webnovel

มนต์ดำอำมหิต

อาถรรพณ์ไพร ตอน มนต์ดำอำมหิต

เสียงหวีดหวิวของสายลมยามราตรีกาลสะท้านไปทั่วหุบเขา เหล่าสัตว์เลี้ยงตื่นตระหนกหวาดผวา ฝูงควายส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง น้ำลายฟูมปากไหลย้อยยังกับเสียสติ แม่ไก่ส่งเสียงขันผิดวิสัยธรรมชาติ สุนัขทุกตัวล้วนส่งเสียงหอนยาวนาน ปลุกผู้คนสะดุ้งตื่นจากนิทรามาสัมผัสกับความเป็นจริงที่น่าขนลุก เด็กเล็กเด็กน้อยที่ขวัญอ่อนส่งเสียงร้องไห้ดังระงม

หมู่บ้านเกอลีโกลที่ห่างไกลความเจริญยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แสงเทียน แสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าดจึงส่องแสงสว่างออกมาจากบ้านเรือนทีละหลังๆ จนครบสิบสามหลัง เสียงลมคำรามอันน่ากลัวยังไม่หยุดนิ่ง แว่วเสียงโหยหวนแหลมเล็กมาตามสายลมพอให้รู้สึกสยิวกาย

"มันเกิดอะไรขึ้นเหรอพ่อ หนูรู้สึกไม่ดีเลย" หน่อพอทูถามพ่อด้วยเสียงสั่น ๆ พ่อหันไปที่หัวเตียงหยิบมีดเล่มหนึ่งมาถือไว้ในมือ พลางกล่าว

"พ่อว่าต้องเกิดเหตุการณ์อัปมงคลขึ้นแน่นอน อยู่ในบ้านนะ อย่าออกนอกบ้านเด็ดขาด พ่อจะลงไปหาคนอื่นๆ คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น"

พาทูเลก้าวลงบันไดไป ทิ้งลูกสาวไว้บนบ้านคนเดียว ตั้งแต่พวกชาวบ้านขับไล่ภรรยาของเขาออกจากหมู่บ้านไป เขาก็อยู่กับลูกสาวเพียงสองคน

แสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างทั่วลานเล็กๆ กลางหมู่บ้าน นี่เป็นทั้งสถานที่สำหรับประชุม สนามเด็กเล่น สถานที่จัดงานต่างๆ ผู้คนสิบกว่าคนมาถึงก่อนหน้าพาทูเลแล้ว แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด ในมือต่างมีอาวุธประจำจำกาย ไม่ว่าจะเป็น มีด ดาบ หรือหอก รวมไปถึงกระดูกสัตว์ก็ยังมี

"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านผู้เฒ่า" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งถามขึ้น

"กำลังจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ เสียงภูตผีคร่ำครวญเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะมีความตาย ความตายอันสยดสยอง มันน่ากลัว เจ้าผีร้ายกำลังกลับมา" ผู้เฒ่าพอบือส่งเสียงต่ำลึก น้ำเสียงกดทับจิตใจผู้คนจนหายใจติดขัด

"มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน" พาดาโพร้องเสียงหลง เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมาห้าหกปีแล้ว ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงมีอาการตื่นเต้นไม่น้อย ผู้เฒ่าพอบือพ่นควันยาสูบออกมา พลางกล่าว

"นานมาแล้วมีเหล่าสตรีที่ขายวิญญาณให้ผีร้าย พวกนางปรารถนาวาจาสาปแช่งที่ได้ผล แลกกับการให้วิญญาณร้ายสิงสู่ในร่างปีละเจ็ดวัน พวกนางได้ดังปรารถนา คำสาปแช่งของพวกนางใช้ได้ผลแต่ในเจ็ดวันที่ถูกเจ้าผีร้ายสิงสู่นั้น พวกนางกลับจำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมตนเอง เป็นเหตุให้ถูกผีร้ายใช้ร่างในการก่อการทำชั่วมากมาย เราเรียกพวกนางว่า นางทรงผี"

ทุกคนในสถานที่นั้นล้วนหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก จมูก ลำคอตีบตัน นี่เป็นตำนานหรือเรื่องเล่ามาช้านาน พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น แต่วันนี้ผู้เฒ่าพอบือที่พวกเขาให้ความนับถือกลับพูดออกมาจากปาก ไม่มีใครโต้แย้งออกมาได้

"พวกนางช่างโง่เขลานัก" บางคนด่าขึ้นมา มีเสียงสนับสนุนจากรอบข้าง แต่ผู้เฒ่าพอบือ กลับถอนหายใจคราหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า

"พวกนางล้วนแล้วแต่ถูกกระทำมาก่อน มีชีวิตที่ต้องทนทรมานอย่างสาหัส ทำให้บางคนโกรธแค้น ต้องการทำร้ายคนที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อน บางคนต้องการให้คนอื่นยอมรับ โดยทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวตนเอง บางคนหลงผิดคิดว่าผู้อื่นจะยกยอสรรเสริญในความสามารถ แต่มันมิได้เป็นเช่นนั้น ผู้คนล้วนรังเกียจและชิงชังพวกนาง ถึงกับรวมตัวกันเข่นฆ่าพวกนางด้วยซ้ำไป "

หยุดหายไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าพอบือก็พูดต่อ

"ข้าสังหรณ์ใจว่าหมู่บ้านเรากำลังตกเป็นเป้าหมายของนางทรงผีที่ทรงอำนาจ เจ้าป่าเจ้าเขาส่งเสียงเตือนมากับสายลม ข้าเคยเห็นเคยเจอมาแล้ว หลังเสียงเตือนวันสองวัน ห้าวันหกวัน นานสุดก็เจ็ดวันจะมีผู้คนล้มตายเพราะคำสาปแช่งมากมาย ข้ายังจำติดตาไม่ลืม"

"แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี" บางคนถามขึ้น ผู้เฒ่าพอบือส่ายหัวคราหนึ่ง ใบหน้าของแกดูอ่อนล้าและเหนื่อยหน่าย พอพ่นควันยาสูบออกมาเสร็จก็พูดว่า

"เราคงต้องรอ...รอให้เกิดเหตุร้ายขึ้นมาก่อนถึงจะหาร่องรอยและสืบสาวได้" สิ้นคำผู้เฒ่าพอบือก็บังเกิดเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียด ทุกคนล้วนหวาดกลัวต่อคำสาปแช่ง หากมันเข้าตัวล้วนต้องตายอย่างอเนจอนาถและทรมาน

พวกเขาไม่อาจหลับนอนต่อไปได้ จึงพากันก่อไฟ นั่งสนทนารอบกองไฟกันอย่างออกรส เสียงหวีดหวิวอันน่าสะพรึงจางหายไปกับสายลมแล้ว เหลือไว้เพียงความหวาดกลัวที่ฝากไว้ในจิตใจของผู้คน กับตำนานอันน่าสะพรึง

แสงอรุณยามเช้ามาตามนัด ขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หมู่นกกาสรรพสัตว์ออกหากินเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่ผู้คนในหมู่บ้านเกอลีโกลกลับไม่เหมือนเดิม ไม่คึกคักสนุกสนานดังที่เคยเป็น แต่ละคนออกไปทำงานกันเงียบๆ บนใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม ความกลัวกำลังกัดเซาะจิตใจพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ไม่มีเสียงเพลงจากพวกเด็กๆ ไม่มีเสียงหัวเราะของพวกผู้ใหญ่ที่คอยหยอกล้อกัน ไม่มีเสียงทักทายอย่างอารมณ์ดีของหนุ่มสาวในหมู่บ้าน พวกเขาเร่งรีบไปทำงาน จากนั้นก็กลับบ้านก่อนอาทิตย์ตกดิน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ปิดบ้านเข้านอนแต่หัววัน เหลือชายฉกรรจ์บางส่วนที่ถูกคัดเลือกให้อยู่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน

ผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนครบเจ็ดวัน เหลืออีกแค่คืนเดียวก็จะผ่านพ้นช่วงเวลาที่น่ากลัวแล้ว แต่ก็ไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ผู้คนล้วนผ่อนคลายกันมากแล้ว มีเสียงพูดคุย มีเสียงหัวเราะ ผู้คนล้วนออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน ความกลัวเริ่มหดหาย

มีเพียงผู้เดียวที่ดูจะวิตกกังวลมากขึ้น ผู้เฒ่าพอบือนั่นเอง เขากลับเดินวนไปวนมาในลานดินกลางหมู่บ้าน จนพาทูเลที่เดินผ่านมาเกิดสงสัย จึงเข้าไปทัก

"ท่านผู้เฒ่ามีอะไรไม่สบายใจหรือ" ผู้เฒ่าพอบือหันหน้ามากล่าวว่า

"ข้ากลัวว่าเรื่องราวจะเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ ข้าเคยได้ยินมาว่าหากเกิดเรื่องหลังเสียงเตือนหนึ่งวัน จะไม่เลวร้ายมากนัก หากนานขึ้นอีกหนึ่งวันจะยิ่งเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม หากเกิดขึ้นในคืนวันที่เจ็ดจะเลวร้ายที่สุด เพราะวิญญาณร้ายจะทำให้นางทรงผีกล้าแกร่งและทรงพลังมาก บางทีพวกเราอาจต้องตายทั้งหมู่บ้าน"

พาทูเลตกใจสุดขีด เขาเชื่อถือผู้เฒ่าพอบือหมดใจมาตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผู้เฒ่าพอบือเองก็ไม่นิ่งนอนใจ เหมือนคิดอะไรออกมาได้ จึงว่า

"เจ้าตามข้ามา"

พาทูเลเดินตามผู้เฒ่าพอบือไปที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลังเล็กๆ นี่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้เฒ่าที่เขานับถือผู้นี้ พืชผักหลายชนิดถูกปลูกขึ้นตามแปลง เติบโตงอกงามพร้อมให้เก็บกินแล้ว แต่พวกเขาหาได้สนใจไม่

พวกเขาเข้าไปในบ้านไผ่หลังเล็กของผู้เฒ่าพอบือ ในบ้านไม่มีเครื่องใช้อะไรมากมาย แค่หม้อสองสามใบ ชามจานสี่ห้าใบ เสื่อปูพื้นหยาบๆ มีรอบปะหลายจุด ผ้าห่มเก่าๆ สองสามผืน เสื้อผ้าที่วางพาดไว้อีกหลายชุด สำหรับคนแก่ที่อาศัยอยู่คนเดียวแล้ว นับว่าเกินพอ

ผู้เฒ่าพอบือยกหมอนขึ้น หยิบมีดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ส่งให้พาทูเล พลางกล่าว

"เจ้าเก็บไว้ให้ดี ข้ามอบหน้าที่สังหารนางทรงผีให้แก่เจ้า เพราะข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งและไม่เคยผิดใจกับใครมาก่อน น่าจะไม่โดนคำสาปแช่ง อีกอย่างข้าก็เคยสอนวิชาให้เจ้าบ้างแล้ว จำได้ไหม? ข้าเคยสอนว่าให้แทงมันตรงที่หัวใจ ตรงอกข้างซ้าย แทงให้แรงแทงให้สุด ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้"

พาทูเลรับมีดมาอย่างช้าๆ เขาฉีกเสื้อออกส่วนหนึ่ง เอามาพันมีดเล่มนั้นแล้วยัดใส่ย่ามอย่างระมัดระวัง ผู้เฒ่าพอบือมีศิษย์หลายคนแต่เลือกเขา พาทูเลย่อมดีใจและภาคภูมิใจ อีกอย่างเขารู้ว่ามีดเล่มนี้เป็ดมีดที่ถูกลงอาคมมานับร้อยปี อิทธิฤทธิ์และความขลังเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ มันสามารถฆ่าเหล่าผีร้ายได้แน่นอน

เขาเชื่ออย่างนั้น !

ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ หมู่ดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ราตรีนี้สงบที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันสงบจนวังเวง กลับกลายเป็นน่ากลัว ปราศจากเสียงจักจั่นเรไร เสียงนกฮูก เสียงสัตว์ป่าหากินกลางคืนล้วนอันตรธานหายไปสิ้น แม้แต่เสียงวัวควายในคอกก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกเบาๆ ของพวกสุนัขที่นอนขดตัวกลมอยู่ใต้บันไดบ้าน หมูที่ผูกไว้ใต้ถุนบ้านไม่ส่งเสียงขออาหารดังเช่นเคย ไก่ในเล้าก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเลย

ผู้คนหลับใหลกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกเฝ้ายามและผู้เฒ่าพอบือที่ยังคงตื่นอยู่ ลมหนาวพัดผ่านมาอีกหน หลังจากที่มันห่างหายไปนานเจ็ดวัน แต่คราวนี้มันกลับมาพร้อมกับกลิ่นอายของความตาย นอกจากเสียงลมแล้ว ยังมีเสียงแห่งความตายอยู่ด้วย

และแล้วความตายมาเยือนจนได้

เสียงไก่ร้องตะเบ็งเสียงคราหนึ่ง จากนั้นก็เงียบไป กลับเป็นเสียงตกกระทบพื้นดังขึ้นแทน คนเฝ้ายามล้วนวิ่งไปดู ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกตะลึง ไก่ในเล้าทุกตัวตายหมด สภาพนอนหงายเท้าชี้ฟ้าทุกตัว เป็นที่น่าประหลาดนัก

"ผู้เฒ่าพอบือ ผู้เฒ่าพอบือ ... มาดูตรงนี้หน่อย ไก่เป็นอะไรก็ไม่รู้" คนเฝ้ายามส่งเสียงเรียก ผู้เฒ่าพอบือวิ่งมาช้าๆ เมื่อเขาเห็นสภาพไก่ก็ถอยหลังไปสามสี่ก้าว พลางร้องดังๆ ว่า

"มันมาแล้ว ๆ ไปเรียกทุกคนมารวมกันที่ลานหมู่บ้านเร็ว เดี๋ยวนี้"

พูดยังไม่ทันจบเสียงหมาหอนก็ดังขึ้นโดยพร้อมเพรียง แต่เพียงอึดใจเดียวพวกมันก็ล้มลงดิ้นตะเกียกตะกาย สุดท้ายก็ขาดใจตาย ณ ตรงนั้น ผู้เฒ่าพอบือยิ่งเร่งพวกยาม บัดนี้เขาตาแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นฟ้าท่องคาถาอาคมที่เคยร่ำเรียนมาเพื่อหวังจะหยุดเหตุร้าย

....แต่...

มันเปล่าประโยชน์ ได้ยินเสียงหมูร้องอย่างเจ็บปวดคราหนึ่ง จากนั้นล้มลง ดิ้นสองสามครั้งก็ขาดใจตายทันที

ผู้เฒ่าพอบือมือไม้สั่นไปหมด เขารู้ตัวว่าไม่อาจสู้กับอำนาจมืดของผีร้ายนี้ได้ เมื่อพาทูเล พาดาโพ และคนอื่นๆ เริ่มทยอยมาถึง เขาจึงสั่งให้ผ่าท้องไก่ สุนัข หมู อย่างละตัว ยังไม่ทันที่จะลงมือก็ได้ยินเสียงควายร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดยาวนานคราหนึ่ง มันก็ล้มลงและขาดใจตายทันที

เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นบนใบหน้าทุกกคน แต่ละคนมือไม้ปั่นป่วนไปหมด ผู้เฒ่าพอบือตบหลังพวกที่อยู่ใกล้ๆ สองสามฉาด เรียกสติพวกมันกลับมา พร้อมกับสั่งว่า

"รีบผ่าท้องพวกมันเร็วเข้า"

อึดใจเดียวก็ผ่าท้องไก่สำเร็จ ตามมาด้วยสุนัข หมู ควาย ภาพที่เห็นแทบทำให้ทุกคนอาเจียนออกมา ในกระเพาะของสัตว์เหล่านี้กลับเน่าเฟะ มีหนอนเล็กใหญ่ชอนไชไปมา เคลื่อนไหวยั๊วะเยี๊ยะ แลดูน่าสะอิดสะเอียน ส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมาจนทุกคนต้องเอามือมาปิดจมูก

"มนต์ดำ มันคือมนต์ดำ ใครเป็นคนทำกันแน่ ถึงอำมหิตผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ เป้าหมายต่อไปของมันก็คือพวกเรา มันไล่กำจัดพวกสัตว์เลี้ยงเพื่อจะไม่ให้พวกเราใช้เลือดสัตว์ล้างคำสาปแช่ง"

ผู้เฒ่าพอบือพูดเสียงสั่น ตามมาด้วยเสียงอุทานอย่างหวาดกลัวของชาวบ้าน ทุกคนล้วนยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่ใช่กับผู้เฒ่าผู้นี้ เขาดูมีสติอยู่เสมอ แววตาแม้จะหวาดหวั่นแต่การแสดงออกกลับตรงกันข้าม

"ไปหากะละมังมา ใส่น้ำมาด้วยครึ่งกะละมัง เอาข้าวสารมาหนึ่งกำมือ ตอนนี้เลย"

สิ้นคำสั่งผู้เฒ่าพอบือ มีหลายคนวิ่งไปที่บ้านเพื่อหาของมาให้เขา ครู่เดียวกะละมังใส่น้ำกับข้าวสารหนึ่งกำมือก็มาถึง

ผู้เฒ่าพอบือสั่งให้วางกะละมังลงกับพื้น มือขวากวนน้ำในกะละมังให้หมุนวนทวนเข็มนาฬิกา มือซ้ายกำข้าวสาร เอามาจ่อตรงปากที่กำลังบริกรรมคาถาอย่างเร่งรีบ เสร็จแล้วก็เป่าลมสามคราใส่มือนั้น จากนั้นก็เทข้าวสารลงในกะละมัง ดึงมือขวาขึ้นมาจากน้ำ

ข้าวสารลอยวนไปตามแรงน้ำแล้วก็หยุดพร้อมกับน้ำวนที่หยุดวนอย่างกะทันหัน ข้าวสารตกกองรวมกัน ณ จุดหนึ่งทางทิศเหนือของกะละมัง จากสีขาวกลับกลายเป็นสีน้ำตาล จากสีน้ำตาลกลายเป็นสีดำ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา

ผู้เฒ่าพอบือก้าวถอยหลังอย่างลืมตัวไปสองสามก้าว จากนั้นเรียกตัวพาทูเล พาดาโพ และชายฉกรรจ์อีกห้าคน รวมเป็นเจ็ดคน ให้พวกมันคุกเข่าซ้ายก้มหัวล้อมรอบท่านผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าพอบือร่ายคาถาอย่างรีบเร่งครู่หนึ่ง จากนั้นชักมีดออกจากฝัก กรีดคมมีดลงบนแขนคราหนึ่ง เลือดแดงฉานพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แกรีบใช้ปากดูดเลือดจากแผลนั้น เมื่อเงยหน้าก็พ่นเลือดใส่เหล่าบุรุษที่ล้อมรอบ ทำเช่นนี้จนครบเจ็ดรอบ ท่านผู้เฒ่าก็ถุยน้ำลายใส่แผลคราหนึ่ง ใช้ฝ่ามือลูบขึ้นลงสามรอบแผลก็หายสนิท จึงกล่าวว่า

"พวกเจ้าไปทางทิศเหนือ ที่ถ้ำชะนีครวญมีนางทรงผีรออยู่ ไปฆ่ามันซะ"

พาทูเลและพวกขานรับคราหนึ่ง ลุกขึ้นวิ่งไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว ไม่หลงเหลือความกลัวแม้แต่น้อย อาจจะเพราะมั่นใจในคาถาเลือดของผู้เฒ่าพอบือหรืออาจจะเพราะทุกชีวิตในหมู่บ้านฝากไว้กับพวกเขา แต่แววตาที่ลุกโชนกลับดูน่ากลัวกว่าคนปกติมากนัก

ผู้เฒ่าพอบือมองตามหลังบุรุษทั้งเจ็ดจนหายลับเข้าไปในป่า เขาหลับตาลงถอนหายใจยาวนานคราหนึ่ง เสมือนอับจนปัญญา ไม่สามารถล่วงรู้และกำหนดชะตากรรมของหมู่บ้านต่อจากนี้ได้

เสียงลมหวีดหวิวคราหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคำรามของพายุลูกใหญ่ ต้นไม้ที่ขวางทางล้วนเอนเอียงปานจะล้มลงให้ได้

พาทูเลวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไปเขาจำได้ดีกว่าอื่นใด ความหดหู่รันทดแล่นเข้าสู่สมองเมื่อวิ่งผ่านสถานที่ที่คุ้นเคย เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ใช้ขับไล่สตรีที่เขารักมากที่สุด ภรรยาของเขาเอง นางทำผิดกฎที่ร้ายแรงที่สุดในหมู่บ้านจึงถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ทั้งถูกทุบตีและถูกด่าทอสารพัด เขาเองก็เจ็บปวดแสนสาหัส ใคร่ติดตามนางไป แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะคนๆ หนึ่ง

ลูกสาวของเขาและนาง หน่อพอทู

น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่สองเท้ายังคงวิ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าพอบือเชื่อมั่นในตัวเขา เขาไม่สามารถอ่อนแอได้ ชะตาชีวิตของคนในหมู่บ้านอยู่ในมือของเขา หน้าที่ที่แบกรับไว้หนักเกินกว่าที่จะให้เรื่องส่วนตัวมาทำลายได้

อ้าก..ก..ก..ก..

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังโหยหวนออกมา คนที่วิ่งตามหลังเขาล้มลงคนหนึ่ง นอนดิ้นอย่างทุรนทุรายเหมือนเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่ทั้งหมดที่เหลือไม่อาจหยุดฝีเท้าได้ ต่างมุ่งหน้าวิ่งต่อไป ผ่านไปครึ่งทางก็มีคนล้มลงอีกคนหนึ่ง วิ่งต่อไปอีกประมาณร้อยก้าวก็ล้มลงอีกคนหนึ่ง ทั้งหมดหยุดฝีเท้า หันมามองหน้ากัน แววพรั่นพรึงปรากฏชัดเจนบนใบหน้าแต่ละคน

ทันใดนั้น !

คนทางซ้ายมือของพาทูเลก็ล้มลง ส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา มือเท้าบิดงอ ดิ้นรนข่วนหน้าข่วนดินสภาพอเนจอนาถนัก สักพักคนก็นิ่ง พร้อมกับลมหายใจที่หมดไป เลือดที่ทะลักออกจากรูจมูกค่อยๆ แข็งตัวจนแห้งไป

จากเจ็ดคนตอนนี้เหลือเพียงสามคน คนที่ตายล้วนสิ้นใจโดยที่ไม่มีโอกาสขัดขืน ไร้ซึ่งบาดแผลจากการต่อสู้ ยังไม่ทันสู้ก็ตายโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ ศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คืออะไร ทั้งสามล้วนประหวั่นพรั่นพรึง ขาสั่นจนแทบจะยืนทรงตัวไม่ได้

"มันคือมนต์ดำชนิดไหนกันเนี่ย" พาทูเลพูดเสียงสั่น

"นี่เป็นมนต์อำมหิต เป็นเจ้าแห่งมนต์ดำที่ผู้ใช้ต้องสื่อสารกับผีร้ายได้ วิธีการคือมันจะใช้หนังคนเผาไฟแล้วกรีดเลือดใส่กองไฟ จากนั้นก็เรียกชื่อทีละคน จินตนาการใบหน้าของคนผู้นั้น คนผู้นั้นจะถูกผีร้ายทำร้ายจนตายในชั่วพริบตา"

พาดาโพตอบด้วยน้ำเสียงตระหนก พาทูเลและอีกคนที่ยืนถัดไปถึงกับหน้าถอดสี เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พวกเขาเองก็มีโอกาสโดนมนต์อำมหิต

"เมื่อมันรู้จักชื่อพวกเรา อีกทั้งยังจดจำหน้าตาพวกเราได้ แสดงว่าเคยอาศัยอยู่กับพวกเรา มันเป็นใครกันแน่ ถึงได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้"

ทั้งสามล้วนเงียบไปในทันใด ต่างก็คิดไม่ออกว่าคนที่ใช้มนต์ดำอำมหิตคือใคร ใครกันที่แค้นคนในหมู่บ้านถึงเพียงนี้ ใครกันที่กลับกลายเป็นชั่วช้าอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ ใครกันที่พวกเขากำลังจะไปเผชิญหน้าด้วย

แต่ทั้งสามหยุดอยู่กับที่นานไปแล้ว ระหว่างที่หยุดไม่ทราบว่ามีอีกกี่คนที่ตกตายใต้มนต์ดำอำมหิตอันน่ากลัว ทั้งสามหันมาสบตากันคราหนึ่ง ส่งกำลังใจให้กัน เอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนผู้ร่วมทางไปสู่ปรโลกด้วยกัน ความตายแม้จะน่ากลัว แต่บางครั้งก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงจากมัน อาจจะด้วยความรับผิดชอบต่อผู้คนในหมู่บ้านหรือจิตสำนึกของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ต้องรู้จักการเสียสละ

ทั้งสามวิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ฝีเท้าเร็วขึ้นตลอดเวลา แม้ความกลัวจะเกาะกินหัวใจ แต่ความกล้าก็ส่งพวกเขามุ่งไปหาจุดหมายเช่นกัน

วิ่งไปได้ราวหนึ่งกิโลเมตร ผู้ร่วมทางคนหนึ่งก็ล้มลง พาทูเลหันไปมองก็เห็นเพียงพาดาโพที่วิ่งตามมา ส่วนอีกคนหนึ่งล้มชักดิ้นชักงอล้าหลังไปแล้ว เขาสบตากับสหายคราหนึ่ง กำลังใจยังเต็มเปี่ยม เมื่อมาถึง ณ จุดนี้ ความตายไม่อาจข่มขู่ให้พวกเขากลัวได้อีกแล้ว

ทั้งสองวิ่งต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แม้ความเหนื่อยจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลาแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ เพราะทุกนาทีที่ช้าลงอาจหมายถึงหนึ่งชีวิตที่จะต้องสูญเสียไป

แล้วแล้วก็มาถึงที่หมาย ทั้งสองล้วนเหน็ดเหนื่อยแทบตาย แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้ทั้งสองลืมพักไปเลย ตรงกลางทางสามแยกมีกองไฟอยู่กองหนึ่ง สตรีผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟนั้น แสงไฟส่องกระทบใบหน้านั้น

ใบหน้าที่คุ้นตาทั้งสอง

หญิงผู้นั้นเงยหน้าแล้วจ้องทั้งสองด้วยสายตาที่สับสนปนแค้น พาทูเลยืนตาค้างไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ส่วนพาดาโพเดินไปข้างหน้าอย่างซึมเซา พลางกล่าว

"หน่อเสอะดา เป็นเจ้าเองหรือ?"

"ใช่ ข้าเอง"

หน่อเสอะดาตอบเสียงเรียบแต่สายตาของนางกลับจ้องมาที่พาทูเล ทั้งสองล้วนเป็นคุ้นเคยที่มักคุ้นกว่าคนอื่น นางเป็นอดีตภรรยาของพาทูเลที่ถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ที่นางกลับมาวันนี้คงเพราะต้องการชำระแค้น และแย่งชิงสามีกลับมา

"ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย" พาทูเลถามออกมาจนได้ หน่อเสอะดาลุกขึ้นยืน ร่างของนางสูงโปร่งพอๆ กับพาทูเล ส่งยิ้มอันเย็นเยียบมาให้เขา พลางกล่าว

"เพื่อเราสองคนไง ถ้าไม่มีพวกมันเราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป"

"เจ้าคิดได้เพียงเท่านี้หรือ? ข้าจะเป็นคนฆ่าเจ้าเอง" พาดาโพตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล พร้องกับเดินเข้าหาหน่อเสอะดาด้วยความโกรธ ดาบในมือสั่นระริก เขาพร้อมที่จะสังหารหญิงผู้นี้ แม้ว่านางจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตนเองก็ตาม

หน่อเสอะดาส่ายหัวไปมา พูดขึ้นมาว่า

"ดาบของพี่ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ร่างกายข้าถูกคุ้มครองด้วยมนต์ของเจ้าแห่งผี มันมอบพละกำลังและร่างกายที่คงกระพันให้แก่ข้า"

พาดาโพหากลัวเกรงไม่ เขาก้าวเข้าหาน้องสาวต่อไป ดาบในมือถูกลงคาถาโดยผู้เฒ่าที่มีอาคมแกร่งกล้ามาหลายชั่วอายุคน เขามั่นใจในดาบนี้ว่าสามารถปลิดชีพน้องผู้ไม่รักดีตรงหน้าได้

แต่...

เขากลับล้มลงแล้ว สายตาปรากฎแววความผิดหวังออกมา เขาโดนมนต์ดำอำมหิตหรือ? ย่อมไม่ใช่ เพราะหน่อเสอะดาไม่ได้ทำพิธี แล้วเขาตายเพราะใคร?

พาทูเลเอามีดเช็คกางเกงไปมา รอยเลือดติดตามรอยที่เช็ค เขาเป็นคนแทงพาดาโพจากด้านหลัง แทงตรงหัวใจพอดี นั่นทำให้สหายของเขาขาดใจตายในทันที

หน่อเสอะดาเดินเข้าไปหาพาทูเลด้วยความดีใจ สุดท้ายแล้วสามีคนนี้ก็ยังรักนางที่สุด เขายอมฆ่าสหายรักที่กำลังจะเข้ามาทำร้ายหล่อน แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความรักของเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง แววความรักปรากฎเต็มเปี่ยม ช่วงเวลาที่ทั้งสองรอคอยมาถึงแล้ว ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องแยกจากกันอีก หน่อเสอะดาดีใจจนน้ำตาไหลนองหน้า ที่หล่อนทุ่มเทมาทั้งหมดล้วนบังเกิดผล ไม่มีอันใดผิดพลาด

"ท่านยังรักข้าจริงๆ ข้านึกว่าท่านจะลืมเลือนข้าไปเสียแล้ว"

"ข้าไม่มีวันลืมเจ้าได้ ทุกค่ำคืนข้าไม่เคยนอนหลับสนิท ตั้งแต่เจ้าจากไปข้าก็มีแต่ความทุกข์ ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง"

หน่อเสอะดาเดินเข้ามาถึงตัวพาทูเล หล่อนโผเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคยทันที นี่เป็นสิ่งที่หล่อนปรารถนามาสิบเอ็ดปี สิบเอ็ดปีที่จากกัน

แต่ใบหน้าหล่อนกลับไม่มีความสุข ปรากฎแววผิดหวังอย่างชัดเจน ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หน่อเสอะดาถอยออกมาจากพาทูเล ใช้สองมือกุมหน้าท้องที่โชกไปด้วยเลือด มันไหลไม่ยอมหยุด เลือดแดงสดทะลักออกมาเรื่อยๆ

"เจ้าทำเช่นนี้ทำไม..."

"ข้าจำเป็นต้องทำ เพื่อลูกสาวของเรา เพื่อคนในหมู่บ้านข้าไม่อาจเห็นแก่ตัวได้"

พาทูเลตอบพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ที่เขาลงมือฆ่าพาดาโพก็เพื่อให้นางตายใจ เพราะเขารู้ว่าดาบของสหายไม่อาจทำร้ายหน่อเสอะดาได้ อีกทั้งนางยังมีพละกำลังมหาศาลที่ได้จากผีร้าย ยากที่พวกเขาจะต่อสู่เอาชัยได้

หน่อเสอะดาน้ำตาไหลเป็นทาง สักพักแววตากลับเปลี่ยนเป็นแดงฉาน เดินเข้าหาพาทูเลอย่างช้าๆ กลับกลายเป็นคนละคนกับที่ผ่านมา นางรวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้าย โถมเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว

พาทูเลไม่หลบหลีก กลับแทงมีดใส่ภรรยาอีกครั้ง ครั้งนี้ก็เข้าเป้าเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เขาก็เจ็บปวดบ้างแล้ว มือทั้งสองข้างของหน่อเสอะดาแทงทะลุผิวหนังเข้าไปอยู่ในท้องของเขา เขาร่ำร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพราะไส้ถูกดึงทะลักออกมาทั้งพวง

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดำเนินไปสักพัก บัดนี้ทั้งสองล้มลงแล้ว เลือดไหลนองผืนแผ่นดินบริเวณนั้นจนชุ่มฉ่ำ ไม่มีผู้ใดสมหวัง สุดท้ายแล้วทั้งสองล้วนตกตายตามกัน ความรักที่มิอาจบรรจบกันอีกครั้ง จบลงด้วยความตาย

การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!

DaoistAPamSVcreators' thoughts