webnovel

ตอนที่ 061

ตอนที่ 61 ฉันไม่ได้ง่วงสักหน่อยนะ !

ทันทีที่กลับมาถึงห้องสำนักงาน เย่หนิงก็นอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ เธอนั้นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างมาก มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าโลกกำลังหมุนไปมา

“ถ้าเหนื่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะครับ” เสิ่นอี้รินน้ำให้เธอ

“ฉันไม่ได้เหนื่อยสักหน่อย !” เย่หนิงยอมที่จะทนต่อความล้า แต่ไม่ยอมที่จะหลับตาลง

เสิ่นอี้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “เวลาเพียงเท่านี้คุณคงไม่เจออะไรเหรอกครับ ผมแนะนำให้คุณไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าหากมีงานเข้ามาอีก แล้วคุณไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาติดต่อกันแบบนี้ เกรงว่าร่างกายมันจะรับไม่ไหวเอานะครับ”

“เสิ่นอี้” เย่หนิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขาแล้วถามขึ้นว่า “คุณบอกว่าคนพวกนั้นคิดจะทำอะไรกันเหรอคะ”

เสิ่นอี้เดินไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีอย่างสบาย ๆ ว่า “ผมคิดว่า พวกเขากำลังคิดที่จะทดลองผลิตยาตัวหนึ่งอยู่ครับ”

“ยาอย่างนั้นเหรอคะ ? ยาที่ใช้วิจัยเปลี่ยนคนให้กลายเป็นผีดิบอย่างนั้นใช่ไหม พวกเขาต้องการที่จะค้นคว้ายาพวกนี้ไปทำไมกัน คนธรรมดาที่ต้องการคิดค้นตัวยาแบบนี้ดูท่าเขาคงมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างอย่างนั้นใช่ไหมคะ ? เพื่อสร้างความสุขให้มนุษยชาติอย่างนั้นเหรอ หรือว่าหาเงินสกปรกใส่ตัวกันแน่ วิจัยจนคนตายเนี่ยนะ จะได้เงินมากขนาดไหนกัน หรือว่าพวกเขาจะดูหนังมากไป คิดจะทำเหมือนเรื่องผีชีวะ (resident evil) ขึ้นมาเล่น ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ”

เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น เสิ่นอี้เองก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี “แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะครับ ถ้าเขายอมลงทุนไปตั้งมากมายมหาศาลขนาดนี้ ถึงขั้นจับเอาคนเป็น ๆ มาทดลองอย่างไม่รู้สึกอะไร แน่นอนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาก็คงไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ แล้วล่ะครับ ผลลัพธ์ที่พวกเราได้เห็นในตอนนี้นั้น มันก็เป็นแค่เพียงผลการค้นคว้าที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่านั้นเอง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการแน่ แต่ผมมั่นใจว่าแมลงดูดเลือดนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการแน่นอนครับ !”

“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย...” ดวงตาของเย่หนิงแทบจะลืมไม่ขึ้นเสียแล้ว

“การที่มีแมลงดูดเลือดปรากฏขึ้นที่หมู่บ้านว่างยาชุนนั้น มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ......” เย่หนิงเริ่มที่จะหาวออกมา

เสิ่นอี้นั้นไม่อยากที่จะยื้อเธอเอาไว้แล้วจริง ๆ “ถ้าง่วงเสียขนาดนั้น คุณก็ไปนอนเถอะครับ !”

“ฉันไม่ได้ง่วงสักหน่อย !” เย่หนิงหยิบน้ำขึ้นดื่มจนหมด แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “หลังจากนั้นล่ะคะ คุณพูดต่อสิ”

“กุญแจสำคัญอยู่ที่แมลงดูดเลือดครับ” เสิ่นอี้บอกคำตอบของตนเองให้เย่หนิงฟัง

“หืม ดูดเลือดเหรอ ?”

“ไม่ใช่ดูดเลือด ! อาหนิง คุณคิดสิครับ นอกจากมันจะดูดเลือดแล้ว มันยังมีลักษณะเฉพาะอะไรอีกบ้าง ?”

“นอกจากดูดเลือดแล้วเหรอ ? ก็ยังมี... แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว...”

“ใช่แล้วครับ ถูกต้องเลย” เสิ่นอี้พยักหน้า “นอกจากดูดเลือดแล้ว พวกมันยังลักษณะพิเศษอื่น ๆ อีก ถึงขั้นที่พูดได้ว่าเป็นจุดเด่นของมันเลยเสียด้วยซ้ำ จุดเด่นของมันนั้นแข็งมาก พวกมันมีพลังชีวิตที่ทนมาก ความสามารถในการขยายพันธุ์ก็แข็งแกร่งมากด้วย”

เย่หนิงเหมือนจะเริ่มเข้าใจอยู่นิด ๆ แล้ว “นี่คือสาเหตุที่พวกเขาต้องการที่จะค้นคว้าแมลงดูดเลือดอย่างนั้นใช่ไหมคะ”

เสิ่นอี้ยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ “ถ้าหากเราใช้จุดเด่นของมันให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ และสามารถควบคุมจุดด้อยของมันได้ด้วยในเวลาเดียวกัน คุณว่าผลจะเป็นอย่างไรล่ะครับ ?”

“ผลจะเป็นอย่างไรอย่างนั้นเหรอคะ ?” เย่หนิงชะงักไป

“ใช่ครับ” เสิ่นอี้พูดออกมาด้วยความสะเทือนใจไม่น้อย “ความสามารถในการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดนั้นแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ถ้าหากนำจุดเด่นข้อนี้ไปใช่ในร่างคนล่ะ คุณว่าจะเป็นอย่างไรล่ะครับ ? บาดแผลนั้นจะหายสนิทเร็วขึ้น บางทีอาจจะทำให้อวัยวะภายในที่เสื่อมโทรมฟื้นคืนกลับมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว ความเป็นไปได้นี้น่าจะใช้ได้จริงหรือเปล่าครับ ?”

“นี่......” เย่หนิงรู้สึกตะลึงจนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไรดี “นะ...นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว !”

“ใช่ครับ มันบ้าเกินไปแล้ว” เสิ่นอี้อุทานเสริมขึ้นมา “ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงล่ะก็ มันก็น่าหวาดกลัวมากเลยทีเดียวล่ะ”

“ถะ...ถ้าอย่างนั้น...ศพที่หมู่บ้านว่างยาชุนล่ะ......”

“ก็คงถูกเอาไปทำการทดลองตามระเบียบ ส่วนที่ว่าศพอยู่ที่ไหนนั้น บางทีพวกมันอาจจะกำลังทำการวิจัยดูว่า ศพปกติจะกลายเป็นผีดิบได้อย่างไร”

“แต่ว่า ผะ...ผีดิบพวกนั้น...มันเกิดอะไรขึ้นกับผีดิบพวกนั้นกันแน่...” เย่หนิงรู้สึกว่าตนเองเริ่มที่จะสับสนไปหมดแล้ว

เสิ่นอี้หยุดคิดอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “หากพวกเราลองสมมติกันดูนะครับ สมมติว่าเฝิงเยี่ยนฮวายนั้นพูดความจริง ศพที่พวกเรายกกลับมาก็เป็นผีดิบร้อยปีจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเช่นนี้ก็ได้ เรื่องอาจจะเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว มีคนบางคนได้ผ่านมาที่ภูเขาหลังหมู่บ้านว่างยาชุนโดยบังเอิญ และก็พบเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่เติบโตผิดธรรมชาติอย่างผีดิบ ก็เลยเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา อยากจับผีดิบตัวนี้ไปทำการทดลอง เพื่อที่จะได้รู้ว่าเกิดอะไรกับผีดิบตัวนี้กันแน่ และคิดว่าบางทีสิ่งที่เขาทำการทดลองออกมานั้นอาจจะกลายเป็นผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างความฮือฮาให้แก่เหล่ามนุษยชาติก็ได้”

เย่หนิงพยักหน้า “นี่ก็อาจจะเป็นไปได้”

“เพราะฉะนั้นเช่นนี้พวกเราก็สามารถอธิบายได้แล้วว่า” เสินอี้พูดขึ้นต่อ “ทั้งแมลงดูดเลือดและผีดิบ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในผลงานค้นคว้าของพวกเขาอย่างขาดไม่ได้ เพราะเป็นไปได้อย่างมากว่าแมลงดูดเลือดพวกนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผีดิบมีชีวิตอยู่ พวกเขาเอาเป้าหมายที่วิจัยล้มเหลวไปเก็บไว้ในถ้ำที่พบกับผีดิบ เพื่อที่จะลองดูว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกินขึ้นจริง ๆ สภาพแวดล้อมแห่งนั้นก็จะกลายเป็นโครงการค้นคว้าในเวลาเดียวกัน”

“แต่ว่า พวกมันจะหาคนเยอะขนาดนี้มาจากที่ไหนล่ะคะ ? โลงศพในถ้ำก็มีไม่ใช่น้อยเลย ถ้าทุกโลงมีคนอยู่ล่ะก็... ให้ตายเถอะ ! มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว !”

“ไม่ใช่เรื่องแปลกเหรอกครับ” เสิ่นอี้รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่แปลกสักเท่าไหร่นัก “ประชากรทั่วประเทศพันล้านกว่าคน จะหาคนหลายร้อยคนมาทดลองคงไม่ใช่เรื่องยากเหรอกใช่ไหมล่ะครับ ขอทาน คนจรจัด คนพวกนี้ถึงสูญหายไปก็ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนอยู่แล้ว ถ้าหากจะรวบรวมคนมาจากที่ใดที่หนึ่งก็อาจจะเสี่ยงจากการถูกพบเห็นได้ แต่ถ้าพวกเขาหาเป้าหมายทำการทดลองมาจากทั่วประเทศล่ะ ? เกรงว่าจะเป็นสนใจของทางตำรวจได้ยากมากเลยล่ะครับ”

“พวกนี้เจ้าเล่ห์จริง ๆ !” เย่หนิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

“ใช่แล้ว” เสิ่นอี้อุทาน “คู่ต่อสู้ของพวกเรานั้นดูท่าไม่ง่ายดายนัก เพราะฉะนั้นตอนนี้เราคงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ ถ้าหาช่องโหว่เจอก็สบายใจได้ แต่ถ้าไม่ล่ะก็ คิดจะกระชากมือมืดออกจากหลังม่านก็คงไม่ง่ายแล้ว ถ้าคราวนี้ไม่ใช่เพราะนักศึกษาเหล่านั้นพลาดเข้าไปในหมู่บ้านว่างยาชุนล่ะก็ บางทีพวกเราอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้นะครับ”

เมื่อเย่หนิงคิดไปคิดมาแล้วนั้นก็ถามขึ้นว่า “เสิ่นอี้คะ คุณคิดว่าชาวบ้านในหมู่บ้านว่างยาชุน......จะมีผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ในนั้นไหมคะ ?”

“ชาวบ้านในหมู่บ้านว่างยาชุนนั้นต่างน่าสงสัยมาก กู่ซานหมิงคนนั้นพูดจาไม่น่าเชื่อถือเลย เขาไม่คิดที่จะให้ความร่วมมือกับพวกเราเลยด้วยซ้ำ......”

“เสิ่นอี้ คุณใช้เทคนิคสะกดจิตกับเขาได้หรือเปล่า ?”

เสิ่นอี้รู้สึกอี้งไปบ้าง “วิธีนี้......ก็ลองได้นะครับ”

“ฮึ่ม ! หากเราจับเขามาสะกดจิตได้ คงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่พูดความจริงแล้วล่ะ”

เย่หนิงรู้สึกว่าตนเองได้คิดวิธีดี ๆ ขึ้นได้อย่างหนึ่งแล้ว ก็เลยรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก “ระ...รีบโทรศัพท์ไปที่สถานีตำรวจตำบล บอกให้พวกเขาพาเจ้าตัวมาที่กรมตำรวจทันที พวกเราจะได้สอบสวนเขาให้รู้เรื่องกันไปเลย !”

ไม่รู้ว่าเสิ่นอี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาเงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นว่า “มันไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เหรอกนะ... แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือ พวกเราก็คงได้แต่ทำแบบนี้ล่ะครับ แต่ผมขออธิบายก่อนนะว่า เทคนิคการสะกดจิตมันไม่ได้อันตรายอย่างที่คุณคิดเหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถามอะไรออกมาได้ทั้งหมดเช่นกัน”

เย่หนิงเบิกตาขึ้นแล้วพูดออกมาว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องลองดูค่ะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมพูดอะไรออกมาแน่ คุณว่าอย่างนั้นไหม ?”

“ใช่ครับ ใช่ ๆ ...” พอเห็นว่าเย่หนิงอ่อนล้าจนขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังอดทนไม่ยอมที่จะหลับลงไป เสิ่นอี้ก็รู้สึกขำเป็นอย่างมาก “โอเค เอาล่ะ อาหนิง คุณอย่าคิดมากไปเลยครับ คุณกลับไปนอนก่อนดีกว่า การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญนะครับ”

“ฉันไม่ได้เหนื่อยสักหน่อยนะ !” เย่หนิงรีบนั่งตัวตรง “ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว จะให้นอนอะไรอีกกันล่ะ !”

“คุณไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอครับ ?” เสินอี้มองเย่หนิง มุมปากแฝงรอยยิ้มบาง ๆ เอาไว้

“จริง ๆ สิ......” ไม่ว่าเย่หนิงจะพูดอะไรออกมาก็ฟังไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เธอรู้สึกว่าเปลือกตาเริ่มที่จะหนักอึ้งลงไปทุกทีทุกที ระหว่างที่เธอกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น ก็เหมือนจะเห็นว่าดวงตาที่พาให้ผู้คนหลงใหลของเสิ่นอี้คู่นั้นกำลังอยู่ในสายตาของตนเอง ดวงตาของเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้นทีละนิด ๆ ราวกับน้ำวนที่ไร้ก้นบึ้ง ดึงดูดตัวเธอให้เข้าไปในนั้น......