webnovel

บทที่ 13 : จัดตั้งกลุ่ม

"อย่าทำหน้าเหมือนฉันเป็นคนแปลกๆ สิ" ขัตติยะทนสายตามองของทั้งสองคนไม่ไหว "เอาเป็นว่าตอนนี้กลุ่มนี่ยังไงนะ?"

"ก็คงมีพวกเราสามคนก่อน" ศัสตราพูดขึ้น

"ก็คงมีแค่พวกเราสามคนก่อนนั่นแหละค่ะ" เซเรียยืนยัน "ยังไงเรื่องของพี่ตินยังต้องเก็บเป็นความลับชั่วคราวอยู่แล้ว การจัดกลุ่มเราก็ตั้งลับๆ ไปด้วยเลยเป็นไง?"

"ก็ไม่เลวนะ สร้างขุมอำนาจลับๆ เนี่ย" ศัสตราพยักหน้าเห็นด้วย

"เรื่องรวบรวมแอ็กนัสก็ให้พี่ตินทำเนอะ" เซเรียหันไปทางขัตติยะ

"ทำไมเป็นฉันล่ะ?"

"ก็พี่เป็นคนเรื่องมากเกี่ยวกับนิสัยแอ็กนัสนี่นา"

"...อ้อ"

ทำตัวเองสินะเนี่ย

"ส่วนเรื่องบริหารจัดการกลุ่มฉันกับเซเรียจะจัดการเอง เรื่องเงินทุนก็ด้วย" ศัสตราเตรียมเรื่องเงินทุนไว้แล้ว และเซเรียก็ได้ระบุยอดเงินไว้เรียบร้อย

"ทางนี้มีทุนให้สามสิบล้านบาทค่ะ เป็นเงินส่วนตัวของฉันเอง"

"ของฉันมีห้าสิบล้านบาท เงินส่วนตัวเหมือนกัน"

"อย่างกับอวดรวยกันอยู่เลย ทางนี้ไม่มีน่ะสิ เอาซากศพมอนสเตอร์กับแก่นพลังเวทไปเป็นต้นทุนแทนได้ไหมล่ะ" เงินทุนส่วนตัวของขัตติยะมีไม่ถึงสิบล้านบาทด้วยซ้ำ

ไม่กล้าเอามาร่วมลงทุนเลย

"อ้าว พี่ตินยังไม่ขายเหรอ ว่าแต่พี่มีเท่าไหร่?"

"ถ้าร่างมอนสเตอร์ก็สามสิบตัว แก่นพลังเวทระดับ A สามสิบเอ็ดอัน"

"..." ศัสตราเงียบ

"..." เซเรียเงียบ

"พี่ตินคะ"

"ครับ?"

"ถ้าพี่ขายทั้งหมดนั่นเงินทุนของพี่คนเดียวก็มากกว่าของพวกเรารวมกันอีกนะ" เซเรียลองคำนวนคร่าวๆ เกี่ยวกับราคาตลาดที่รับซื้อซากมอนสเตอร์ระดับ A และแก่นพลังเวทระดับ A

แค่แก่นพลังเวทระดับก็สองล้านบาทแล้ว

ซากมอนสเตอร์ถึงจะราคาต่ำกว่าเพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สภาพที่สมบูรณ์เท่าไหร่แต่มอนเตอร์ระดับ A แต่ยังไงก็ตัวละไม่ต่ำกว่าแปดแสนบาท

"อ้อ ขายได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ" ขัตติยะไม่รู้เรื่องราคาซื้อขาย เพราะตั้งแต่แรกก็คิดว่าจะเอามันให้ศัสตราไปขายอยู่ดี "ถ้ายังไงฝากนายเอาไปขายทีนะดาบ"

"ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายต้องโยนเรื่องนี้มาให้" ศัสตราโครงศีรษะไปมา

"ถ้าเรื่องซื้อขายให้ฉันทำดีกว่า เรื่องบัญชีภายในของพวกเราด้วย" เซเรียเสนอตัวเอง ขัตติยะไม่ขัดข้อง ศัสตราก็ไม่มีปัญหา

"ได้สิ"

"ฝากด้วยนะ"

"ดีใจที่พวกพี่เชื่อใจฉันนะคะ" เซเรียที่ได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคนรู้สึกดีใจอย่างมาก "เท่านี้เราก็เป็นกลุ่มเดียวกันแล้วเนอะ?"

"ก็เป็นอยู่แล้วสิ ไม่ได้เกี่ยวกับเงินหรืออะไรหรอก แต่มาเอาชีวิตรอดไปด้วยกันเถอะเซเรีย แบบ... โอ้~ เพื่อนรัก" ขัตติยะยิ้มอย่างสดใส ถึงแม้คนพูดจะไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

มีคนเรียกเธอว่าเพื่อนอย่างวางใจเป็นครั้งแรก

"อื้ม!" เธอตอบกลับอย่างสดใสเช่นกัน

[ใช้งานสกิล โอ้~ เพื่อนรัก แอ็กนัส 'เซเรีย' อยู่ในลิสต์เพื่อนของคุณ]

"ฉันว่านายอย่าไปพูดไอ้คำว่า 'โอ้~ เพื่อนรัก' ใส่ใครไปทั่วจะดีกว่านะ ฉันขนลุก" ศัสตรายังคงสยองกับคำนี้

ถึงจะไม่ได้รู้สึกแน่เพราะคำพูด แต่คำพูดออกจากปากขัตติยะแล้วรู้สึกไม่ดีเลย

ราวกับมีอะไรแอบแฝงในคำพูดนั่น

"ฉันจะพูด จะกลอกหูนายจนกว่าจะชินเลย..."

"ไม่ต้อง! อยากพูดตอนไหนก็พูดไปเถอะ แต่อย่ามากลอกหูฉัน!!"

ถ้าให้พูดกลอกหู ด้วยนิสัยของขัตติยะจะพูดคำนั้นไปหลายเดือนแน่

เป็นพวกพูดจริงทำจริง

และทำจริงจังในเรื่องไร้สาระเก่งด้วย

"ถ้าเซเรียรับผิดชอบบัญชี งั้นทางนี้ก็รับผิดชอบเรื่องอาวุธและอุปกรณ์ของแอ็กนัสเอง" ศัสตราเสนอหน้าที่ตัวเอง

ธุรกิจของเขามีการติดต่อกับฮันเตอร์สายการผลิตอยู่บ้าง สามารถสั่งทำได้

"ถ้าอย่างนั้นก็ต่างคนต่างมีงานแล้วสินะ" เซเรียปรบมือให้กับความลงตัวนี้

ฝ่ายการเงิน ฝ่ายจัดซื้อและฝ่ายบุคคลพร้อมแล้ว

สวมบทรองหัวหน้าซ้าย รองหัวหน้าขวา และหัวหน้ากลุ่ม

"ว่าแต่เราจะจัดตั้งกลุ่มชื่ออะไร?" ขัตติยะเท้าคางถาม "อย่าบอกนะว่าจะใช้ชื่อวิหารมหาเทพแอ็กนัสน่ะ"

"พี่ตินอย่าแซว!" เซเรียพูดอย่างเก้อเขิน

ชื่อกลุ่มนั่นเธอตั้งเล่นเอาขำๆ

แต่ไม่คิดว่าชื่อกลุ่มเราจะชื่อนั้นจริงๆ หรอกนะ พูดไปก็อายเขา

"ตอนนี้นายเป็นหัวหน้าก็คิดชื่อซะสิ" ศัสตราโยนหน้าที่ให้เพื่อน ขัตติยะเบ้ปากทันที

"นี่มันหน้าที่ของหัวหน้าเหรอ?"

"หัวหน้าคือผู้นำ ชื่อกลุ่มก็ต้องหัวหน้าคิด ถูกต้องแล้วนี่"

"ตรรกะอะไรของคุณครับคุณดาบ"

คนเป็นหัวหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นคนคิดชื่อเสมอไปนะ เพราะบางทีมันก็คิดไม่ออก

แต่ดูจากสีหน้าของศัสตราและเซเรียที่จ้องเขามา ก็บอกอย่างชัดเจนว่าให้เขาเป็นคนตั้ง แถมยังคาดหวังว่าจะได้ชื่อดีๆ ด้วยนะนั่น

คิดว่าเขาเก่งเรื่องตั้งชื่อหรือไงกัน

ขัตติยะกลืนน้ำลายรู้สึกใช้สมองมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพื่อตั้งชื่อกลุ่ม

"มิวแทนท์"

อยู่ๆ ขัตติยะก็คิดถึงชื่อนี้ขึ้นมา พร้อมกับหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างใจดีแต่พฤติกรรมกำลังจะก่อความวุ่นวาย

พี่สาวครับ จะหลอกหลอนข้ามโลกก็ไม่ควรจะมาตอนกำลังตั้งชื่อสิ

"ชื่อนี้แปลว่าอะไรคะ?" เซเรียถาม

"การกลายพันธุ์ หรือผ่าเหล่าก็ไม่แน่ใจ แต่นึกขึ้นมาได้เฉยๆ"

"มันก็ฟังดูเหมาะกับนายที่เป็นหัวหน้าดีนะ" ศัสตรารู้สึกว่าชื่อนี้น่าจะเหมาะกับกลุ่มเราที่สุด โดยเฉพาะคนที่ถูกยัดตำแหน่งหัวหน้าให้

เป็นแอ็กนัสที่ผ่าเหล่าผ่ากอที่สุดเลย

"งั้นก็เอาชื่อกลุ่มตามนี้ เปลี่ยนชื่อในไลน์กลุ่มด้วย"

จากวิหารมหาเทพแอ็กนัสก็กลายเป็น 'วิหารมิวแทนท์'

ยังหนีจากคำว่าวิหารไม่พ้นจริงๆ

ขัตติยะและศัสตราอ่านชื่อกลุ่มอย่างขบขัน

"เรื่องอาวุธคงต้องใช้เวลาอีกสี่ห้าวันถึงจะได้" ศัสตราพูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตอนนี้พวกเขาต้องเตรียมรับมือกับการเรียกของดันเจี้ยนล็อกครั้งต่อไปที่จะมาถึง

"การขายซากมอนสเตอร์และแก่นพลังเวทใช้เวลาไม่นานค่ะ วันเดียวก็พอ ถึงตอนนั้นพี่ดาบก็มาเบิกเงินที่ฉันได้เลย"

"พี่กลัวว่าครั้งต่อไปที่เรียกอาจจะกระชั้นชิดน่ะสิ ถ้าเกิดเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่สามสี่วันเรียกครั้งหนึ่งแบบนั้นก็ไม่ทันการ" งานยังต้องใช้เวลา

แต่ข้อเสียของแอ็กนัสอีกอย่างคือไม่รู้ว่าดันเจี้ยนล็อกจะเรียกเมื่อไหร่

ถ้าอาวุธยังมาไม่พร้อมต่อสู้ แล้วเกิดเหตุลอบโจมตีอีก ศัสตราไม่คิดว่าตัวเองจะรับมือมอนสเตอร์ได้ด้วยตัวเปล่าเลย มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่

"ถ้าเรื่องดันเจี้ยนก็ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้เรียกเร็วๆ นี้อยู่แล้ว" ขัตติยะพูดขัดความกังวลของทั้งสองคน

"นายรู้เรื่องนั้นได้ยังไง?"

"อ้าว ฉันยังไม่เคยบอกนายเหรอว่าสัมผัสได้ว่าดันเจี้ยนล็อกใกล้จะมาเมื่อไหร่?"

"ไม่เคยบอกเลยครับไอ้คุณขัตติยะ!"

ถ้าเคยบอกจะมานั่งกลุ้มใจกันอย่างนี้เหรอ!

"อ้าวเหรอ นึกว่ารู้แล้ว ก็แบบพลังเวทมันรุนแรงมากจนใกล้ล้นดันเจี้ยนมันก็เรียกเราไง สำหรับพวกนักเวทหรือพวกพลังเวทสูงๆ ก็ประเมินได้แล้ว" ขัตติยะพูดเรื่องจริง

ถ้ามีฮันเตอร์ระดับสูงเข้ามาในเซฟโซนพวกเขาจะรู้ได้ถึงน้ำหนักของพลังเวทที่หนาแน่น ยิ่งหนักมากเท่าไหร่แปลว่าเวลาเรียกของดันเจี้ยนล็อกใกล้เข้ามาทุกที

ที่แอ็กนัสไม่เคยสัมผัสได้เพราะได้รับการคุ้มครองจากกุญแจ ด้วยความที่แอ็กนัสอ่อนแอจึงไม่อาจทนต่อพลังเวทที่กดดันขนาดใหญ่ได้ พวกเขาเลยไม่รับรู้มาก่อนจนกว่าพลังเวทจะอยู่ในระดับที่เสถียรพอ

ซึ่งเซเรียที่เป็นตัวเด่นในเซฟโซนประเทศไทยก็รับรู้ได้ในช่วงที่เลเวลถึงระดับสี่สิบแล้ว

สำหรับมนุษย์ทั่วไป พลังเวทไม่มีผลกระทบอะไร เพราะมันไม่ได้เข้าไปในร่างพวกเขาอย่างแน่นอน

คนธรรมดาในเซฟโซนจะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งพิเศษได้จนกว่าจะหยิบกุญแจหรือออกจากเซฟโซนไปที่หอคอย

มันเรียกว่าการจำกัดสิทธิ์

บนโลกนี้ถึงฮันเตอร์จะดูเหมือนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และแอ็กนัสอยู่ต่ำสุดในห่วงโซ่นี้ แต่ที่จริงแล้วคนธรรมดาต่างหากที่เป็นเหยื่อที่ต่ำต้อยที่สุดในกลุ่ม

เพราะพวกเขาไม่มีพลัง และเพิ่มพลังไม่ได้

ต่อให้ฉลาดก็ไม่อาจเพิ่มความฉลาดได้อย่างแอ็กนัสหรือฮันเตอร์

แต่มนุษย์ในตอนนี้ยังไม่ได้ตระหนักถึงมัน

ไม่อย่างนั้นแอ็กนัสคงไม่มองว่าเป็นเหยื่อบูชายันเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ส่วนใหญ่หรอก

แต่ขัตติยะไม่ได้มีพลังสัมผัสพลังเวทแข็งแกร่งของดันเจี้ยนล็อกได้ เขาแค่มีระบบผู้ช่วยอย่างแฟร์ทำให้สามารถดูได้ว่าดันเจี้ยนไหนเหลือเวลาเท่าไหร่ก่อนจะเรียก

"อ้อ นึกออกแล้ว เมื่อสองวันก่อนที่นายเรียกไปหานั่น เพราะนายสัมผัสได้ว่าดันเจี้ยนล็อกกำลังจะเรียกสินะติน นักบุญเป็นพวกที่มีพลังเวทสูง?" ศัสตรานึกไปถึงวันที่ถูกเรียกวันนั้น

ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เจ้าตัวดันพูดออกมาว่ารู้

แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก!

"นักบุญถ้าพลังไม่สูงก็ไม่สามารถบัฟเยอะได้น่ะสิ"

"ก็จริง..."

"เดี๋ยวนะคะ ถ้าอย่างนั้นเราก็สามารถรู้ได้ว่าดันเจี้ยนล็อกใกล้จะมาเมื่อไหร่แน่ๆ ใช่ไหมพี่ติน" เซเรียถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

"ใช่ สามารถบอกล่วงหน้าได้หนึ่งวันเลย"

"งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็ได้เปรียบมาก"

เซเรียพิจารณาแล้ว กลุ่มแอ็กนัสของพวกเขาไปรอดแน่ ถ้าใช้เรื่องนี้เป็นจุดขาย พร้อมด้วยเงินทุนของกลุ่มตอนนี้ก็สามารถพัฒนาไปได้ไกลแน่

การผ่านกุญแจแห่งพันธสัญญาขั้นที่ 8 ก็แค่เรื่องของเวลา

"แล้วครั้งต่อไปจะมาอีกครั้งเมื่อไหร่?" ศัสตราถาม อย่างน้อยได้เวลาคร่าวๆ ก็ยังดี

"น่าจะสักเจ็ดแปดวัน" ขัตติยะตอบ

ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่แอบเข้าดันเจี้ยนล็อกไปเพื่อไม่ให้มีพิรุธ แต่กลุ่มต้องการเวลาสำหรับเตรียมการ เลยจะแอบเข้าไปยืดเวลาให้สักหน่อย

ถือโอกาสไปเก็บสะสมเวลาด้วยเลย

"ถ้ามีเวลาเจ็ดแปดวันงั้นก็พอสำหรับเตรียมการ ตอนนี้ใช้คอนโดมิเนียมของฉันเป็นฐานก่อนแล้วกัน คิดว่ายังไงบ้างติน เซเรีย?" ศัสตราถามความเห็น

ยังไงก็จับกลุ่มกันแล้ว เวลาเข้าดันเจี้ยนก็ไปด้วยกันออกที่เดียวกันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ

"ฉันอยู่ใกล้ๆ ยังไงก็ได้" ขัตติยะไหวไหล่

"ฉันอยู่คนละภาคน่ะสิคะ แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องย้ายมาใกล้ๆ หรอก" เซเรียก็ไม่ขัดข้อง

เธออายุสิบแปดยังเป็นวัยรุ่นที่ต้องเรียนอยู่ แต่เพราะเป็นแอ็กนัสเธอก็เลยไม่ได้ไปโรงเรียนอีก เรื่องการย้ายที่อยู่ก็ไม่มีปัญหา คนส่วนใหญ่ในบ้านคงดีใจมากกว่าถ้าเธอออกมาห่างจากพวกเขา

คนแย่งมรดกจะได้น้อยลง

แต่ก็ไม่นานหรอก ถ้ามีพี่ตินและพี่ดาบอยู่ด้วย เรื่องของอำนาจในประเทศนี้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย

เป็นแอ็กนัสที่มีอำนาจก็ต่อรองในประเทศก็ไม่เลว

"ถ้าเธอไม่ถือสา เมื่อจัดการเรื่องที่บ้านเสร็จแล้วก็ย้ายมาที่นี่เลย มันมีสามห้องนอน ห้องหนึ่งให้ตินอยู่แล้ว" ศัสตราเสนอพื้นที่ว่างของคอมโดมิเนียมให้

ความจริงห้องว่านั่นเอาไว้รับแขก ส่วนห้องของขัตติยะเป็นห้องประจำไปแล้ว ของใช้มีพร้อมแบบสามารถเข้าอยู่ได้ทันที

ก็เหมือนกับศัสตรา ถ้าไปบ้านของขัตติยะก็สามารถอยู่ได้เลยเพราะมีของใช้เหมือนกัน

เป็นเพื่อนที่เหมือนพี่น้อง มันก็จะจัดการง่ายหน่อย

"ว่าจะมาเช่าห้องอยู่น่ะ ไม่อยากรบกวน" เซเรียส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดี

"ห้องเช่าที่นี่ก็ราคาแพงอยู่เหมือนกันนะ ถึงเราจะมีเงินทุนรวมกันมากกว่าร้อยล้านบาทก็เถอะ แต่ประหยัดไว้หน่อยก็ดี เผื่อว่าในอนาคตขยายกลุ่มเราคงต้องเลือกซื้อบ้านสักหลัง" ขัตติยะเสนอความคิดเห็น

ถ้ามองในระยะยาวกลุ่มเราไม่ได้มีกันแค่สามคน แต่จำนวนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าห้องของศัสตราจะกว้าง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการอยู่รวมกันของแอ็กนัส

ไหนจะแยกเพศชายหญิงอีก ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ถึงสังคมในโลกใบนี้จะไม่แบ่งแยกชายหญิงขนาดนั้นแล้วก็ตาม แต่ขัตติยะที่ถูกเลี้ยงดูโดยพี่สาวจึงมีความระมัดระวังกับผู้หญิงอยู่มาก

"มองหาเป็นตึกสำนักงานไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเป็นบ้านอาจจะไม่พอเหมือนกัน" ศัสตราก็คิดว่าห้องเขามันแคบไปสำหรับการขยายตัวของกลุ่มในอนาคต

เขาไม่คิดว่าคนที่จะเข้ามาอยู่บ้านจะมีแค่ห้าหรือสิบคนหรอกนะ

"เป็นตึกสำนักงานมันก็เด่นไปหน่อย ฉันอยากได้แบบที่ห่างไกลผู้คนพอควร"

"ทำไมล่ะ" ศัสตราเลิกคิ้วอย่างสงสัยและยังไม่คาดหวังกับคำตอบ

"ต้องไม่ลืมว่าแอ็กนัสป้องกันตัวเองด้วยสกิลไม่ได้เหมือนในดันเจี้ยนนะ ถ้าเกิดว่าเจอตัวง่ายๆ ข้อมูลเราก็หลุดออกไปง่ายน่ะสิ อีกอย่าง... เรากำลังแอบสร้างกลุ่มกันอย่างลับๆ ก็ทำให้มันดูลึกลับมากๆ ไปเลยเป็นไง"

"...ฉันก็คิดแล้วว่าเหตุผลนายมันไม่ค่อยจริงจัง"

เพราะขัตติยะติดเล่น แต่เหตุผลของเขาก็ดีพอที่จะรับฟัง

ใช่ แอ็กนัสไม่เหมือนฮันเตอร์ที่ใช้พลังนอกดันเจี้ยนได้ พวกเราใช้ได้แค่สกิลประเภทติดตัวเท่านั้น หรือไม่ก็สกิลที่ทำร้ายใครไม่ได้ เลยป้องกันตัวเองไม่ได้มากนัก พวกเขาควรระมัดระวังมากกว่านี้

โดยเฉพาะกับแอ็กนัสอย่างขัตติยะที่พิเศษอย่างมาก

"ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองหาพื้นที่ดูนะคะ พอดีว่าในตระกูลเทวพันธ์มีที่ติดบางส่วนเหลืออยู่ ถ้าเอามาสร้างบ้านของพวกเราก็น่าจะได้" เซเรียเสนอ แต่ศัสตราไม่เห็นด้วย

"แบบนั้นตระกูลเทวพันธ์จะเจอตัวเราง่าย ทางเธอเองก็คงไม่อยากจะให้ทางนั้นรู้ตัวตนใช่ไหม เรื่องนี้คิดว่าให้ตินจัดการดีกว่า"

"ฮะ? ฉันเหรอ?" ขัตติยะชี้นิ้วใส่หน้าตัวเอง

"ก็นายเป็นหัวหน้า"

"...ตอนนี้ฉันชักไม่อยากเป็นหัวหน้าแล้วนะ"

คำว่าเป็นหัวหน้าเหมือนเป็นข้ออ้างในการโยนภาระมาให้ยังไงไม่รู้

แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหากับขัตติยะจริงๆ นั่นแหละ

เพราะเขาเป็นลุกชายของเศรษฐีที่รอยมาจากการขายที่ดิน แน่นอนว่าเรื่องการติดต่อซื้อขายที่ดินในประเทศก็มีเส้นสายอยู่แล้ว

ที่เหลือก็แค่คิดว่าจะอยู่ส่วนไหนของประเทศเท่านั้นแหละ