็นว่าเสียงของสายชลกลับเงียบหายไป นารีพยายามเดินซ้ายเดินขวาเพื่อตามหาสายชล แต่กลับไม่พบอะไรเลย ระหว่างนั้นละอองดาวหยิบกล้องมาดูภาพ หล่อนเปิดไปภาพแรกถึงกับตกตะลึง ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพที่ถ่ายตอนที่ปกรณ์โยนกล้องทิ้งปุ่มถ่ายภาพไปกระทบถูกบางสิ่งบางอย่างจนกล้องถ่ายภาพเอง

"ดาว ดาว เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลย"

นารีเดินเข้าไปแย่งกล้องจากมือละอองดาวมาดูภาพ แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ หล่อนปล่อยกล้องหลุดจากมือ กล้องหล่นลงกระแทกพื้นดังลั่น ภาพที่ปรากฏให้เห็นคือ มีหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งกำลังใช้นิ้วข่วนบาดแผลบนหัวของปกรณ์ด้วยท่าทางดุร้ายหมายชีวิต ดวงตาสีแดงฉาน ร่างกายถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาชั้นหนึ่ง เลือดที่ไหลอาบหน้าปกรณ์เหมือนกระตุ้นความชั่วร้ายของหญิงสาวผู้นี้

"นี่มันคืออะไร มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย ดาว บอกฉันหน่อย ฮือ ฮือ... "

นารีร้องไห้ออกมาเสียงดัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ทำให้หล่อนประสาทเสีย ยากที่จะยอมรับได้ เรื่องราวลี้ลับน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นทำลายความเข้มแข็งของหล่อนไปจนหมดสิ้น ละอองดาวเดินเข้าโอบไหล่เพื่อน ก้มลงหยิบกล้องขึ้นมาดู คราวนี้หล่อนหายใจเข้าลึกและยาวนาน ยืนตรง หล่อนค่อยๆ เลื่อนรูปที่ถ่ายไปทีละภาพ แต่ละภาพถึงกับทำให้หล่อนตกตะลึง ภาพที่สายชลถ่ายคู่กับต้นตะเคียน เหนือหัวสายชลปรากฏหญิงสาวเหมือนรูปแรกกำลังนั่งห้อยโหนเถาวัลย์ จ้องมองมาที่พวกเขาอย่างประสงค์ร้าย

"รี เธอมาดูภาพนี้สิ เจอผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว .....รี......รี..."

ไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนสาว ละอองดาวรู้สึกเอะใจจึงหันไปมอง ก็ไม่เจอนารีแล้ว หล่อนตกใจมาก รีบกวาดสายตาค้นหาเพื่อนสาว แต่กลับไม่มีวี่แววเลย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนารีแต่ไกล

"สายชล สายชล รอฉันด้วย ฉันขอไปกับเธอนะ....."

ละอองดาวรีบวิ่งไปตามเสียง ไม่นานหล่อนก็เห็นหลังนารีแต่ไกล จึงพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นอีก พร้อมตะโกนเรียกเพื่อนสาวสุดเสียง แต่เหมือนผู้ถูกเรียกจะไม่ได้ยินเสียงเลย กลับตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้าสักพักก็เดินเลี้ยวหายวับเข้าไปหลังแนวหินขนาดใหญ่ ละอองดาวพยายามตามหาให้ทั่วแต่ก็ไม่พบ

ละอองดาวรู้สึกเหมือนเดินวนไปวนมาในเขาวงกตที่สร้างจากแนวหิน การเดินหาคนอื่นมากว่าครึ่งชั่วโมงสร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยหล่อนจึงตัดสินใจหยุดพัก เอนหลังพิงแนวหิน หายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง หล่อนรู้สึกว่าสถานการณ์ยิ่งมายิ่งซับซ้อน ตอนแรกหล่อนมั่นใจว่าจำทางออกได้ แต่พอเดินวนไปวนมาหลายๆ รอบจึงรู้ว่าที่นี่ไม่มีที่ใดแตกต่างกันเลย แนวหินเรียงรายไปในทิศทางเดียวกัน ต้นไม้ขึ้นเหมือนกัน ระยะห่างเหมือนถูกกำหนดไว้ว่าต้องเท่ากัน คล้ายมีผู้คนมาออกแบบสถานที่ให้มันคล้ายกันทุกอณู หากเดินไปเดินมาแล้วหลงลืมตัวไปชั่ววินาทีเดียวก็จะให้ความรู้สึกเหมือนย่ำเดินอยู่ที่เดิม เหมือนมีทางเข้าแต่ไร้ทางออก

"โอ๊ย ....."

ละอองดาวร้องเสียงหลง พร้อมกับกระโดดออกมาจากแนวหิน หล่อนรู้สึกเหมือนมีมือมาจับคอและใช้นิ้วที่มีเล็บแหลมคมข่วนต้นคอ หล่อนเอาเงื้อมไปจับต้นคอตนเองแล้วก้ต้องตกใจที่มันเปียกชุ่มไปหมด เมื่อชักมือกลับดูก็แทบช็อก เลือดสดๆ เปื้อนมือหล่อน เลือดของใคร? ...ไม่สิ... นี่เป็นเลือดของเธอเอง

"นี่มันบ้าอะไรเนี่ย พวกแกเป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่กลัวพวกแกหรอก"

ละอองดาวอยู่ในอาการจิตตกถึงที่สุด หล่อนกลัวจนไร้อาการหวาดกลัวไปแล้ว ถึงกับร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง หล่อนกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็ไปสะดุดตรงที่ภาพวาดบนแนวหินที่เธอพิงเมื่อกี้ ภาพที่ปรากฏมันน่าสยดสยองสุดบรรยาย ภาพเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ ใช่แล้ว มันเคลื่อนไหวเองได้ ภาพแห่งการสังหาร ผู้ชายรูปร่างกำยำ สูงใหญ่ น่าเกรงขาม หนวดเครายาวเฟื้อยสิบกว่าคนกำลังช่วยกันจับหญิงชราขึ้นพาดบนก้อนหินแล้วเอามีดปาดคอให้หญิงชราทรมานตายอย่างช้าๆ เลือดที่ไหลชโลมก้อนหินมาจากหญิงชราคนแล้วคนเล่า มากกว่าสามสิบคน หลังจากนั้นก็เป็นหญิงสาวอีกหลายสิบคนที่ถูกฆ่าตายในลักษณะเดียวกัน รอบๆ บริเวณเสาหินมีผู้คนหลายร้อยคนยืนมองอย่างเฉยชา เหมือนไม่ใส่ใจใยดีคนที่ถูกเชือกคอเหล่านี้เลย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ละอองดาวอุทานออกมาคำหนึ่ง มีมือที่ไม่ทราบเจ้าของมาวางลงตรงไหล่ของเธอ โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว

"คุณเห็นหรือยัง"

เสียงของพาซู ละอองดาวถอนหายใจอย่างโล่งอก หันมาจับแขนพาซูไว้แน่น พลางกล่าว

"พาซู นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนที่เหลือล่ะ ไปไหนหมดแล้ว"

พาซูยิ้ม เดินเข้าไปลูบภาพวาดตามแนวหินอย่างเชื่องช้า เหมือนเขากำลังพยายามจะทำให้ภาพวาดเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง พลางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

"คุณรู้ไหมที่นี่เรียกว่าอะไร อ้อ ใช่สิ ผมบอกคุณไปแล้ว สุสานไพร ผมจะบอกที่มาให้นะ เมื่อสามร้อยปีก่อน มีสตรีจำนวนหนึ่งหลงใหลทางไสยศาสตร์ เรียนรู้วิชาสาปแช่ง ขายวิญญาณให้กับภูตผี นั่นทำให้พวกนางมีอำนาจในการสาปแช่งผู้ใดถูกแช่งล้วนประสบชะตากรรมตามคำสาปแช่ง ผู้คนที่ต้องการสาปแช่งคนอื่นให้ตาย ล้วนมาหาสตรีเหล่านี้เพื่องจ้างวาน พวกนางล้วนจัดการสาปแช่งให้สำเร็จดังใจปอง เป็นอย่างนี้มานานหลายสิบปี พวกนางยิ่งเหิมเกริม ไม่พอใจผู้ใดก็สาปแช่งโดยไร้เหตุผล ไร้ศีลธรรม ส่งผลให้ผู้คนอาศัยอยู่ด้วยความหวาดกลัวและย้ายหนีออกจากหมู่บ้านจนหมดในที่สุด อ้อ หมู่บ้านที่ว่าก็ตั้งอยู่ตรงนี้ ตรงที่เรายืนอยู่นี้แหละ ตอนนั้นบังเอิญทวดของผมเป็นผู้มีอาคมเก่งกล้าซึ่งอาศัยอยู่หมู่บ้านทางเหนือรู้เรื่อง จึงพาลูกศิษย์และอาสาสมัครลงมาสังหารพวกนางจนหมดสิ้น แต่ด้วยคำสาปแช่งและความอาฆาตจากภูตผีที่พวกนางขายวิญญาณให้ หมู่บ้านนี้จึงไม่มีใครอาศัยอยู่ได้ ทวดของผมจึงสร้างเสาหินขังวิญญาณพวกนางไว้ที่นี่ และต้องเฝ้าดูแลที่นี่ ปู่ของผม พ่อของผม จนมาถึงผม พวกเราล้วนดูแลสถานที่นี้"

ละอองดาวรับฟังอย่างไม่เชื่อหูตนเอง นี่นับเป็นเรื่องโกหกที่น่ากลัวและเหลวไหลที่สุดเท่าที่เคยได้รับฟังมา แต่พอหล่อนเงยหน้าสบตากับพาซู ความรู้สึกบ่งบอกว่า นี่เป็นเรื่องจริง ผู้ชายคนนี้ลึกลับ มีรังสีแห่งความตายออกมาจากคนผู้นี้ รอยยิ้มที่ที่เย็นชา มันน่ากลัวสุดประมาณ หล่อนยังคงกลั้นใจถามไปว่า

"แล้วสายชล ปกรณ์ นารีล่ะ พวกเขาอยู่ไหน"

"ตายหมดแล้ว"

ละอองดาวแทบไม่เชื่อหูตนเอง หล่อนรู้สึกเข่าอ่อน แทบสิ้นสติล้มลงไปกองกับพื้น แต่หล่อนเป็นคนเข้มแข็ง ยังคงฝืนใจยืนได้ แม้พาซูจะยืนยันว่าทุกคนตาย นั่นอาจจะเป็นคำหลอกลวงก็ได้

"ใครเป็นคนฆ่าพวกเขา ผีสางนางไม้เหรอ"

"ไม่ ผมเป็นคนทำ"

พาซูตอบชัดถ้อยชัดคำ ละอองดาวแทบร่ำไห้ออกมา ถ้าฆาตกรเป็นพาซูจริงๆ หล่นคงจะไม่รอดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังคงกำสองมือแน่น พร้อมที่จะสู้เอาชีวิตรอด

"ทำไมต้องฆ่าพวกเราด้วย"

"ทุกสามสิบปี ผู้ดูแลสุสานอย่างพวกเราต้องใช้เลือดคนสี่คนมาสะกดเสาหลักที่ตรึงวิญญาณสี่ต้น ทวดของผมก็เคยทำ ปู่ของผมก็เคยทำ พ่อของผมก็เคยทำ ตอนนี้ผมจึงต้องทำ บัดนี้ได้ชโลมเลือดสะกดวิญญาณไปสามต้นแล้ว เหลือต้นสุดท้ายที่เจ้าพิงเมื่อกี้ไง ช่างมาอยู่ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ มาเถอะถึงเวลาแล้ว"

พาซูอธิบายอย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แววตาที่เปลี่ยนไปคลับคล้ายสัตว์ร้ายที่จ้องจะกัดกินเหยื่อ ละอองดาวมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก พยายามจะอ้าปากขอร้อง

"ฉันยังไม่พร้อมที่จะ...........เอื้อก......."

ยังพูดไม่ทันจบประโยค ดาบโบราณในมือพาซูก็ตวัดผ่านลำคอนาง เลือดสดๆ ของละอองดาวพุ่งกระจายเต็มพื้นดิน ร่างล้มหงายหลังค่อยๆ สิ้นใจตายอย่างทรมาน พาซูเดินไปที่เสาหิน ใช้นิ้วโป้งมือซ้ายป้ายเลือดบนดาบ แล้ววาดบางสิ่งลงบนเสาหินนั้น มันคืออักขระโบราณ พร้อมกับท่องคาถาออกมา ไม่นานนักก็มีเสียงก่นด่า สาปแช่งดังระงมไปทั่วสุสานไพร เป็นเสียงของสตรี สตรีที่อาฆาตแค้นกระหายเลือด พวกนางต้องรอคอยอีกสามสิบปีถึงจะมีโอกาสออกจากที่คุมขังแห่งนี้ อีกสามสิบปีแห่งความเจ็บปวดที่ยาวนาน

ชญตว์

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

DaoistAPamSVcreators' thoughts