webnovel

ตอนที่ 060

ตอนที่ 60 กุญแจสำคัญ

เย่หนิงวางโทรศัพท์แล้วเดินออกมาจากห้องสำนักงาน แต่ระหว่างทางเธอกลับเจอเข้ากับเสิ่นอี้ตรงระเบียงทางเดิน

เย่หนิงรู้สึกแปลกใจ

เสิ่นอี้มองเธอ แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “อาหนิง คุณไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หนิงส่ายหัว

เสิ่นอี้จึงถามต่อขึ้นว่า “เฝิงเยี่ยนฮวายพูดอะไรกับคุณบ้าง” เขาพูดพร้อมกับเดินก้าวเข้ามาหาเธอ ขมวดคิ้วมองเย่หนิงอย่างแปลกใจ “ทำไมสีหน้าของคุณถึงได้แย่ขนาดนั้นล่ะครับ”

ขณะที่เขาพูดออกมานั้น เขาก็ยื่นมือออกมาลูบแก้มเย่หนิงโดยไม่รู้ตัว

เย่หนิงชะงักไป จากนั้น...ก็รู้สึกว่าหูของตัวเองเริ่มที่จะร้อนผ่าวขึ้นมาเสียแล้ว

เธอบอกได้เลยว่า การจู่โจมด้วยความอ่อนโยนของศาสตราจารย์เสิ่นนั้นทำเอาเธอรับมือได้ยากนัก

เย่หนิงจึงทำได้เพียงแต่กระแอมเบา ๆ ออกมา “อะแฮ่ม ๆ......ฉันไม่เป็นไรค่ะ อ้อ..เสิ่นอี้คะ ฉันคิดว่าเฝิงเยี่ยนฮวายไม่ได้เป็นฆาตกรเหรอกนะ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”

“หืม” เสิ่นอี้ขมวดคิ้ว “จริง ๆ แล้วเขาพูดอะไรกับคุณกันแน่ครับ แล้วคุณก็เชื่อเขาอย่างนั้นเหรอ”

เธอจะพูดยังไงดีเนี่ย......

เสิ่นอี้ยังคงมองจ้องเธออยู่ ราวกับยังอยากจะรอคำตอบจากปากของเธอ

เย่หนิงตัดสินใจแล้วที่จะบอกเรื่องนี้กับเสิ่นอี้ “เพราะฉันก็เหมือนกับเขาน่ะสิ”

“อะไรนะครับ” เสิ่นอี้เหมือนกับว่ายังฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด

“ศาสตราจารย์เสิ่นคะ ฉันเหมือนกับเฝิงเยี่ยนฮวายทุกอย่าง ฉันก็เป็นนักล่าผีดิบเหมือนกัน !”

“เอ๋ ?” เสิ่นอี้มองเย่หนิงด้วยสีหน้าตกใจ

เย่หนิงเกาหัวไปมา จะพูดอย่างไรดี เธอจะพูดอย่างไรดีเนี่ย ?

“เขาบอกคุณเหรอครับ” เสิ่นอี้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ราวกับรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

“อย่างไรก็เถอะฉันก็นรู้ไปแล้ว ทำไมล่ะ ท่าทางของคุณแบบนี้ คุณคงไม่เชื่อฉันสินะ!” เย่หนิงจ้องเขม็งไปที่เสิ่นอี้นิ่ง

“ถึงผมเชื่อคุณไปก็ไม่มีประโยชน์เหรอกครับ ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงก็พิสูจน์อะไรไม่ได้อยู่ดี” เมื่อเสิ่นอี้พูดจบ เขาก็ผ่อนเสียงลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “อาหนิง คุณคงจะเหนื่อยเกินไป ถ้าอย่างนั้นกลับไปพักผ่อนก่อนดีไหมครับ”

เย่หนิงมองเสิ่นอี้ มองเขาด้วยตาที่ไม่กระพริบ “ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะคะ ถ้าที่เฝิงเยี่ยนหฺวายพูดมามันเป็นความจริงล่ะ พวกเราก็คงเสียกำลัง เสียเวลาในการจับกุมฆาตกรตัวจริงไปด้วยนะคะ”

เสิ่นอี้เงียบไปสักพัก จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่หมู่บ้านว่างยาชุนหัวหน้าหยางก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่พบเบาะแสอะไร ถ้าเฝิงเยี่ยนฮวายไม่รู้เรื่องนี้จริงล่ะก็ นั่นก็เท่ากับว่าเบาะแสที่พวกเราหามาต้องจบลงจริง ๆ นี่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่”

“ละ...แล้วโลงศพพวกนั้นจะทำอย่างไรล่ะคะ” เย่หนิงก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่ แต่เธอเป็นห่วงอีกเรื่องมากกว่า

ผีดิบ ?

ในกลุ่มพวกเขา มีผีดิบอยู่จริง ๆ ใช่ไหม ?

เย่หนิงมองเสิ่นอี้

“คุณมองผมทำไมครับ ?” เสิ่นอี้ไม่เข้าใจ

เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ศาสตราจารย์เสิ่น คุณไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผีดิบอยู่จริง ๆ ใช่ไหมคะ”

“เรื่องนี้ จะว่าอย่างไรดีล่ะ เรื่องที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ชั่วคราว ผมถือว่ามันไม่มีอยู่จริงครับ”

เย่หนิงกะพริบตามอง “เรื่องที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ชั่วคราว ถือว่าไม่มีอยู่จริงอย่างนั้นเหรอ”

เสิ่นอี้อธิบายขึ้นต่อ “พูดอย่างนี้ล่ะกันนะครับ เรื่องที่พวกเราไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ในตอนนี้ บางทีอาจจะพิสูจน์และยืนยันได้ในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่น ไฟฟอสฟอรัสที่คนโบราณเรียกว่าเป็นลูกไฟวิญญาณ คนในสมัยโบราณไม่รู้จักสิ่งนี้ เลยคิดว่าถูกภูตผีปีศาจหลอก แต่ปัจจุบันพวกเรากลับพิสูจน์และยืนยันได้แล้วว่ามันเป็นหลักการเผาไหม้ของฟอสฟอรัส บรรดาเรื่องราวต่าง ๆ ที่คล้ายกันแบบนี้มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น พวกเหตุการณ์ภาพลวงตา เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นภายใต้สนามแม่เหล็ก เป็นต้น เหตุการณ์แบบนี้พวกเราพบเห็นได้ไม่น้อยเลยนะครับ”

เย่หนิงเข้าใจขึ้นมาในทันใด “แสดงว่า เสิ่นอี้ คุณไม่ได้ปฏิเสธถึงการมีอยู่ผีดิบโดยสิ้นเชิงใช่ไหมคะ”

“ถูกต้องครับ ผมไม่ได้ปฏิเสธ ถึงแม้พวกเราไม่มีทางพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงได้ แต่พวกเราก็ไม่มีทางพิสูจน์ว่ามันไม่มีอยู่จริงได้เช่นเดียวกัน ถูกไหมครับ”

เย่หนิงคิดไปมา แล้วถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เชื่อที่ฉันพูดแล้วสิใช่ไหมคะ”

เสิ่นอี้ยกยิ้มขึ้นมา ไม่บอกว่าใช่หรือไม่ “เรื่องนี้ผมขอไม่ออกความเห็นครับ”

“เอาล่ะ” เย่หนิงก็รู้ เรื่องแบบนี้คงทำให้คนเชื่อได้ยากจริง ๆ แม้แต่คนที่เกี่ยวข้องอย่างตัวเธอเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่เลย คงไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่นเหรอก

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ......” หลังจากลังเลมานานหลายนาที เย่หนิงก็ตัดสินใจที่จะบอกเสิ่นอี้ “เฝิงเยี่ยนฮวายบอกสาเหตุที่อยู่ ๆ ผีดิบตนนั้นเน่าเปื่อยในเวลาชั่วครู่กับฉันแล้วค่ะ”

เย่หนิงบอกเรื่องที่รู้มาจากเฝิงเยี่ยนฮวายกับเสิ่นอี้อย่างคร่าว ๆ

หลังจากที่เธอพูดจบนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกหงุดหงิดและกังวลขึ้นมา

พอได้ฟังที่เฝิงเยี่ยนฮวายพูดมา เธอก็กลับสงสัยคนที่อยู่ข้างกายของเธอ นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอาของเธอพิสูจน์และยืนยันคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวายได้ เธอเองก็คงไม่เชื่อเหรอก

เธอยอมที่จะคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดเสียมากกว่า

แต่ไม่คิดว่าเสิ่นอี้จะไม่สนใจ เขาเพียงแต่พูดขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ ว่า “ในหมู่พวกเรามีผีดิบหรือเปล่าผมไม่รู้เหรอกนะครับ แต่เรื่องที่ในโรงพยาบาลนั้นมีหนอนบ่อนไส้อยู่ คุณไม่ต้องสงสัยไปหรอกนะครับ”

“หา ?” เย่หนิงช็อก

เสิ่นอี้ยิ้มออกมา “ดีนะที่คุณเตือนผมก่อน”

“ฉะ ฉันพูดอะไรเหรอ ?” เย่หนิงรู้สึกเริ่มจะมึนเข้าเสียแล้ว

“หนอนบ่อนไส้ไง คุณพูดเองไม่ใช่เหรอ ที่อยู่ ๆ ศพก็เน่าเปื่อยอย่างกะทันหันก็เพราะมีคนใช้อุบายบางอย่างต่อหน้าเรา เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนเราจะไม่พูดถึงมันก่อนนะครับ แต่ในโรงพยาบาลต้องมีคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ ที่อยู่ ๆ นักศึกษาพวกนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมามันก็เป็นหลักฐานชั้นดีเลยล่ะ”

เย่หนิงพูดเสียงหลง “หรือว่าที่นักศึกษาเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเพราะเหตุนี้ใช่ไหมคะ”

พอคิดดูแล้ว มันก็น่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ

“ใช่แล้วครับ สิ่งที่ผมสงสัยก็คือเรื่องนี้แหละครับ” เสิ่นอี้ลดเสียงพูดลง “นักศึกษาจำนวนสามสิบกว่าคนอาศัยอยู่ในโกดังด้วยกันทั้งคืน นอกจากนักศึกษาที่เสียชีวิตไปแล้ว ถึงนักศึกษาคนอื่น ๆ จะมีแมลงดูดเลือดเข้าไปอยู่ในร่างกายน้อยมากแค่เพียงไม่กี่ตัว แต่การแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดในน้ำเลือดนั้นก็แข็งแกร่งมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็พอที่จะขยายพันธุ์ต่อได้ แต่ว่านักศึกษาเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้เสียเลือดมากจนตาย อีกทั้งยังไม่มีอาการสูญเสียเลือดเลยด้วยซ้ำ มันจะเป็นเพราะอะไรกันครับ”

เย่หนิงพูดขึ้นต่อ “นั่นคือเหตุผลที่พวกเราสันนิษฐานไปก่อนหน้านี้สินะคะ มีใครบางคนให้ยาบางอย่างที่สามารถควบคุมการขยายพันธุ์ของแมลงดูดเลือดได้แก่พวกเขา ถึงแม้ว่ายาชนิดนี้จะควบคุมการขยายพันธุ์ของมันได้ชั่วคราว แต่กลับทำให้ร่างกายนักศึกษาเหล่านั้นปรากฏอาการแปลก ๆ ออกมา จนพวกเขาต้องการเลือดสด ๆ อย่างรุนแรงเป็นพิเศษ จากนั้น จากนั้น......”

เสิ่นอี้พูดขึ้นต่อ “ดังนั้นเรื่องสำคัญที่สุดของตอนนี้ก็คือ เขาเป็นใครกันแน่ และเขาให้ยากับนักศึกษาเหล่านั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

เย่หนิงกลับถอนหายใจออกมา “แสดงว่า คนที่น่าสงสัยที่สุดในตอนนี้คือ พวกหมอกับพยาบาลในโรงพยาบาลนั้น มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีโอกาสจ่ายยาให้กับผู้ป่วยจำนวนมากขนาดนี้ได้”

“ใช่แล้ว เราไปกันเถอะ !” เสิ่นอี้ลากเย่หนิงขึ้นตึกไปอย่างรวดเร็ว “เราต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าหยาง ให้เขารีบหาคนไปตรวจสอบ ลองดูว่าช่วงไม่กี่วันนี้มีใครติดต่อกับนักศึกษาเหล่านั้นมากที่สุด ต้องเฝ้าติดตามการกระทำของคนพวกนั้นอย่างใกล้ชิด บางทีนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดีนี้”

เมื่อหยางปินฟังเรื่องราวเหล่านี้จากเสิ่นอี้กับเย่หนิงแล้ว เขาก็รู้สึกขัดเคืองอย่างมาก เขาตบหน้าผากตัวเอง แล้วพ่นด่าออกมา “โวะ! เรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกเรากลับนึกไม่ถึงมาก่อนเลย ทำเอาเวียนหัวชิบเป๋ง เหล่าเถี่ย นายรีบพากลุ่มคนกลับไปที่โรงพยาบาล ให้หัวหน้าจางช่วยตรวจเรื่องนี้ให้กระจ่างเดี๋ยวนี้ !”