webnovel

ตอนที่ 207

ตอนที่ 207 ความนัย

เมื่อกี้ตอนที่เฝิ่งเยี่ยนฮวายพูดเรื่องที่เสิ่นอี้เป็นผีดิบอย่างไม่พอใจ เชื่อใจไม่ได้ ไม่มีหนทางจะร่วมมือกับผีดิบได้ เย่หนิงก็เลยอยากด่าออกมาแล้ว!

ถ้าไม่ใช่เสิ่นอี้ เฝิ่งเยี่ยนฮวายและเจิ้งชวนจะยังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะหลังจากนั้นจวงหมิงหานพูดสองประโยคนั้น เย่หนิงคงอยากจะต่อว่าเขาจริงๆ

คาดไม่ถึงว่าจวงหมิงหายยังยกเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาพูด ทำให้เฝิ่งเยี่ยนฮวายหมดคำที่จะพูด มีเพียงเจิ้งชวนที่มองไปเท่านั้น

สิ่งที่เฝิ่งเยี่ยนฮวายไม่รู้คือ ตอนนี้เจิ้งชวนเจ็บปวดกว่าเขาเป็นร้อยเท่าเสียอีก

เดิมทีเจิ้งชวนก็เป็นคนที่มีความรักความแค้นอย่างขัดเจน เขามีความแค้นกับต่อผีดิบ ดังนั้นความเกลียดชังที่มีต่อผีดิบจึงมีมากล้น! แต่ตอนนี้กลับเป็นผีดิบที่ช่วยชีวิตเขา!

ทั้งเกลียดชังทั้งมีบุญคุณ!

เจิ้งชวนไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไรดี!

ตอนนี้ความคิดของเขาวุ่นวายสับสนอย่างกับอะไรดี จะหาข้อคิดเห็นอะไรเสนอเฝิ่งเยี่ยนฮวายได้อีกล่ะ

พอเห็นเจิ้งชวนไม่พูดอะไร เฝิ่งเยี่ยนฮวายจนปัญญา เพียงแค่กับพูดจวงหมิงหานอีกครั้งว่า "แต่เขาเป็นผีดิบ ทำไมเขาถึงจะช่วยพวกเรา เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยพวกเราเลยด้วยซ้ำ"

จวงหมิงหานส่ายหน้า แล้วค่อยๆ พูดว่า "นายไม่รู้เหรอ ความจริงแล้วในหมู่มวลผีดิบก็มีจำนวนมากที่ไม่อยากให้ปล่อยราชาผีดิบออกมา!"

เฝิ่งเยี่ยนฮวายตกตะลึง ขนาดเจิ้งชวนเมื่อได้ยินประโยคนี้ยังเงยหน้าขึ้นมองจวงหมิงหาน

จวงหมิงหานพูดขึ้นมาว่า “ระดับชั้นของผีดิบถูกแบ่งชั้นอย่างเข้มงวด ความอำมหิตของราชาผีดิบแค่คิดก็รู้แล้ว ราชาผีดิบตนนี้ทั้งดุดันและก้าวร้าว อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ขนาดเผ่าพันธุ์เดียวกัน ผีดิบส่วนใหญ่เองก็ไม่อยากพูดกดขี่ข่มเหงจากราผีดิบคนนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นอี้ที่เป็นผีดิบระดับสูงยิ่งแล้วใหญ่! ผีดิบอายุพันปี ระดับต้องสูงส่งมากๆ แทบจะอยู่จุดสูงสุดของผีดิบตนอื่นๆ ได้เลย เดิมทีพวกเขาก็อยู่สูงกันอยู่แล้ว จะเต็มใจให้ราชาผีดิบกดขี่ได้ยังไงล่ะ พวกนายว่าใช่ไหมล่ะ"

ไม่รอให้เฝิงเยี่ยนฮวายตอบ จวงหมิงหานพูดอีกครั้งว่า "จริงๆ แล้วไม่ใช่ผีดิบทั้งหมดที่เหมือนกับราชาผีดิบที่ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนั้น! ผมเองก็รู้จักเสิ่นอี้มาตั้งหลายปี เขาทั้งอ่อนโยนและจิตใจดี ผมเชื่อใจเขา"

ภายในใจของเย่หนิงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา มองจวงหมิงหานอย่างซาบซึ้งใจมากๆ

จวงหมิงหานพูดอีกครั้ง "พวกนายลองตั้งใจคิดดูอีกที ผมจะออกไปสูบบุหรี่"

เมื่อเดินออกมาจากห้องทดลอง จวงหมิงหานมองเสิ่นอี้ที่อยู่หน้าสวนดอกไม้ เขาเดินไปหาแล้วส่งบุหรี่ให้เขา

เสิ่นอี้ไม่รู้ว่าจะขำหรือร้องไห้ดี เขารับมา "ฉันเหมือนจะจำไม่ได้นะว่าฉันเคยสูบบุหรี่เมื่อไหร่"

"ลองดูน่า อีกอย่างนายก็เป็นมะเร็งปอดไม่ได้หรอก" จวงหมิงหานพูดพลาง จุดไปให้เสิ่นอี้

เสิ่นอี้ถือบุหรี่เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้สูบ แล้วถามจวงหมิงหานว่า "พวกนายคุยกันเสร็จแล้วงั้นเหรอ"

"ใช่ พูดถึงสถานการณ์ตอนนี้" จวงหมิงหานสูบบุหรี่สองครั้ง แล้วพูดว่า "ฉันให้พวกเขาอยู่ที่นี่ชั่วคราว ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัยกว่า"

"ก็ดี" เสิ่นอี้พยักหน้า แล้วมองบุหรี่ที่ตนเองคีบอยู่ในมืออีกครั้ง

จวงหมิงหานเคาะบุหรี่ แล้วพูดว่า "ถามนายเรื่องหนึ่งสิ"

"พูดมา" คาดว่าเสิ่นอี้เองก็คงจะเดาออกว่าจวงหมิงหานจะถามอะไร

ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้รู้จักกันปีหรือสองปี เพียงแค่ผลสรุปมันเกินความคาดหมายไปนิด เขาไม่เคยคิดว่าจวงหมิงหานจะเป็นนักล่าผีดิบ จวงหมิงหานเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่าเขาเป็นผีดิบ ดีที่ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานาน

จวงหมิงหานครุ่นคิด แล้วถามว่า "นายเป็นผีดิบพันปีจริงๆ เหรอ"

"ใช่"

"โห!" จวงหมิงหานทอดถอนใจ "มีชีวิตยืนยาว น่าอิจฉาชะมัด!"

เสิ่นอี้ฉีกยิ้ม "ไม่เห็นมีอะไรน่าอิจฉา ความจริงแล้วน่าเบื่อมากๆ แล้วก็ยังน่าเศร้ามากๆ อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ต้องเห็นคนที่อยู่ข้างกายตนเองค่อยๆ ตายไปทีละคน ความรู้สึกแบบนั้นน่าเศร้าใจมากๆ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย"

"ฉันเข้าใจ" จวงหมิงหานสูบบุหรี่ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง "ในหมู่มวลผีดิบของพวกนาย ผีดิบที่บำเพ็ญตนได้หนึ่งพันปีขึ้นไปเกรงว่าจะมีไม่กี่คน นายเป็นคนที่อยู่ข้างกายราชาผีดิบหรือเปล่า ได้ยินว่าข้างกายราชาผีดิบมีขุนศึกมือฉมังสี่คน หนึ่งในนั้นเป็นผีดิบที่มีอายุพันปี คนคนนั้นก็คือนายใช่ไหม"

"ใช่" เสิ่นอี้ยอมรับตามความจริง

จวงหมิงหานรู้สึกคาดไม่จริง "นายยอมรับจริงๆ งั้นเหรอ"

เสิ่นอี้หุบยิ้ม "มีอะไรให้ฉันไม่กล้ายอมรับ"

จวงหมิงหานก็เลยถามขึ้นว่า "ไม่กลัวฉันฆ่านายงั้นเหรอ"

เสิ่นอี้ถามกลับ "อย่างนายน่ะเหรอจะฆ่าฉันได้"

"ถูกต้อง" จวงหมิงหานแสร้งทำเป็นตกใจ "ฉันลืมไป พวกเราทุกคนอ่อนแอขนาดนี้ จะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน ทั้งสี่รวมพลัง ปรากฏตัวต่อหน้าผู้อาวุโสยังไม่มีค่าควรคู่ให้มองเลย"

จวงหมิงหานพูดหยอกล้อ เสิ่นอี้พูดอย่างมีความสุข "พอแล้ว เด็กน้อยอยากพูดอะไรก็พูดออกมาสิ เอาแต่พูดไร้สาระอยู่ได้!"

จวงหมิงหานสูบบุหรี่เข้าไปอีกครั้ง มองดวงดาวที่สุกสกาวอยู่เต็มท้องฟ้า ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไม"

"ทำไมฉันถึงทำอย่างนี้ใช่ไหม" เสิ่นอี้ถามจวงหมิงหาน

"ใช่" จวงหมิงหานหันกลับไปมองเสิ่นอี้ แล้วพูดกับเขาอย่างจริงจังว่า "ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อนาย แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไม"

"เหตุผลเดิม มันซับซ้อนมาก" หลังจากเสิ่นอี้เงียบไปราวครึ่งนาที จึงพูดขึ้นว่า "เอาว่าฉันจะบอกนายแบบนี้แล้วกัน ปีนั้นข้างกายของราชาผีดิบ ไม่ผิดหรอก มีสี่ขุนศึก แต่สี่ขุนศึกนี้ ไม่ใช่สี่ขุนศึกดั้งเดิม!"

"ห๊า เกิดอะไรขึ้น ความขัดแย้งภายใน ต่อสู้กันงั้นเหรอ" จวงหมิงหานรีบแสดงความเห็นออกมา

เสิ่นอี้ทั้งอารมณ์ดีและรู้สึกตลก "จะมีปัญหากันได้ยังไงล่ะ! คืออย่างนี้ ราชาผีดิบคนนั้น ชีวิตก่อนหน้านี้เป็นท่านอ๋อง ช่วงเวลานั้นเขาก็มีขุนพลสี่คนที่เก่งกาจร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ก็คือสี่ขุนศึกที่พวกนายพูดถึงนั่นแหละ"

"ขุนพลงั้นเหรอ...มิน่าถึงได้เก่งกาจขนาดนี้..." จวงหมิงหายพยักหน้า แล้วมองเสิ่นอี้ทันที "ขุนพลงั้นเหรอ นายดูเหมือนคนที่จะสู้รบกับใครได้เลยนะ ยุคโบราณนักรบต้องดูแข็งแกร่ง กล้าหาญกว่านี้ไม่ใช่หรือไง"

"ยังไม่จบ" เสิ่นอี้ใกล้จะเลิกพูดเต็มที "ฉันยังพูดไม่ทันจบ ใครบอกนายกันล่ะว่าฉันเป็นขุนพล ฉันบอกว่า สี่ขุนศึกที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องคือสี่ขุนพลนี้"

"อ่อๆๆ...นายพูด นายพูดเลย... " จวงหมิงหานพยายามแสล้งเป็นตั้งใจฟัง แล้วแสดงท่าทีว่าจะไม่ขัดเสิ่นอี้พูดอีก

เสิ่นอี้หันหน้าหนีควันบุหรี่ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งลงถังขยะ จากนั้นจึงพูดต่อไปอีกครั้งว่า "ทั้งสี่ที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋อง ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เก่งกาจทั้งนั้น แต่ตอนนี้ทั้งหมดล้วนไม่อยู่แล้ว"

"หลายปีมานี้ คนทั้งสี่ที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋องมาโดยตลอด มีสองคนที่เสียชีวิตในสนามรบมาก่อนหน้านี้ ท่านอ๋องจึงเลี้ยงดูบุตรชายของเขาราวกับเป็นลูกของตนเอง อบรมสั่งสอง เลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่ พวกเขากับท่านอ๋องต่างก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกัน ต่อมาภายหลังเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังที่อยู่ข้างกายของท่านอ๋อง ส่วนขุนพลอีกสองคน หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในวังกับท่านอ๋องก็ถูกฮ่องเต้ในยุคสมัยนั้นฆ่าตาย"

เดิมทีจวงหมิงหานไม่คิดจะพูดอะไรเลย แต่อดไม่ได้จริงๆ ก็เลยถามว่า "นายล่ะ เป็นหนึ่งในเด็กสองคนนั้นที่ท่านอ๋องเลี้ยงดูงั้นเหรอ"