webnovel

chapter 9

บทที่ 9

[นับหนึ่ง]

"ควินซ์ ไปวัดหวังต้าเซียนก่อนนะ"

หลังจากจบมื้ออาหารเวลาสายของวันนี้ ความต้องการในเวลานี้คือการไปไหว้พระขอพรด้านความรักกับวัดดังเป็นอันดับแรก ทั้งที่ตอนแรกผมคิดจะพาควินซ์ไปเดินช้อปปิ้งก่อน

เปลี่ยนใจแล้ว

ถามว่าทำไมอยู่ๆ ผมถึงเปลี่ยนแพลนปุ๊บปั๊บ

ก็...ฮึ่ย! ไม่อยากจะพูด

แต่ขอพูดหน่อยเถอะ

จู่ๆ ไอ้บริษัทจัดหาคู่เวรนั่นน่ะสิ ไอ้ผมก็นึกว่ามันหายสาบสูญไปแล้วแต่ว่ามันยังคงยืนหยัดอยู่ปกติสุข แถมวันนี้ยังส่งอีเมลมาให้ควินซ์ดูคู่เดตอีก แต่คนที่น่าทุบมากกว่าบริษัทบัดซบนั่นคือไอ้เลขาข้างกายผมเนี่ย!

ยังกล้ามาเปิดดูอีเมลนั่นต่อหน้าต่อตาผม ไม่เพียงเท่านั้นนะยังมีหน้ามาถามด้วยว่าคนนี้ดีมั้ย เหมาะกับมันรึเปล่า กลับไปไทยจะไปเดตกับคนนี้ดีหรือคนนั้นดี

ถ้าจะหาคนดีๆ ก็อยู่ตรงหน้ามึงนี่ไง

ผมนี่แหละ ดีที่สุดของจักรวาลแล้ว!

ถ้ามองไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว!

"หือ?" ควินซ์เพิ่งจิบน้ำเสร็จทำหน้างงใส่ผม "ไม่ใช่จะไปเดินซื้อของก่อนเหรอ"

"จะไปวัด" เออ จะไปตอนนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย

กูเป็นบอส! กูใหญ่สุด ห้ามขัด!

ควินซ์พยักหน้า "ดี กูจะไปขอพรเรื่องความรักด้วย" จากนั้นระบายยิ้มอ่อนตาเป็นประกาย "จะได้เจอเนื้อคู่ดีๆ กับเขาสักที"

(ว่าที่) ผัวนั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้าขนาดนี้ยังกล้าถามหาเนื้อคู่อีกเหรอ!

จะหยามกันเกินไปแล้ว!

"ไม่ใช่เจอแล้วรึไง" ผมถลึงตาใส่มองตาขวาง "เนื้อคู่ดีๆ ก็เจอแล้วนี่"

ใช่ อยู่ตรงหน้ามึงเลยเนี่ย มองสิมอง

ผมทำเป็นนั่งเอนหลังพิงเบาะวางท่าอย่างคุณชายผู้สูงศักดิ์ไม่ลืมเชิดคางขึ้นอีกเล็กน้อยแสดงมุมหน้าที่ดูดีที่สุดของตัวเองให้เห็นแต่ทว่า

"ไหนวะ" คนตรงข้ามทำหน้างงแล้วยังมองซ้ายมองขวาหันกลับหลังมองไปทั่วร้านอีก "ไม่เห็นจะมีเนื้อคู่ดีๆ สักคน"

"..." ผมเป็นเนื้อคู่ชั้นเลวเหรอฮะ!

กล้ามองความงามของผมไปได้ยังไง

ควินซ์ถอนหายใจ "แต่อย่างว่าแหละ... ถ้าเนื้อคู่หาง่ายเหมือนผักในตลาด กูคงไม่โสดมาถึงอายุขนาดนี้หรอก"

"มึงไม่อยากโสดขนาดนั้นเลย" ผมหรี่ตามองควินซ์นิ่งๆ

"อายุขนาดนี้แล้วก็ควรสร้างครอบครัวได้แล้ว" น้ำเสียงจริงจังของคนตัวเล็กกว่าว่าอย่างหนักใจแล้วลุกขึ้นไปจัดการจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด

ผมนั่งกอดอกมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงไปด้วยความขุ่นมัว กำลังคิดจะไลน์ไปถามไอ้เก้าแต่คิดไปคิดมาแล้วก็เก็บโทรศัพท์ยัดลงใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม

ความรักของผม

ผมต้องพยายามไขว่คว้าด้วยตัวเองสิ

นั่งคิดวางแผนต่างๆ นานาในหัวยังไม่ทันเสร็จดี สายตาเหลือบไปเห็นควินซ์เดินกลับมาแล้วจึงยอมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตีคู่ออกจากร้านไปด้วยกัน

ด้านหลังตามาด้วยขบวนบอดี้การ์ดนับสิบทำให้เป็นจุดดึงดูดสายตาสุดๆ แต่ผมไม่ใส่ใจนักเพราะทุกอย่างทำไปเพื่อความปลอดภัยล้วนๆ แม้จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างอึดอัดไปหน่อยแต่ถ้าเพื่อความปลอดภัยของชีวิตแล้วก็มองๆ ข้ามไปเถอะ

หลังจากขึ้นรถแล้วค่อยหันไปบอกคนชับรถว่าจะไปไหน จากตรงนี้ไปถึงวัดหวังต้าเซียนใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงให้ควินซ์พูดทบทวนตารางงานในวันจันทร์นี้ของผมอีกครั้ง

"วันหยุดยังจะบ้างานอีกนะ" เลขาบ่นอุบอิบแต่มือก็หยิบไอแพดขึ้นมาเปิด

"มันว่างนี่" ถูกต้องแล้ว ว่างนิดว่างหน่อยเป็นอันต้องหาอะไรทำ ผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่าง เล้วตอนนี้มันว่างพอดีไม่รู้จะทำอะไรก็ขอทวนงานให้ขึ้นใจอีกรอบจะได้ไม่ผิดพลาด

"ว่างก็ทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ทำแต่งาน" ควินซ์ส่ายหัวอย่างเอือมๆ

ผมขมวดคิ้ว "แล้วตอนนี้มันทำอะไรได้บ้าง" เออ ถ้าอยู่ข้างนอกมีเวลาว่าง ผมอาจจะไปทำอย่างอื่นแล้ว

"อ่านหนังสือฆ่าเวลาก็ได้" รีบแนะนำด้วยแววตาเป็นประกายยินดี "ลองดูในแอพก่อน ชอบหนังสืออะไรก็ซื้ออีบุ๊คอ่าน"

"งั้นดูหนังสือธุรกิจนำเข้าให้หน่อย"

อืม ผมไปสำรวจมาแล้ว

ดูเหมือนพี่ออสตินจะไม่ได้ทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีน ดังนั้นผมเลยคิดจะเปิดบริษัทรับนำเข้าส่งออกสินที่ระหว่างไทยและจีน

ใบหน้าสดใสของควินซ์แข็งทื่อไปเลยซึ่งผมมองอย่างไม่เข้าใจ หรือผมทำอะไรผิด?

"มึงช่วยอ่านหนังสืออะไรที่มันผ่อนคลายสมองไม่ต้องคิดเรื่องงานสักห้านาทีจะตายรึไง!" ควินซ์โอดครวญอย่างเหน็ดเหนื่อย

ผมแย้ง "ปกติกูก็อ่านหนังสือพวกนี้ฆ่าเวลานะ"

"ไม่ต้องอ่านแล้ว มา! มาคุยกับกูนี่ คุยกับกูจนกว่าจะถึงวัดหวังต้าเซียนเลย!" ควินซ์สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างจนผมรู้สึกสยองแปลกๆ

นัยน์ตาของผมเป็นประกายระยิบระยับทันที หรือว่า...นี่จะเป็นโอกาส!

ใช่แล้ว การพูดคุยที่มากขึ้นจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เราขยับขึ้นดังนั้นผมต้องหาหัวข้อดีๆ มาสร้างความประทับใจให้ควินซ์

ถามอย่างลังเล "คุยเรื่องอะไรก็ได้เหรอ"

"เออ ปกติมึงกับกูคุยอะไรกันนอกเวลางานก็คุยอันนั้นแหละ" ควินซ์พูดเสียงแผ่วเหมือนหมดแรงยังไงไม่รู้

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพยายามนึกหาหัวข้อสนทนาทั่วไปที่แสนเรียบง่าย

"มึงว่าหุ้นของบริษัท R จะตกมั้ย" ผมนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เลยเอามาคุยเล่น "ได้ข่าววงในว่าจะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ไม่รู้ว่าหุ้นจะร่วงรึเปล่า กูขายทิ้งหรือเก็บไว้ก่อนดี แต่วงในบอกว่าผู้บริหารคนใหม่เป็นเด็กรุ่นใหม่จบจากอ็อกซ์ฟอร์ดน่าจะมีฝีมือไม่น้อย เก็บหุ้นไว้ก่อนก็ดี"

"..." ควินซ์เขียวคล้ำไปแล้ว

อ้าว ทำไมเงียบ

ผมกะพริบตาปริบๆ มองควินซ์อย่างสับสนแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าผมทำอะไรผิด นี่ก็เป็นหัวข้อสนทนาทั่วไปนะ ข่าวซุบซิบในวงการธุรกิจไง

"ควินซ์?" เรียกอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไป

"ขอกูอยู่เงียบๆ สักพัก" ควินซ์กัดฟันกรอดแล้วหยิบไอแพดขึ้นมาจิ้มสามสี่ครั้งจากนั้นยัดใส่มือผมอย่างเผด็จการ "ส่วนมึงก็อ่านอันนี้ไป!"

แม้จะตกใจท่าทีฉุนเฉียวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะเวลาควินซ์โมโหมักจะชอบอยู่เงียบๆ ผมเลยไม่กวนเขา และเพื่อให้เขาอารมณ์ดีเลยยอมอ่านหนังสือที่เขาหามาให้เงียบๆ

เหมือนจะเป็นนิยายแฟนตาซีแฮะ... อืม น่าสนใจ ลองอ่านหน่อยแล้วกัน

ส่วนควินซ์ที่หลังจากส่งไอแพดให้ผมแล้วก็เอาแต่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างแล้วยังทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้สลับกรุ่นเคืองเป็นพักๆ และยังยกมือขึ้นนวดขมับอยู่บ่อยครั้งด้วย

"ชาตินี้มึงก็จีบใครไม่ติดหรอก ไอ้เหี้ย!"

ผมหันไปมอง "เป็นอะไรอ่ะ ควินซ์"

"อ่านหนังสือไป!"

จู่ๆ ก็หงุดหงิด

ผมไปยั่วโมโหเขาตอนไหนกัน

อืมมม... ก็ไม่มีนะ

"คนเยอะชะมัด"

เสียงอุทานดังขึ้นจากคนข้างๆ แววตาสดใสจ้องมองไปยังนักท่องเที่ยวมากมายในบริเวณวัดอย่างสนอกสนใจ พอเห็นแววตาเป็นประกายเจิดจ้าบนใบหน้าสวยแล้วยิ่งดูดยิ่งสบายตา

"วัดหยุด วัดดัง คนเยอะเป็นธรรมดา" ผมพูดไปพลางลอบมองสีหน้าของควินซ์ไปด้วย

ตอนนี้ควินซ์เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว ยิ่งพอลงจากรถแล้วเดินเข้ามาในบริเวณวัดด้วยแล้วยิ่งไม่มีท่าทางฉุนเฉียวอะไร ช่วงนี้เลขาคนงามของผมอารมณ์แปรปรวนเกินไปแล้ว

"ก็จริง" ควินซ์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วกระตุกแขนเสื้อผ้า "ไปดูทางนู้นกัน"

เห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแล้วจึงยอมตามใจแต่โดยดี

ผมปล่อยให้ควินซ์ลากแขนไปยังจุดขายธูปเทียนและสารพัดเครื่องสักการะบูชาด้านหน้าวัดแต่ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะเนบิวล่ากระซิบมาว่าข้างในวัดมีธูปเทียนฟรี

อืมๆ ไปเอาของฟรีแล้วกัน ประหยัดเงินดี

ถึงแม้ว่าผมจะรวยแต่ผมก็งกไม่ใช่ย่อยเหมือนกันนะ

ควินซ์เดินดูร้านค้าต่างๆ อย่างสนอกสนใจ เมื่อดูจนพอใจแล้วจึงหันมาพยักหน้าให้ผมเป็นการบอกว่าเข้าวัดกันเถอะ เนื่องจากมาวัดนี้เป็นครั้งแรกเลยมีความสับสนมึนงงเล็กน้อยว่าต้องปฏิบัติอย่างไร

โชคดีที่ลูกน้องของพี่ออสตินที่ส่งมานั้นนอกจากเป็นบอดี้การ์ดได้แล้วยังเป็นไกด์นำเที่ยวที่ดีอีก

"คนนี้คงไม่ได้รับจ็อบเสริมเป็นไกด์นะ?" ควินซ์ขยับมากระซิบข้างหูผมแล้วเหลือบมองคนด้านข้างที่ยังพูดแนะนำสถานที่อย่างร่าเริงด้วยแววตาฉงนสนใจ

ผมคิ้วกระตุกเล็กน้อย "อาจจะว่างจัดเลยศึกษาประวัติสถานที่ก็ได้"

"งั้นเหรอ" ยังหันไปมองหน้าไกด์จำเป็นอีก "เป็นเด็กที่เอาการเอางานดี"

ถ้ายังไม่เลิกมองจะหึงแล้วนะ!

แล้วกูเนี่ย กูบ้างานขยันฉิบหาย ไม่เห็นจะชมบ้างเลย!

ไกด์ผายมือไปอีกด้านแล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "ตรงจุดนี้เป็น..."

"เลิกพล่ามได้แล้ว รีบๆ พาไปไหว้พระสักที" ผมหันไปพูดเสียงเข้มใส่ไกด์หน้าอ่อนอย่างไม่สบอารมณ์นัก

คนถูกตะคอกใส่สะดุ้งไปเล็กน้อยกะพริบตาอย่างมึนๆ แล้วรีบพาพวกเราไปยังลานไหว้พระของวัดนี้ทันที

"ไปพาลใส่เด็กมันทำไม" คนข้างกายผมว่าอย่างตำหนิ "โมโหอะไรก็อย่าพาลใส่คนอื่น นิสัยไม่ดี"

มึงสินิสัยไม่ดี

นิสัยไม่ดีทั้งตระกูลนั่นแหละ!

ผมกัดฟันกรอดแล้วสะบัดหน้าไปอีกทางเป็นเชิงต่อต้านและสื่อเป็นนัยว่า ข้าจะพาลแล้วจะทำไม

"อะไรของเขา อยู่ๆ ก็โมโห" ควินซ์บ่นอุบอิบเสียงเบา "สงสัยวัยทองมั้ง"

"กูได้ยินนะ!"

เลขาคนงามชี้นิ้วเปลี่ยนความสนใจ "ดูตรงนั้นสิ สวยชะมัด ไปถ่ายรูปกัน"

ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ไม่สามารถระบายความแกรี้ยวกราดอะไรออกไปได้เลย พอควินซ์พาเปลี่ยนเรื่อง ผมแม่งก็ไหลตามตลอดอย่างห้ามไม่อยู่ ถูกเอาใจสองสามนาทีความโมโหหึงก็ถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำไปอย่างรวดเร็ว

ถอนหายใจอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ขณะทำหน้าที่เป็นตากล้องให้คุณเลขาส่วนตัวไปด้วย นัยน์ตาคมกริบจ้องมองรูปภาพที่ตัวเองถ่ายไปเมื่อครู่แล้วคลี่ยิ้มนิดๆ

รูปนี้ถ่ายได้จังหวะพอดีตอนควินซ์เผลอ

ใบหน้าสวยสง่ากับเส้นผมสีอ่อนพัดปลิวไปตามสายลมและยังมีแสงอาทิตย์สาดกระทบใบหน้ายิ่งทำให้ภาพดูละมุนอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

อืมๆ กลับไปแล้วจะเอารูปนี้ใส่กรอบ

เมื่อถ่ายรูปควินซ์ไปพอสมควรแล้วเขาก็มาถ่ายรูปให้ผมบ้าง ซึ่งผมไม่ค่อยชอบนักแต่ถูกบังคับถ่ายไปได้สามสี่รูปก็อยากจะบอกให้หยุดแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจกระตือรือร้นที่จะถ่ายรูปผมขนาดนั้นก็ยอมยืนเป็นนายแบบให้อีกสักพักก็ได้

เหอะ ชอบผมขนาดนี้ยังจะมาเล่นตัวอีก ชิๆๆ

เนบิวล่ายืนกอดอกมองพวกผมอยู่ได้เอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจผม "ทำไมพวกคุณไม่ถ่ายรูปคู่ไว้เป็นที่ระลึกหน่อยอ่ะ มาๆ เดี๋ยวผมถ่ายให้" เจ้าเด็กเตี้ยแอบขยิบตาให้ผมด้วย ผมมองกลับไปนิ่งๆแต่แอบยกนิ้วให้ในใจ อืม แบบนี้ต้องให้โบนัสซะแล้ว

"เฮ้ย ไม่ต้องหรอก" ควินซ์ทำท่าปฏิเสธ

แต่ผมรีบโอบไหล่ควินซ์ให้เขาเข้ามาอยู่ในวงแขนตัวเองแล้วตัดบท "ไหนๆ ก็มาเที่ยวกันแล้ว ถ่ายรูปคู่หน่อยจะเป็นอะไรไป"

"มึงถอยไปหน่อย" คนในอ้อมกอดพยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมแขนแต่ผมกลับยิ่งรัดแน่นขึ้น

"ถ่ายรูปคู่ก็ต้องใกล้ชิดกันเป็นธรรมดา" ผมว่าหน้าตาย

"ใกล้ชิดก็ส่วนใกล้ชิดแต่นี่มึงกอดกูอยู่!" ควินซ์ถลึงตาใส่ผมแล้วตีมือตีแขนผม "คนมองเต็มไปหมดแล้ว เห็นมั้ย!" ผมเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ แล้วกววาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าเป็นเรื่องจริง ตอนนี้นักท่องเที่ยวมากมายหลากหลายสัญชาติกำลังมองมาที่พวกเราด้วยสายตาสนอกสนใจ บางคนยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วก้มหน้ามองดูคนในอ้อมกอดก็พบว่าควินซ์ก้มหน้างุดสีหน้าดูโกรธเคืองแต่แก้มทั้งสองข้างกลับแดงระเรื่อเปล่งปลั่งให้ความรู้สึกเขินอายแบบเด็กหนุ่มทั้งที่เจ้าตัวก็ปาไปสามสิบสองแล้ว

"เห็นแต่แล้วยังไงล่ะ?"

"มึงไม่อายแต่กูอาย! ปล่อย!"

"เขินก็บอกมาเถอะ"

"ไม่ได้เขิน!"

อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้แล้วก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอของควินซ์อย่างอดใจไม่ไหว คนถูกเอาเปรียบตัวแข็งทื่อไปเลยก่อนจะได้ยินเสียงกัดฟันกรอด "นับหนึ่ง นี่มันในวัด อย่ารุ่มร่าม!"

"อ้อ ในวัดทำไม่ได้" เอ่ยกระซิบหยอกข้างหู "แปลว่าทำที่บ้านได้?"

"บ้านมึงสิ!"

ผมแกล้งทำตาโต "หา? อยากทำที่บ้านกูเหรอ ได้นะ แต่อีกตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะกลับไทย เอาบ้านกูที่ปักกิ่งก่อน...โอ๊ย!"

พูดไม่ทันจบดีที่ถูกศอกเข้าท้องไม่เบาแต่เล่นจุกเอาเรื่องเหมือนกัน ผมปล่อยตัวควินซ์แทบจะทันทีแล้วจับท้องตัวเองอย่างเจ็บปวด หันไปมองควินซ์อย่างตำหนิตัดพ้อแต่คราวนี้ท่าทีน่าสงสารของผมกลับใช้ไม่ได้ผลซะแล้ว

"สมน้ำหน้า" เลขาคนงามของผมหัวเราะขึ้นจมูกแล้วสะบัดหน้าเดินไปจุดธูปไหว้พระขอพรอีกด้าน ไม่หันมาสนใจผมแล้ว

บอดี้การ์ดส่วนหนึ่งรีบตามควินซ์ที่เดินแยกไปเพื่อแลความปลอดภัย ส่วนเนบิวล่าเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมมองมาด้วยแววตาล้อเลียน "มารอบนี้คุณดูแปลกไปนะ ปกติไม่เห็นจะทำตัวรุ่มร่ามใส่คุณควินซ์ หรืออยากอวดความรักให้คนโสดเขาอิจฉาครับ"

เนบิวล่าจะแปลกใจก็ไม่ผิดเพราะปกติผมกับควินซ์เวลาอยู่ข้างนอกจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ พูดคุยสนิทสนมใกล้ชิดปกติในแบบเจ้านายลูกน้อง เพื่อนสนิท แต่ครั้งนี้กลับแสดงออกถึงความรักออกมาอย่างชัดเจน

"ฉันกำลังจีบเขา" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแบมือขอดูโทรศัพท์ของเนบิวล่า "จีบยากชะมัด"

"ฮะ ไม่ใช่ว่าพวกคุณเป็นคู่รักกันอยู่แล้วเหรอ" เนบิวล่าเหวอไปเลยแล้วทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ "ท่าทางพวกคุณอย่างกับสามีภรรยาที่อยู่กันมานานไม่มีผิดแต่คุณกลับบอกว่าเพิ่งเริ่มจีบเนี่ยนะ! ให้ตายเถอะ พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อ!"

ผมมองคนพูดมากอย่างไม่สบอารมณ์ "ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าชอบเขา"

"มิน่า บอสถึงชอบบ่นว่าน้องชายคนนี้ซื่อบื่อที่สุด น่าสงสารจริงๆ" ชายหนุ่มร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วแอบมองไปทางควินซ์อย่างสงสาร

"ทำไม? นายจะบ่นว่าฉันโง่รู้สึกตัวช้าอีกคนรึไง" ถามเสียงขุ่นเพราะว่าพอทุกคนรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังไล่ตามจีบควินซ์ต่างแสดงอาการท่าทางสีหน้าออกมาเหมือนกันแทบทุกคนว่า...เออ มึงหายโง่สักที นึกว่าจะรู้ตัวชาติหน้า

ผมแค่รู้สึกตัวช้าไปนิด... เออ ไม่นิดก็ได้

ช้าไปมากแต่ก็ยังไม่โง่จนกู่ไม่กลับที่จะไม่รู้สึกตัว

ยังดีที่ผมรู้สึกตัวได้ทัน

พอคิดว่าถ้าตัวเองรู้สึกตัวช้าไปอีกนิดคงได้เสียใจไปทั้งชีวิตก็หน้าซีดขึ้นมา

"เปล่าครับ เปล่า ใครมันจะไปกล้าคิด" ฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนแล้วรีบอวยพร "ขอให้จีบติดไวๆ นะครับ ผมรอไปงานแต่งของคุณอยู่นะ"

พอได้ยินอะไรที่มันน่าฟังก็พลอยทำให้สีหน้าดีขึ้นยกมือขึ้นตบไหล่เนบิวล่าอย่างพอใจ "อืม แล้วอย่าลืมใส่ซองให้ฉันเยอะๆ นะ"

"...!" เนบิวล่าที่เงินเดือนก็ได้มาอย่างลำบากแถมคนรักก็ให้เงินใช้น้อยนิด

เห็นสีหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาของเด็กคนนี้แล้วยิ่งอารมณ์ดี ผมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วก้มหน้าดูรูปที่เนบิวล่าถ่ายให้ ในแกลลอรี่รูปภาพมีรูปผมกับควินซ์มากกว่าห้าสิบรูปในกิริยาบถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนควินซ์หน้าแดงเขินอาย หรือด่าผมก็มีหมด แต่ละรูปล้วนเป็นธรรมชาติและดูอบอุ่นจนอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มมากขึ้น

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเวลาไม่ถึงสิบนาทีจะได้รูปมากมายขนาดนี้

ดูไปอีกสามสี่รูปแล้วคืนให้เนบิวล่า แน่นอนว่าไม่ลืมกำชับว่าให้ส่งเข้าอีเมลของผมด้วย จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินไปหาควินซ์ เริ่มต้นจุดธูปไหว้พระบ้าง

ยืนสงบนิ่งยกมือพนมถือธูปปากเอ่ยพึมพำบทสวดช้าๆ และเมื่อเอ่ยบทสวดมนต์จบจึงหลับตาลงตั้งจิตให้มั่นเริ่มต้นขอพร

ขอตั้งแต่เรื่องครอบครัวพี่น้อง สุขภาพ จนไปถึงเรื่องการงานการเงินชนิดที่ระบุไปเลยว่าขอให้หุ้นขึ้น ขอให้โปรเจคต่อไปผ่านอย่างราบรื่น

ขอพรครอบจักรวาลแล้วก็เหลือแต่เรื่องสุดท้าย... แอบลืมตาเหลือบมองไปทางควินซ์ที่กำลังหลับตาขอพรข้างๆ แล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ

'ถ้าไม่มากไปก็...ขอให้ผมมีเขาในทุกๆ วัน'

"เมื่อกี้มึงขอพรว่าอะไร"

หลังออกมาจากลานจุดธูปไหว้พระตรงใจกลางวัดแล้ว ควินซ์รีบถามผมทันทีด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นแต่ผมไม่ยอมหรอก

"ไม่บอกเดี๋ยวพรไม่เป็นจริง" ผมบอกปัดแล้วเปลี่ยนเรื่อง "ไม่ใช่ว่ามึงจะมาขอพรเรื่องความรักรึไง ไปกัน"

"อะ อ้อ ใช่ๆ" ควินซ์พยักหน้าสองสามทีแล้วหันไปหาไกด์เฉพาะกิจเพื่อสอบถามวิธีขอพรเรื่องความรัก

ผมเองก็เคยได้ยินว่าที่วัดจีนพวกนี้จะมีด้ายแดงแต่วิธีไหว้ขอพรเรื่องความรักนั้นทำยังไงอันนี้ผมเองก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้สนใจด้านนี้นักแต่เมื่อสถานการณ์ความรักของผมตอนนี้ร่อแร่เหมือนกัน คงต้องพึ่งสิ่งศักสิทธิ์แล้ว

เคยได้ยินมั้ย... ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็ต้องเอาด้วยมนต์คาถา!

ควินซ์จงรัก ควินซ์จงหลง สาธุ!

พวกเราเดินตามไกด์หนุ่มมาที่ลานเนื้อคู่แล้วบอกวิธีถือด้ายแดง บอกขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด

ผมหันไปสะกิดเนบิวล่า "ถ้าฉันขอพร ควินซ์จะรับรักฉันไวขึ้นมั้ย"

"เอ่อ ผมไม่รู้ครับ" เกาหัวแกรกแล้วพูดเบาๆ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแต่สิ่งที่เราควรเชื่อคือตัวเองครับ ...ขอโทษครับ พอดีผมไม่ค่อยเชื่อในพระเจ้า ผมเชื่อแต่ตัวเอง"

ผมนิ่งไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเข้าใจ ความคิดที่จะไหว้ขอเรื่องความรักบ้างก็ลดลง พอนึกได้ว่าที่นี่เป็นการไหว้ขอเนื้อคู่แล้วอดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ ถ้าหากผมขอไปขอมา เนื้อคู่ตัวจริงผมโผล่มาจะทำไง ถ้าเนื้อคู่คนนั้นไม่ใช่ควินซ์ก็แย่สิ

หรือขอพรแบบเจาะจงไปเลยว่าสเปคเนื้อคู่ที่ต้องการคือคนๆ นี้ ถ้าเขาเป็นเนื้อคู่ก็ขอให้เขารับรักผม สรุปสุดท้ายควินซ์ไม่ใช่เนื้อคู่ผมเลยไม่รับรัก

"คุณจะขอพรมั้ย" เนบิวล่าถามขึ้นเมื่อเห็นผมจมอยู่ในความคิด

"ไม่ ไม่ขอแล้ว!" ผมส่ายหน้าพรืดแล้วเผยสีหน้าหวาดผวาแล้วบอกกับตัวเองอย่างหนักแน่น "ฉันเจอเนื้อคู่แล้ว ฉันไม่นอกใจควินซ์!"

.ไม่ขอพรแล้ว! กลับๆๆ ไม่อยู่แล้ว

หันไปมองควินซ์ที่ยืนขมวดคิ้วฟังไกด์เฉพาะกิจอยู่ยังไม่ได้ไปรับด้ายแดงขอเนื้อคู่เป็นอันโล่งอก อยากจะตรงไปลากกลับแต่นึกถึงความตั้งใจตั้งแต่แรกของควินซ์ที่อยากมาไหว้พระขอพรความรักขอเนื้อคู่แล้วเป็นอันสลดขึ้นมา

หรือบางทีควินซ์อาจจะไม่ได้ชอบผม ถ้าชอบก็เลิกชอบไปแล้ว หมดหวังในตัวผมจนเลิกรักเลิกรอคอยแล้วตั้งใจเริ่มต้นใหม่เลยมาขอเนื้อคู่ที่วัดนี้

ยิ่งคิดยิ่งหดหู่จนหน้าซึมเซื่องเป็นหมาป่วยหางลู่หูตกทันที

จากที่ผมเคยบ่นว่านับสองน้องรักขี้มโน ดูเหมือนผมเองจะไม่ต่างกันเลย หรือบางทีดีเอ็นเอนี้อาจจะฝังอยู่ในสายเลือดของบ้านผมไปแล้ว

"นับหนึ่ง ไปช้อปปิ้งกัน"

กำลังยืนคิดมโนไปดาวอังคารและอาจจะไปไกลถึงดาวพลูโตพลันถูกเบรคด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยที่ทำเอาหูของผมกระดิกทันควัน

"หา?" สติสตังยังมาไม่ครบจึงถามอีกครั้ง "เมื่อกี้มึงว่าไงนะ"

"ไปช้อปปิ้ง" ควินซ์ว่าเสียงเรียบ "ย่านการค้าที่จะไปอยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร ไม่รีบไปเดี๋ยวร้านปิด"

"มึง...ไม่ไหว้ขอเนื้อคู่เหรอ" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วถามเสียงแผ่ว

ควินซ์เลิกคิ้ว "หรือมึงอยากให้กูไหว้?"

"ไม่ๆๆ" รีบปฏิเสธแล้วเออออห่อหมกปลาเก๋าราดพริกตามน้ำไม่ขัดไม่ถามอีกเพราะกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจไปไหว้ขอเนื้อคู่ "งั้นกลับ กลับกัน!"

ควินซ์ไม่ขอเนื้อคู่ก็แปลว่าในใจควินซ์ต้องมีผมอยู่แน่ๆ

หึหึ เกรงใจ(ว่าที่)สามีคนนี้สินะ!

ก็ว่าอยู่... ผมออกจะเป็น(ว่าที่)คนรักแสนดีแสนเพอร์เฟ็คต์

ควินซ์ไม่มีทางไปขอเนื้อคู่ขอคนรักใหม่หรอก เหอๆ

ยกยิ้มกระหยิ่มกระหย่องใจแล้วพูดกับควินซ์อย่างเอาอกเอาใจ "งั้นรีบไปกัน จะได้มีเวลาช้อปปิ้งเยอะขึ้น"

มีเวลาช้อปเยอะแปลว่าซื้อของได้เยอะ

"ใครจ่าย?" ควินซ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม "เหมือนก่อนมา มึงพูดว่าไงนะ?"

"กูจ่ายเอง กูจ่ายหมดเลย" ผมฉีกยิ้มโง่งมตอบรับอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ต่อให้ต้องซื้อห้างก็ยอม ขอแค่ออกจากวัดไม่ขอเนื้อคู่แล้วก็พอ!

ควินซ์พอได้รับคำยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วก็พยักหน้าพอใจ หมุนตัวเดินนำผมออกจากวัด ผมหัวเราะเบาๆ มองตามหลังร่างบางไปด้วยแววตาลึกซึ้งขึ้น

"รอด้วยสิ ควินซ์"

รีบเดินไปให้ทันและเมื่อได้ยินมานั่งบนรถแล้วควินซ์บอกจุดหมายปลายทางต่อไปทันที เมื่อรถเคลื่อนออกมาได้สักระยะหนึ่งแล้วผมจึงถามออกไปอย่างห้ามความสงสัยไม่อยู่

"ทำไมจู่ๆ มึงถึงไม่ขอเนื้อคู่แล้ว"

ควินซ์ที่กำลังดูรายการสินค้าในไอแพดที่แพลนไว้จะไปซื้อชะงักนิ่งไปเล็กน้อย "ถามทำไม"

"ก็อยากรู้" เออ ถ้าไม่อยากรู้จะถามเหรอ

คนข้างกายผมไม่ได้ตอบในทันทีเพียงหันมามองหน้าผมอยู่ราวๆ สิบวินาทีก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

"เห็นมีคนทำหน้าอย่างกับคนอกหักเลยสงสาร"

คนอกหัก? หมายถึงผมงั้นเหรอ

"เนื้อคู่กู กูเลือกเองได้"

"..."

"บางที...กูอาจจะเจอเนื้อคู่แล้วก็ได้"

ควินซ์หันกลับมาสบตาผมเงียบๆ แล้วกระตุกยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใจผมเต้นตึกตัก...

"ควินซ์..."

"กูคิดว่าเขาต้องเป็นเนื้อคู่กูแน่ๆ" แววตาดูจริงจังขึ้น

นี่ หรือนี่จะเป็นการสารภาพรัก!

เฮ้ย ผม ผมยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ

"แล้วเนื้อคู่มึง..." ผมอ้าปากพะงาบๆ "เขาคือ..."

คือนับหนึ่งไง นับหนึ่งคนนี้!

พูดมาเลย!

ป๋าพร้อมรับฟังคำว่ารักแล้ว!

"สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน"

"..."

เอ่อ...

"เขาเป็นเนื้อคู่กูแน่ๆ กูมั่นใจ"

เอาเป็นว่า...ก่อนหน้านี้

ผมไม่เคยถามอะไรแล้วกัน ฮือ