webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · Geschichte
Zu wenig Bewertungen
91 Chs

ตอนที่ ๕๙ ผู้ส่งสาร

เช้าวันต่อมา

  เยี่ยอ๋องก็ได้เดินทางเข้าวังหลวงแต่เช้าเพื่อขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามความต้องการของเขาอย่างไม่มีอะไรติดขัด เพราะแม้ว่าองค์ฮ่องเต้จะขอเวลาสักนิดในการให้คำตอบต่อเยี่ยอ๋อง แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธในคำขอนี้

  ช่วงบ่ายในวันเดียวกัน ขันทีคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ก็ถูกส่งตัวให้เดินทางออกจากวังเพื่อไปพบกับแม่ทัพหนุ่มเป็นการด่วน

 

ห้องโถงรับรองแขกของเรือนหลงหลิง

  หลงอี้หลิงสวมใส่ชุดลำลองนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งของเจ้าบ้าน โดยมีจางเก่อและเข่อลั่วยืนประกบซ้ายขวาคนละข้าง 

  เยื้องไปทางด้านหน้าฝั่งซ้ายมือช่วงตรงกลางห้องโถง มีชายสูงวัยรูปร่างผอมบางท่าทางดูภูมิฐาน นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งของแขกข้างกายเขามีหนุ่มน้อยหน้ามน ยืนวางท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

  เวลาต่อมาฟ่งหลันหลั่น เดินถือถาดที่มีเครื่องดื่มและของว่างเข้ามาภายในห้องโถง พร้อมกับบ่าวรับใช้ของเรือนหลงหลิงอีกหนึ่งนาย 

  โดยสตรีน้อยได้เดินตรงไปยังมาแม่ทัพหนุ่ม ส่วนบ่าวรับใช้ก็เดินตรงไปยังแขกผู้มาเยือน ทั้งสองต่างนำของที่ถือมาไปวางลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมหัวตัดข้างกายของคนที่กำลังนั่งอยู่

  เมื่อเครื่องดื่มและของว่างถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อย เจ้าของเรือนก็ผายมือไปทางด้านหน้าและก็กล่าวเชื้อเชิญแขกอย่างสุภาพ 

  "ท่านกงกงอุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมเยียนข้าถึงเรือน โปรดดื่มชาให้หายเหนื่อยและชื่นใจเสียก่อนเถิด"

  หนุ่มน้อยหน้ามน ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ แขก ได้หยิบกาน้ำชาและรินชาลงใส่ถ้วยให้นายของตนอย่างรู้งาน 

  จากนั้นชายสูงวัยได้พยักหน้าตอบรับคำเชิญของเจ้าบ้านอย่างสุภาพ เขายกมือขึ้นด้วยท่าทางอ่อนช้อยและจับไปที่ถ้วยชา ท่วงท่ากรีดปลายนิ้วมือในการยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่ม บ่งบอกได้ถึงตัวตนและฐานะของคนผู้นี้เป็นอย่างดี 

  รอยยิ้มอ่อนโยนและสีหน้าอิ่มเอมใจที่เผยออกมาบนใบหน้าที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูเหมือนว่ารสชาติของน้ำชาจะถูกปากเจ้าตัว 

  ถ้วยชาถูกวางลงบนจานรองเช่นเดิม ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นมองตรงมายังเจ้าของเรือน

  "ท่านแม่ทัพช่างใส่ใจผู้อื่นยิ่งนัก อุตส่าห์มีน้ำใจให้คนนำชาปี้หลัวชุนมาต้อนรับข้าในวันนี้ ต้องขอบคุณจริง ๆ"

  ขันทีเฒ่ากล่าวขอบคุณในน้ำใจและการต้อนรับขับสู้อย่างมีมิตรไมตรีของเจ้าบ้านด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมและเป็นมิตรเช่นกัน

  แม่ทัพหนุ่มรู้จักเขาเป็นอย่างดี ซึ่งคนผู้นี้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี และมีนิสัยปากกับใจตรงกัน 

  "ข้าคงรับคำชมนั้นไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นความคิดของสาวใช้ข้าผู้นี้ นางที่เป็นคนเลือกใบชานั้นมาตอบรับท่านกงกงในวันนี้" 

  แม่ทัพหนุ่มตอบกงกงตามความจริง พร้อมกับชำเลืองสายตามองสตรีน้อยข้างกาย แววตาเผยประกายความพึงพอใจ ที่วันนี้นางไม่ก่อเรื่องให้เขาต้องปวดหัว แถมรู้งานอีกด้วย

  ขันทีเฒ่าเบนสายตามองไปยังสาวใช้ข้างกายแม่ทัพหนุ่มตามเจ้าของเรือน เขาเกิดสะดุดตากับสตรีน้อยนางนี้ทันที 

  "โอ้! แม่นางน้อย เจ้าช่างเก่งเสียจริงที่รู้จักสังเกตผู้อื่น น้ำชาถ้วยนี้ไม่เพียงมีกลิ่นหอม แต่ชาชนิดนี้ยังมีสรรพคุณช่วยผลิตของเหลวในร่างกาย ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด ทั้งยังช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ช่างเหมาะกับคนแก่เช่นข้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ด้วยกระนั้นหรือ"

  ฟ่งหลันหลั่นรีบยกมือขึ้นเพื่อเป็นการคารวะผู้อาวุโสและน้อมรับคำชมอย่างสุภาพนอบน้อม พร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตน

  "ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว ความรู้ที่ข้ามีเพียงแค่หางอึ่งเท่านั้น คงไม่อาจจะกล่าวได้ว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ และสิ่งนี้ก็หาใช่ความดีความชอบของข้า หากแต่ชาปี้หลัวชุนนี้เป็นทรัพยากรที่อยู่ในเรือนนี้ ดังนั้นนายน้อยของเราควรเป็นผู้ได้รับคำชมนั้น"

  ขันทีเฒ่ายิ้มให้กับฟ่งหลันหลั่นอย่างอ่อนโยน เขารู้สึกถูกชะตากับสตรีน้อยผู้นี้ยิ่งนัก

  สายตาอันเฉียบคมของกงกงผู้นี้ได้มองสำรวจสตรีน้อยอย่างพินิจพิจารณา และใช้เวลามองแค่ปราดเดียวเขาก็ดูประเมินลักษณะของนางออกอย่างรวดเร็ว

  'สายตาเด็ดเดี่ยว แววตาแน่วแน่มั่นคง ดวงหน้างดงามเพริศพริ้ง น่าแปลกมาก...ทั้ง ๆ ที่สตรีผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาของสาวใช้ทั่วไป แต่รัศมีที่เปล่งประกายออกมารอบตัวกลับดูมีสง่าราศี เสมือนเป็นคนมีวาสนาบุญหนักศักดิ์ใหญ่'

  "แม่นางน้อยคือคนในข่าวลือที่ผู้คนในเมืองหลวงพูดถึงกันสินะ...สาวใช้ส่วนตัวผู้งดงามและแสนฉลาดของแม่ทัพหนุ่มจอมอหังการ"

  ในขณะที่ขันทีเฒ่าเอ่ยถาม ในหัวของเขายังคงคิดวิเคราะห์และสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

  ฮ่าฮ่าฮ่า 

  จู่ ๆ ฟ่งหลันหลั่นก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขันในคำกล่าวนั้นของขันทีเฒ่า

  "ท่านผู้เฒ่าคงไปได้ยินอะไรมาผิดแล้วล่ะเจ้าค่ะ เรื่องความงาม ข้าคงจะสู้เหล่าสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ไม่ได้ โดยเฉพาะคุณหนูจากตระกูลเยี่ยผู้นั้น ส่วนเรื่องความฉลาด ข้านั้นมีน้อยมากเช่นกัน มิเช่นนั้นข้าคงไม่เที่ยวไปก่อเรื่องให้นายน้อยปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวันหรอก"

  ฟ่งหลันหลั่นกำลังสนทนาโต้ตอบกับเฉากงกง แต่จางเก่อและเข่อลั่ว กลับรู้สึกว่านางกำลังพูดจาจิกกัด แขวะเจ้านายของพวกตนอยู่กระนั้นแหละ 

  ด้านหลงอี้หลิงก็หันไปมองหน้าสตรีน้อยข้างกายและดุนางเล็กน้อยที่แสดงกิริยาไม่สำรวมต่อแขกผู้มาเยือน

  "หลั่นเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาทต่อท่านกงกง"

  ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ สายตาของเฉากงกงก็เหลือบมองไปเห็นป้ายหยกเขียวที่ห้อยอยู่ช่วงผ้าคาดเอวของฟ่งหลันหลั่น เขาถึงก็สะดุดใจในสิ่งนั้นทันที 

  'ป้ายหยกนั่น!' 

  ขันทีเฒ่าอุทานขึ้นในใจอย่างประหลาดใจ และพยายามเบิกตาของตนให้กว้างขึ้นและเพ่งมองสิ่งนั้นอย่างพินิจพิจารณา แต่ระยะห่างจากจุดที่เขายังนั่งอยู่ ผนวกกับสายตาที่เริ่มเสื่อมสภาพไปตามวัยของเขา ทำให้เจ้าตัวยังคงไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็นทั้งหมดซะทีเดียว จึงยังคงวางสีหน้าปกติและเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่

  ด้านฟ่งหลันหลั่น ความทรงจำในอดีตของตนในฐานะองค์หญิงน้อยอวี้หลัน นางจำขันทีเฒ่าผู้นี้ได้ตั้งแต่ที่เจอ เพราะเขาคือคนที่คอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้างพระบิดาของนาง ในสมัยครั้งที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ 

  และเมื่อได้เห็นสายตาของขันทีเฒ่าฉายแววตกตะลึงและประหลาดใจ นางก็รู้ตัวทันทีว่าเขากำลังจ้องมองสิ่งใดอยู่ จึงเอามือทั้งสองข้างมาวางไขว้กันทางด้านหน้าอย่างจงใจ เพื่อหวังที่จะปกปิดสิ่งนั้นให้พ้นสายตาของอีกฝ่าย

  แม่ทัพหนุ่มเองก็สังเกตเห็นได้ถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคน เขาจึงกล่าวกับแขก เพื่อเข้าประเด็น

  "ว่าแต่ท่านกงกงมาหาข้าถึงเรือนในวันนี้ คงมิเพียงแค่แวะมาเยี่ยมเยียนใช่หรือไม่" 

  โชคดีที่คำถามของหลงอี้หลิง ได้เปลี่ยนความสนใจของขันทีเฒ่าผู้นี้ได้พอเหมาะพอเจาะกับเวลา

  เฉากงกงได้หันหน้ากลับมาทางแม่ทัพหนุ่ม สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป อารมณ์ดูตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  "เรื่องนั้น..." 

  ขันทีเฒ่ากล่าวขึ้นพลางหันไปมองทหารนายกองทั้งสองพร้อมกับชำเลืองมองยังสตรีน้อย ท่าทีเขาดูกระอึกกระอักใจ และเหมือนไม่อยากจะพูดออกมาต่อหน้าคนทั้งสาม

  หลงอี้หลิงเข้าใจในความรู้สึกนั้นของขันทีผู้นี้เป็นอย่างดี เพราะสารที่เขานำมาให้ คงมาจากผู้เป็นนายของเขานั่นเอง 

  "เชิญท่านกงกงกล่าวมาได้เลย ข้าไม่มีความลับอันใดกับพวกเขาทั้งสามคน"

  ฟ่งหลันหลั่น จางเก่อและเข่อลั่ว ทั้งสามได้ยินแม่ทัพหนุ่มกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น พวกเขาก็แอบอมยิ้มด้วยความดีใจ โดยเฉพาะสตรีน้อย นางแทบไม่เชื่อหูว่าเขาจะพูดเช่นนั้นออกมา จึงหันหน้าไปมองเจ้าตัวเพื่อยืนยันประสาทหูของตัวเองว่าฟังไม่ผิด

  เฉากงกงนั่งเงียบไปและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม จริงจัง

  "เมื่อช่วงสายของวันนี้ เยี่ยอ๋องได้เดินทางเข้าวังหลวงไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขอพระราชทานสมรสให้กับธิดาของเขา และราชบุตรเขยผู้นั้นก็คือ ท่านแม่ทัพ"

  คำกล่าวนี้ของเฉากงกงได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับคนในห้องยิ่งนัก

  "ฮ๊า! ขอพระราชทานสมรสระหว่างท่านแม่ทัพกับคุณหนูเอาแต่ใจผู้นั้น...เยี่ยชิงเซียว!"

  จางเก่อ และเข่อลั่วตะโกนขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจและแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง พลันหันหน้ามองเจ้านายของตนเป็นสายตาเดียวกัน

  ส่วนฟ่งหลันหลั่นแม้ว่านางจะตกใจอยู่มากโข แต่สตรีน้อยก็สามารถเก็บอารมณ์ของตนได้ดีพอควร 

  'หึ! คิดไว้ไม่มีผิด ว่าท่านลุงต้องหาหางออกด้วยวิธีนี้เพื่อช่วยให้ธิดาของตนได้สมหวัง นิสัยเห็นแก่ตัว ชอบมัดมือชกผู้อื่นของเขา นี่ช่างไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ'

  แม้ในใจของนางจะกำลังคิดเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ในคราวเดียวกัน 

  ความรู้สึกอึดอัดหายใจติดขัดเหมือนมีดกรีดกลางใจเช่นนี้มันคืออะไรกันแน่ 

  ฟ่งหลันหลั่นยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย

  หลงอี้หลิงได้ฟังคำกล่าวของเฉากงกง เขากลับยังคงมีท่าทีสงบและนิ่งเฉย ดูไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจแต่อย่างใด

  "มิทราบว่าฝ่าบาท ทรงมีพระดำริเช่นใดกับเรื่องนี้กัน"

  เฉากงกงยิ้มให้แม่ทัพหนุ่ม อย่างเข้าใจในความหมายของคำถามนั้น ก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็น

  "ท่านแม่ทัพเองก็น่าจะรู้คำตอบที่มีอยู่ในพระทัยของฝ่าบาทแล้ว มิเช่นนั้นพระองค์คงไม่ส่งข้ามาพบท่านถึงเรือนในวันนี้เป็นแน่"

  คำตอบอันกำกวมของเฉากงกง มีเพียงตัวเขาและแม่ทัพหนุ่ม สองคนเท่านั้นที่เข้าใจและรู้พระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ 

  ด้านนายกองคนสนิททั้งสอง แม้ว่าพวกเขาจะอยากรู้คำตอบนั้นและเป็นห่วงสถานะของเจ้านายของตนมากเพียงใด ทว่าตำแหน่งแค่ทหารระดับนายกอง มิสามารถที่จะกระทำสิ่งใดเพื่อช่วยแม่ทัพของตนในเรื่องนี้ได้เลย

  หลงอี้หลิงหันไปมองหน้าและสบตากับฟ่งหลันหลั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองตรงไปยังแขกผู้มาเยือน พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

  "รบกวนท่านกงกงช่วยกราบทูลฝ่าบาทด้วยว่าวันพรุ่งในช่วงปลายของยามเว่ย ข้าจะไปเข้าเฝ้าพระองค์ตามพระประสงค์อย่างแน่นอน และข้าจะพาคนติดตามไปด้วยหนึ่งคน"

  แม้แม่ทัพหนุ่มจะไม่ได้บอกเฉากงกง ว่าเขาจะพาใครติดตามเข้าวังไปด้วย แต่ขันทีเฒ่ากลับไม่ถามและตอบตกลงอย่างง่ายดาย

  "ตกลงตามนั้น ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงทราบตามที่ท่านแม่ทัพแจ้งมา"

  "เฉากงกงโปรดรักษาสุขภาพ" 

  "ถ้าเช่นนั้นพบกันใหม่วันพรุ่งนี้"

  เมื่อส่งสารเสร็จเรียบร้อย ขันทีเฒ่ากับคนติดตามของเขาก็เดินทางกลับ 

  ส่วนแม่ทัพหนุ่มก็แยกตัวกลับเรือนพักของเขา โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อกับผู้ใด ทิ้งเพียงความข้องใจและความอยากรู้อยากเห็นไว้ให้กับนายกองหนุ่มทั้งสอง รวมทั้งสตรีน้อย ให้ขบคิดตามหลังอย่างสงสัยใคร่รู้

  "จางเก่อ เจ้าคิดว่าพรุ่งนี้นายน้อยจะพาใครติดตามเข้าวังไปด้วยงั้นหรือ" 

  เข่อลั่ว นายกองร่างท้วมจอมขี้สงสัย หันไปถามสหายด้วยความอยากรู้ เพราะปกติหากไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขั้นคอขาดบาดตาย นายของเขาจะเดินทางเข้าวังหลวงตามลำพังเสมอ

  แม้จางเก่อมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน แต่เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย จึงไม่ได้ตอบคำถามของสหายและเดินปลีกตัวออกไปจากห้องโถงนั้น

  นายกองร่างท้วมจึงได้หันหน้ามาทางสตรีน้อยข้างกาย แต่ไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากถาม นางก็เดินหน้าบึ้งตึงออกไปจากห้อง เหมือนกำลังโกรธใครอยู่ และปล่อยให้เข่อลั่วยืนคว้างอยู่ในห้องโถงนั้นคนเดียวตามลำพัง

  "แม่นางฟ่งเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปแบบนั้น คงไม่ใช่ว่ากำลังโกรธ เรื่องที่เยี่ยอ๋องไปขอพระราชทานสมรสให้นายน้อยกับธิดาของเขาหรอกนะ"

  เข่อลั่วมองตามหลังฟ่งหลันหลั่น และรำพึงความสงสัยอยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้องโถง และไม่นานก็มีเสียงของจางเก่อตะโกนดังกลับเข้ามา

  "เข่อลั่ว ถ้าขืนเจ้ายังยืนสงสัยเรื่องของเจ้านาย และไม่รีบไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ระวังนายน้อยจะสั่งให้นายกองผู้คุมกฎมาเป็นผู้ดึงสติของเจ้ากลับมานะ"

  น้ำเสียงดังแกมขู่ของจางเก่อที่ดังลอดเข้ามาในห้องโถง ทำให้นายกองร่างท้วมนึกได้ขึ้นมาทันทีว่าตนมีงานต้องรีบไปทำ 

  "จางเก่อ เอะอะเจ้าก็ชอบพูดขู่ข้าเสียจริง" เขาบ่นพึมพำพร้อมกับรีบวิ่งตุ๊ต๊ะออกไปจากห้องโถงนั้นทันที

....

เซียงไค 盛開