"คอนโดมิเนียมของพี่ดาบนี่สะอาดมากเลยนะเนี่ย" เซเรียที่มาคอนโดมิเนียมของศัสตราครั้งแรกกวาดตามองความสะอาดสะอาดและเรียบหรูนั่นอย่างละเอียด
ศัสตราดูเป็นผู้ชายมาดเนี๊ยบ ก็ไม่แปลกที่จะรักสะอาดด้วย
แต่การตกแต่งห้องแบบนี้ดูจะเรียบเกินไปหน่อย
"พี่ดาบอยู่คนเดียวเหรอคะ?" เซเรียถาม
"อืม"
"แยกกันอยู่กับพ่อแม่เหรอ ทะเลาะกับที่บ้าน?"
"สืบจนรู้มาแล้วก็อย่าถามเลยน่าเซเรีย เรื่องของครอบครัวศัสตราน่าปวดหัวมาก" ขัตติยะที่เดินตามหลังเข้ามาพูดก่อนจะนั่งบนโซฟาที่เขาคุ้นเคย
ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่ขัตติยะมาที่นี่ แต่ขัตติยะคนเดิมเคยมาหลายครั้งแล้ว
เซเรียแลบลิ้นอย่างทะเล้น ที่จริงเธอก็สืบเรื่องนี้มาแล้วนั่นแหละ
ครอบครัวของศัสตราน่าปวดหัวแค่เฉพาะกับตัวเขาเองเท่านั้น แต่ในสายตาคนอื่นมันคือครอบครัวที่คลั่งรักลูกชายคนรองของบ้านต่างหาก
ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็ให้ได้ทั้งนั้น แต่ที่ทะเลาะกันอย่างหนักถึงขั้นศัสตราหนีออกมาอยู่เองก็เพราะเขาเลือกที่จะเป็นแอ็กนัสต่างหาก
แม้ว่าจะเป็นไปแล้วด้วยความบังเอิญ แต่ศัสตราก็ไม่ได้ปฏิเสธการเป็นแอ็กนัส
ถามว่าการปฏิเสธเป็นไปได้หรือไม่?
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้
ยกเว้นว่าคุณจะออกจากเซฟโซนไปเป็นเวลา 365 วัน เพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าหอคอยรับพลังเป็นฮันเตอร์แทน
การเป็นฮันเตอร์ยังไงก็ดีกว่าแอ็กนัส หลายคนคิดแบบนั้น
แอ็กนัสคือสัญลักษณ์ของเหยื่อหรือการบูชายัน แต่ด้วยสภาพของโลกนี้ การเสียสละของแอ็กนัสจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้
เพียงแต่หวังว่าตนเองจะไม่ใช่ผู้ที่จนตรอกจนต้องหยิบกุญแจหรือบังเอิญไปจับมันเข้า
หายากมากที่จะยอมรับการเป็นแอ็กนัสด้วยตัวเอง
อย่างเช่นศัสตราและเซเรีย
แม้ว่าเขาจะจำใจไปสักหน่อยที่จะเป็นแอ็กนัสแต่ก็ไม่รู้สึกแย่
"แล้วครอบครัวของพี่ตินไม่ได้ได้เป็นห่วงบ้างเหรอ" เซเรียถาม เพราะเธอสืบข้อมูลเกี่ยวกับขัตติยะไม่ได้มากนัก
ไม่สิ เรียกได้ว่าประวัติธรรมดาจนไม่รู้สึกพิเศษตรงไหนเลย
คนแบบนี้อยู่อย่างธรรมดาได้ยังไงกัน?
"สบายมาก พ่อแม่ของฉันคุยรู้เรื่องกว่าของดาบเยอะ" ขัตติยะยิ้มเยาะใส่เพื่อน
"ไม่ต้องมายิ้มเยาะเลย ถ้าพ่อแม่ได้รู้ถึงสกิลมหาโกงของนายเข้าน่าจะวิตกจนผมหงอกขึ้นเหมือนพ่อฉันแน่ เพราะลูกชายเป็นเนื้อที่ใครๆ ก็อยากจะครอบครอง" ศัสตราเบ้ปาก
"นี่พ่อนายผมหงอกเพิ่มอีกแล้วเหรอ?"
"อื้ม แต่ก็พยายามย้อมสีดำอยู่นะ เป็นคนที่ไม่รู้จักแก่จริงๆ"
"อย่าไปพูดแบบนั้นต่อหน้าแม่นายเข้าล่ะ"
"ทำไม?"
"ไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงไม่ชอบให้ถูกหาว่าแก่ ชมเยอะๆ เข้าไว้เพื่อเอาตัวรอดดีที่สุด" นี่เป็นเทคนิคลับที่ได้มาจากการอยู่กับพี่สาวที่อายุห่างกันมากเป็นเวลานาน
ถึงพวกเธอจะอายุเยอะแล้วก็ตาม แต่จะมีใครมาบอกแก่หรือเรียกป้าไม่ได้เลย
เขาเคยเผลอพูดออกไปทีเดียว ความทรงจำหายไปสามวัน
หมายถึงหลับยาวไปสามวันเพราะโดนพี่สาวต่อย
"เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้น่า" ศัสตราก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ใช่พวกชอบชมผู้หญิงสักเท่าไหร่ แม้แต่เซเรียที่จัดว่าเป็นสาวสวยยังไม่ได้ยินคำชมจากปากเขาเลย
ถ้าให้พูดสิ่งที่ออกมาคงเป็นคำว่า 'ก็พอใช้ได้'
ทำตัวเป็นท่านประธานบริษัทที่เย็นชาไปได้ แต่ตอนอยู่กับเขานี่ขี้บ่นจู้จี้ยิ่งกว่าแม่แท้ๆ อีก
เอ๊ะ! หรือนี่คือความต่างของคนที่สนิทกับไม่สนิทกันนะ?
"พวกพี่นี่สนิทกันดีจังเนอะ" เซเรียนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม มองดูความสัมพันธ์ของชายหนุ่มทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
ถึงจะเคยอ่านมาว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากจนเหมือนพี่น้อง
แต่พอได้มาสัมผัสจริงๆ มันรู้สึกเป็นบรรยากาศของเพื่อนที่สนิทมากจนไม่มีใครมาแทนที่ได้ เป็นความไว้วางใจและเชื่อใจอย่างประหลาด
น่าอิจฉา เซเรียคิดในใจ
เธอเองก็อยากมีเพื่อนที่สนิทแบบนี้บ้าง
เพราะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีทายาทในตระกูลเยอะมาก จึงเกิดการแข่งขันกันเองภายในหมู่พี่น้อง แม้ว่าเซเรียจะเป็นผู้หญิงเธอก็ยังต้องแย่งชิงสิทธิ์ของตัวเองด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะหักหลัง หลอกลวงหรือการคดโกงเธอก็เจอมามากมาย
เธอไม่มีใครที่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้
ถ้าพวกเขายอมรับเธอเป็นเพื่อน... ก็คงดี?
"เหม่ออะไรอยู่เซเรีย เรียกสองสามครั้งแล้วนะ" ขัตติยะเรียกหญิงสาวอีกครั้ง เธอเบิกตากว้างเล็กน้อยแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน
"ไม่มีอะไรค่ะพี่ แค่อิจฉาความสนิทของพวกพี่เท่านั้นเอง"
"มีอะไรให้น่าอิจฉา ความรู้สึกเหมือนมีดาบเป็นพยาธิในท้องนี่ขนลุกมากนะ"
"ใครอยากไปเป็นพยาธิในท้องนายไม่ทราบ!" ศัสตราถลึงตาใส่
"งั้นก็เลิกนิสัยอ่านความคิดฉันสักที"
"นายต่างหากเลิกคิดไร้สาระเพราะความอยากรู้อยากเห็นสักที"
"...แย่อ่ะ เลิกไม่ได้"
"..." ศัสตราทำหน้าบูด เหลือทนกับเจ้านี่จริงๆ
"ฮ่าๆ พวกพี่นี่ตลกกันจริงๆ" เซเรียหัวเราะออกมาดังๆ พวกเขาเป็นกันเอง เปิดเผยและผ่อนคลายมาก ทำให้เธอที่ระมัดระวังอยู่ก่อนหน้านี้คลายความระวังตัวลงไปมาก
พวกเขาไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี แต่ก็น่ารักแปลกๆ ล่ะ
"เอาล่ะ ผ่อนคลายกันพอแล้วก็มาคุยเรื่องจริงจังกันดีกว่า" ขัตติยะเปลี่ยนท่านั่งไขว้ขาประสานมือเหนือเข่า "ที่มานัดเจอกันอย่างนี้คงมาคุยเรื่องผลประโยชน์และคิดจะจัดตั้งกิลด์แอ็กนัสอย่างเป็นทางการในประเทศไทยใช่ไหม?"
"พี่ตินรู้ได้ยังไงน่ะ" เซเรียอ้าปากกว้างไม่น่าเชื่อ ศัสตราก็เช่นกัน
"ฉลาดแบบนี้ใช่ตินจริงเหรอ?"
"คุณศัสตราครับ เป็นพยาธิในท้องก็ต้องรู้สิว่าฉันตัวจริง" ขัตติยะถลึงตาใส่
"ก็บอกว่าไม่อยากเป็นพยาธิในท้องนายไงเล่า" ศัสตราแค่แซวเล่น เพื่อนก็เล่นพยาธิไม่เลิกสักที เขาคิดว่าในอนาคตน่าจะมีปมเรื่องพยาธิแน่ถ้ายังไม่เลิกพูด
หรือเขาต้องซื้อยาฆ่าพยาธิให้ขัตติยะกิน?
"แต่นายดูไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองมาก่อนเลยนี่ติน ฉันก็เลยแปลกใจที่ดูนายจะรู้เรื่องมาบ้าง ไปนอนคิดมาแล้วหรือไง?" ศัสตรายังไม่เลิกสงสัย
"คุณดาบครับ ผมไม่ได้สนใจไม่ได้แปลว่าผมโง่นะครับ เรื่องแบบนี้คิดออกได้ง่ายๆ เถอะ" ขัตติยะกลอกตา
ไม่สนใจการเมืองไม่ได้แปลว่าไม่รู้ข่าว เข้าใจตรงกันนะ
"ถ้าพี่ตินรู้เรื่องแล้วแสดงว่าพี่ก็เห็นด้วยใช่ไหม?" เซเรียถามอย่างจริงจัง ขัตติยะส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ
"เห็นด้วยก็จริงนะ แต่ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดไว้เลยสักนิด"
"นั่นสินะ อย่างนายจะไปคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้..."
"ทีอย่างนี้ล่ะเชื่อเลยนะ"
นี่ศัสตรามองเขาเป็นคนยังไงเนี่ย ถามจริง?
"บอกตามตรงนายดูอ่อนแอและไม่น่าเชื่อเลยในสายตาของฉันตั้งแต่นายเป็นแอ็กนัสเลยนะครับคุณติน"
"ผมคงดูเหมือนแกะโง่ใช่ไหมครับคุณดาบ"
"ถูกต้องครับ"
"ไม่ต้องยืนยันก็ได้เว้ย! ตอบเลี่ยงๆ แถๆ ให้ชื่นใจสักหน่อยไม่ได้หรือไง"
"ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากโกหกนาย"
"..."
คำพูดเหมือนฟังแล้วซึ้ง แต่อึ้งมากกว่า
สรุปว่านายยังคงยืนยันว่าฉันเป็นแกะโง่สินะ!!
"ถ้าเรื่องจัดตั้งกิลด์แอ็กนัสในประเทศฉันกับพี่ดาบสามารถจัดการคัดคนได้บ้างอยู่นะคะ ถึงส่วนใหญ่แอ็กนัสจะเป็นชนชั้นล่างที่ยากจนและมีสังกัดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีพวกไม่มีสังกัดเหลืออยู่" เซเรียเอ่ยถึงสถานการณ์ของแอ็กนัสในโลก "มันก็ความเป็นไปได้ที่จะจ้างแอ็กนัสจากต่างประเทศมาด้วย พวกพี่ก็มีข้อมูลใช่ไหม แอ็กนัสขอแค่อยู่ในเซฟโซนก็จะถูกเรียกเข้าดันเจี้ยนล็อก มันไม่ได้บอกว่าแอ็กนัสจะย้ายเซฟโซนไม่ได้"
"เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ แอ็กนัสจากประเทศที่เซฟโซนหายไปอย่างไอซ์แลนด์และแกมเบียก็ยังถือกุญแจอยู่ พวกเขาก็ถูกรับเข้ามาอยู่ในเซฟโซนที่เหลือ" ศัสตรากอดอกพยักหน้า
มันไม่ใช่ความลับเรื่องแอ็กนัสจะย้ายเซฟโซนได้ ที่ห่วงก็คือเซฟโซนหายมากกว่า
แต่มันก็เคยมีเหตุการณ์เซฟโซนหายแล้วกุญแจหายไปด้วย
เหตุเกิดที่ไอซ์แลนด์ที่แรก เมื่อเซฟโซนหายไป กุญแจที่ควรจะหล่นตามพื้นจะหายไป ถ้าแอ็กนัสเดิมในนั้นขว้างกุญแจที่มีอยู่ทิ้งไปด้วยก็จะเสียสิทธิ์การเป็นแอ็กนัสเช่นกัน
ราวกับทางช่วยให้รอดพ้นสถานะแอ็กนัสเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
ในช่วงก่อนหน้านี้เกือบยี่สิบวันที่ไม่มีการเรียกของดันเจี้ยนล็อก เขาก็เคยโยนกุญแจทิ้ง แต่มันไม่หายไป รู้สึกวางใจได้ครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งกังวลว่ามันจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าเซฟโซนหาย
สรุปแล้วอาจเป็นเขาที่คิดไปเอง
"ตอนนี้เหลือเซฟโซนแค่ห้าที่ก็ต้องรักษาไว้ดีๆ ล่ะนะ แต่ละประเทศตอนนี้เป็นยังไงบ้างเหรอ" ขัตติยะทำเป็นไม่รู้เกี่ยวกับแอ็กนัสมากนัก
เขาต้องทำเนียนเป็นแอ็กนัสมือใหม่ ทั้งที่เขารู้มากกว่านั้นซะอีก
แต่มันช่วยไม่ได้ ถ้าแสดงออกว่ารู้มากเกินไปเดี๋ยวจะถูกจับพิรุธได้ เพราะข้อมูลที่เขามีมันล้ำหน้าสถานการณ์ตอนนี้ไปถึงห้าปี
ความต่างห้าปีนี่มากพอจะแลกเปลี่ยนข่าวสารได้มากมายแล้ว
"พี่ตินเพิ่งเข้าวงการก็ไม่ได้ศึกษาเลยเหรอ ไหนพี่ดาบบอกเป็นคนอยากรู้อยากเห็น" เซเรียถามราวกับจับพิรุธได้
"อยากรู้อยากเห็นเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะสิ ถ้าเป็นเรื่องจริงจังฉันกลัวว่ามันจะไม่ซึมเข้าสมองของคุณขัตติยะเขาล่ะครับ"
"คุณก็พูดแรงไปครับคุณศัสตรา"
เรียกชื่อจริงเต็มๆ กันอย่างนี้เจตนาจิกกัดแรงมาก
นอกจากจะบอกว่าเขาเป็นแกะโง่แล้วยังจะว่าเขาเป็นพวกไร้สาระอีกเหรอ
นี่ยังเป็นเพื่อนกันจริงไหม อีกนิดจะต่อยกันแล้วนะ
"ที่เหลือก็ประเทศไทย อาร์เจนติน่า คิวบา อิสราเอลและโมซัมบิก ถ้ามีแอ็กนัสโดดเด่นที่สุดในโลกไม่นับพี่ตินก็น่าจะเป็นแอ็กนัสของอาร์เจนตินา" เซเรียนับนิ้วของเธอ
"ปล่อยแอ็กนัสของอาร์เจนตินาไปเลย ทางนั้นมีคนหนุนเยอะแน่นอน ซื้อไม่ได้แน่ๆ" ขัตติยะโบกมือ
"ของอิสราเอลก็มีนะ ถึงจะไม่ใช่นักบุญแต่อาชีพก็ถือว่าระดับเดียวกัน"
"อันนั้นก็ไม่สนใจเหมือนกัน จำได้ว่าหมอนั่นมีนิสัยรักความยุติธรรมมากด้วย สมกับอาชีพผู้กล้าที่ได้มา"
นึกถึงตัวละครที่อยู่อิสราเอลแล้วขัตติยะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
แน่นอนว่านั่นก็เป็นตัวละครที่มีชื่อในนิยายเหมือนกัน แต่เป็นประเภทสุดโต่งจนเขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยเท่าไหร่
ถ้าคุยกันคิดว่าต้องใช้สมองมากๆ เพราะพวกแอ็กนัสที่ได้อาชีพผู้กล้ามีแต่พวกสมองกล้ามเนื้อ ถ้าเชื่ออะไรแล้วก็เปลี่ยนใจยาก แม้เรื่องจะไม่น่าเชื่อถือแต่ก็ยังเชื่อมั่นใจ
มันน่ารำคาญมาก
อาชีพของแอ็กนัสไม่ได้มาอย่างสุ่ม แต่ได้มาเพราะลักษณะนิสัยส่วนตัวของผู้ถือกุญแจด้วย เรื่องนี้เขียนไว้ในนิยาย แต่คนทั่วไปไม่ได้รู้เรื่องนี้มากนัก และรายละเอียดเกี่ยวกับว่าคนประเภทไหนได้อาชีพอะไรบ้างก็ไม่ได้ลงเจาะลึก
ก็คือนักบุญคือโคตรพ่อพระแม่พระ ผู้กล้าก็รักความยุติธรรมที่สุด
เนโครแมนเซอร์ก็คือผู้มีความทะเยอทะยานสูงแต่เข้ากับคนไม่เก่ง
อะไรแบบนี้น่ะ
ขัตติยะสรุปเอาจากการอ่านเนื้อเรื่องของตัวละครนั้นมา
"พี่ตินเลือกนิสัยแอ็กนัสด้วยเหรอ" เซเรียถาม ปกติถ้าอย่างได้ทีมเก่งๆ บางครั้งก็ต้องทำหลับตาข้างลืมตาข้างกับนิสัยประหลาดๆ ของพวกเขา
ตัวอย่างเช่นขัตติยะที่ถึงจะดูเป็นคนสบายๆ อะไรก็ได้
แต่ความจริงแล้วเรื่องมากกว่าที่คิด
"ยังไงเราก็ต้องร่วมทีมกัน จะเลือกทั้งทีจะเอาแค่คุณภาพไม่ได้นะ นิสัยก็เป็นส่วนสำคัญ" ขัตติยะพูดอย่างจริงจัง
"แล้วนายคิดว่านิสัยแบบไหนถึงจะดี?" ศัสตราถามอย่างไม่คาดหวัง
"ต้องตามใจฉันสิ ก็ฉันเป็นหัวหน้าไง ลูกน้องที่เชื่อฟังคือดีที่สุด!"
"...ว่าแล้วเชียว"
คิดไว้แล้วว่ามันต้องมาแบบนี้ ศัสตราเลยทำเพียงถอนหายใจ
แต่เซเรียอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าขัตติยะจะเป็นคนแบบนี้
นอกจากเรื่องมากแล้วพี่เขาท่าทางจะเอาแต่ใจด้วยนะเนี่ย
"อย่าไปสนใจเลยเซเรีย ขัตติยะก็บ้าบออย่างนี้แหละ ความฝันวัยเด็กก็คือเล่นบทฮีโร่และช่วยเหลือโลกน่ะ"
"เฮ้ย! อย่าแฉกันสิ แต่นั่นมันก็เก่ามากแล้ว ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วเถอะ!"
"เปลี่ยนเป็นอะไร" คราวนี้มีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย
"ฉันจะไปสู้กันมอนสเตอร์ทุกประเภททั่วโลกยังไงล่ะ มันน่าสนุกจะตายไปนะ ไม่คิดงั้นกันเหรอ?"
"..." ศัสตราเงียบ
"..." เซเรียเงียบ
คือคุณขัตติยะ ไอ้ความฝันที่เปลี่ยนไปนี่มันก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนเท่าไหร่เลยนะ
ยังจะดูบ้ากว่าเดิมอีกเถอะ!
เป็นนักบุญเนี่ยนะจะไปสู้กับมอนสเตอร์ทั่วโลก คิดว่าสายอาชีพตัวเองเป็นอะไร ตัวทำดาเมจเรอะ?
นักบุญคือสายสนับสนุนโว้ย ช่วยเข้าใจอาชีพตัวเองที!!