webnovel

1089 แมวสีดำ

ตอนที่ 1089 แมวสีดำ

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่บนท้องนภา

ปฐพีแห้งเหือด

ในทุ่งรกร้าง มีเพียงแท่นบูชาหนึ่งแห่งเท่านั้น

หลายคนเต้นรำและขับร้องรอบแท่นบูชา

คนเหล่านี้ดูเหมือนกับอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ ร่างกายปกคลุมด้วยใบไม้และหนังสัตว์

พื้นที่ขนาดใหญ่ของผิวบนร่างกายพวกเขาถูกเผยออกมา มีการวาดสัญลักษณ์สีดำแปลกประหลาดดั้งเดิมเอาไว้ ยามพวกเขาเต้นรำ สัญลักษณ์สีดำเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ทำให้ดูแปลกประหลาดสุดจะบรรยาย

ตอนนี้ คนเหล่านี้อยู่ในสภาพเต้นรำบวงสรวง

“พวกเขากำลังเต้นรำอยู่ ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี อยากไปเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า” ฉ่าเฉียงถาม

ตอนนี้ ทุกคนเข้าสู่คัมภีรภาพเพื่อหลบหนีชั่วคราว

หลานซิ่วมองกู่เหยียนแล้วกล่าวว่า “ฝั่งเวทมนตร์อย่างเจ้าเหมือนจะเข้าใจโลกอย่างพวกคัมภีรภาพนะ เจ้าคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำยังไงล่ะ”

“ข้าพอจะรู้บ้าง”

กู่เหยียนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ในโลกคัมภีร์ ให้ความสนใจกับบรรยากาศและรายละเอียดของคัมภีร์โดยรวมก็พอ อย่าทำอะไรที่ไม่เหมาะสม”

“…ยกตัวอย่างเช่น ในภาพลานประลอง เจ้าจะปรบมือในฐานะผู้ชมหรือสู้ในฐานะกลาดิเอเตอร์ก็ได้ แต่ถ้าเจ้านั่งบนอัฒจันทร์แล้วแอบหลับขึ้นมา ไม่ช้าก็จะถูกเตะออกจากโลก”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ถ้างั้นหากพวกเราอยู่ในคัมภีรภาพนี้ ที่ต้องทำก็แค่เต้นรำหรือเปล่า”

“ใช่ ตราบที่พวกเราส่วนใหญ่เต้นรำและขับร้อง ทั้งกลุ่มจะไม่ถูกเตะออกมา!” กู่เหยียนกล่าว

รอบข้างเงียบไป

ทุกคนจ้องกู่ฉิงซาน

หลานซิ่ว กู่เหยียนและซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าวพร้อมกันว่า “เจ้าอย่ากระโดด!”

“เอาเถอะ ข้าจะวิ่งไปกับพวกเจ้าก็ได้ ขับร้องไปขณะวิ่งไปก็ไม่เลว” กู่ฉิงซานต่อรอง

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ภายใต้การทักทายของหลานซิ่ว กูเหยียนและฉ่าเฉียง ทุกคนเดินตามคนแปลกหน้ากับเต้นรำรอบแท่นบูชา

ซูเสวี่ยเอ้อร์ตามกู่ฉิงซานคอยส่งสัญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเต้นรำ

“เจ้ากลัวว่าข้าจะเต้นหรือ” กู่ฉิงซานกระซิบถาม

ขณะเรียนรู้ท่วงท่ารการเต้นรำของคนเหล่านั้น ซูเสวี่ยเอ้อร์กระซิบตอบว่า “ข้าไม่ได้กลัว การเต้นรำทำให้ข้าเหงื่อออกจนสบายไปทั้งตัว แถมดูเหมือนยังทำให้การเคลื่อนไหวของข้าเร็วขึ้นด้วย”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ตอนเจ้าเต้นรำ สีหน้าของเจ้าใช้ได้ ทุกการเคลื่อนไหวมั่นคงมาก น่าทึ่งจริงๆ”

“เจ้าหมายความว่า… ข้าเต้นรำได้ดีหรือ?”

“อื้ม”

“ถ้างั้นทำไมเจ้าไม่บอกว่าดูดีไปเลยล่ะ”

“เพราะการเคลื่อนไหวของเจ้าดูดี ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความงาม เชื่อข้าเถอะ ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นมือใหม่ในการเต้นรำ ทำให้มองออกว่าแบบไหนดีหรือไม่ดี” กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่นานก่อนตอบออกมา

ซูเสวี่ยเอ้อร์ชำเลืองมองเขา

คนคนนี้ก้าวข้ามอาณาจักรไม้ไปแล้ว มันเหมือนกับเหล็กกล้าหลอมละลายก่อนถูกหล่อเป็นไม้ จากนั้นระบายสีน้ำตาลทับลงไปที่ด้านนอก

ทว่า ซูเสวี่ยเอ้อร์ยังยกคางขึ้นด้วยความรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย

…ยังไงเสีย มันก็คือคำชม

นางลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า “ฉิงซาน…”

“หืม”

ซูเสวี่ยเอ้อร์กำลังจะพูดเรื่องสำคัญ แต่ทันใดนั้น มีใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ เอามือมาสะกิด

ฉ่าเฉียง

ปีศาจดูวิตกเล็กน้อยขณะส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานมองไปทางที่มันชี้

…ถึงจะน่าสนใจที่พวกเขาเต้นรำอยู่ในคัมภีรภาพ แต่พวกเขาสามารถมองเห็นสถานการณ์นอกคัมภีรภาพได้

ในถ้ำซากปรักหักพัง ลำแสงซีดค่อยๆ ปรากฏขึ้น มันสาดส่องไปทั่วกองซากปรักหักพังที่ทอดยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขต

สัตว์ประหลาดที่มีกระดองสีขาวซีดบินมาจากนอกถ้ำอย่างเงียบงัน

มันมีหนามแหลมคมเจ็ดแห่งบนแขนแต่ละข้าง หนามโค้งจนยื่นไปถึงด้านหลังร่างกายจนเป็นรูปส่งของลำธาร มีลูกตาแนวตั้งอยู่ตรงศีรษะคล้ายโครงกระดูก

นอกจากการปรากฏตัวของมันแล้ว ยังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายอีกสองตัวที่กรงเล็บเต็มไปด้วยเปลวไฟทมิฬลุกโชนไปทั่วร่าง

จ้าวแห่งความมืด!

ผู้คนที่ซ่อนอยู่ในคัมภีรภาพแข็งทื่อ พวกเขาจึงเร่งจังหวะการเต้นรำ

อย่ามาล้อเล่นนะ จ้าวแห่งความมืดสามารถสู้กับเกราะศึกดาราได้อย่างสูสีหรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ แถมนี่ยังเป็นจ้าวแห่งความมืดสองตัวอีก!

สิ่งที่ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านยิ่งกว่าคือสัตว์ประหลาดที่มีกระดองมีเปลวเพลิงซีดปกคลุมไปทั่ว

เพราะจ้าวแห่งความมืดทั้งสองยืนอยู่ด้านข้าง แสดงว่าพวกมันล้วนให้ความเคารพยำเกรงอีกฝ่าย

สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ทั้งสามลอยอยู่เหนือซากปรักหักพังโดยไม่ขยับไปไหน

พวกมันคล้ายกับกำลังสังเกตการณ์บางสิ่ง

“นายท่าน ครั้งนี้ดูเหมือนภูตจะซ่อนตัวเร็วกว่าคราวที่แล้ว”

จ้าวแห่งความมืดกล่าวจบก่อนพลันสะบัดแขนเพื่อปล่อยเปลวไฟสีดำนับไม่ถ้วน ทำให้ซากปรักหักพังขนาดใหญ่ตกอยู่ในทะเลเพลิง

สีหน้าของพวกกู่ฉิงซานเปลี่ยนไปมาก

คัมภีรภาพที่พวกเขาหลบอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงเช่นกัน

ถ้าคัมภีร์ถูกเผา นั่นหมายความว่าโลกคัมภีร์จะพังทลาย ถ้าพวกเขาไม่ตายไปพร้อมกับโลกก็ต้องถูกส่งออกมา

…แต่การถูกส่งออกมาก็ไม่ต่างกับเจอทางตัน

ด้วยร่างมนุษย์ในปัจจุบันของพวกเขา ย่อมไม่สามารถรับมือกับเจ้าพวกที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน

เปลวไฟสีดำยังคงกระจายไปทุกทิศทาง เผาไหม้ทุกสิ่งไม่ให้เหลือซาก

“เปล่าประโยชน์ ครั้งนี้พวกเรามาช้าเกินไป เจ้าเผาของพวกนี้ไปก็ไม่สามารถไล่ให้ภูตเหล่านั้นออกมาได้หรอก”

สัตว์ประหลาดที่มีเปลวเพลิงซีดกล่าว

เสียงของมันลุ่มลึกและเต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงราวกับเทพ โลกทั้งใบสามารถได้ยินเสียงของมัน

จ้าวแห่งความมืดได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น มันจึงดับเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว

…ใช่แล้ว ต่อให้เผาโลกซากปรักหักพังทั้งหมดนี่ก็เปล่าประโยชน์

“ที่จริงแมลงเน่าเฟะอย่างภูตรับมือได้ง่ายมาก แต่การตามหาพวกมันให้เจอนั้นยากเกินไป” จ้าวแห่งความมืดกล่าวด้วยความเกลียดชัง

สัตว์ประหลาดกล่าวว่า “นี่คือความสามารถช่วยชีวิตของภูต ตราบที่ต้องการซ่อนตัว ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนสามารถหาพวกมันเจอได้”

จ้าวแห่งความมืดทั้งสองเงียบ

แต่สัตว์ประหลาดเปลี่ยนคำพูดอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย หลังจากผ่านไปหนึ่งหมื่นปี ไม่ช้าพวกเราจะสามารถหาพวกภูตเจอจนได้”

“นายท่าน หมายความว่า…”

“แขกพวกนั้น” สัตว์ประหลาดกล่าวอย่างเกียจคร้าน “พวกเขามาจากเศษเสี้ยวที่แท้จริงของยมโลก พวกเขาจัดการกับวิญญาณได้ดีมาก”

“ตอนนี้พวกภูตอยู่ในร่างวิญญาณ ไม่ว่าจะซ่อนเก่งแค่ไหน พวกมันก็ต้องพ่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของยมโลก”

สัตว์ประหลาดพลันหัวเราะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “พวกเราภูตผีปีศาจมีพลังต่อสู้มหาศาล ส่วนพวกจากยมโลกสามารถควบคุมความตายได้ ทันทีที่ร่วมมือกัน จะไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถขัดขืนพวกเราได้!”

“อย่าห่วงไปเลย จุดจบของภูตเหล่านี้กำลังจะมาถึงแล้ว”

สัตว์ประหลาดหันหลังก่อนบินออกไปนอกถ้ำ

จ้าวแห่งความมืดทั้งสองตามหลังอีกฝ่ายไปติดๆ

ผ่านไปสักพัก พวกมันจากไป

โลกที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังกลับมาถูกปกคลุมอยู่ในความมืดและความเงียบอีกครั้ง

ในคัมภีรภาพ ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ด้านนอก เมื่อสัตว์ประหลาดไปแล้ว ทุกคนจึงโล่งอก

หลานซิ่วถามว่า “พวกภูตผีปีศาจกับพวกจากยมโลกทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ ข้าจำได้ว่าในฝั่งแปลกประหลาดก็มีหวนคืนชาติภพหกวิถีอยู่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงมาก่อนเลย”

ทุกคนพยักหน้า

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “หวนคืนชาติภพหกวิถีที่อยู่ฝั่งโลกแปลกประหลาดเป็นของปลอม ข้าเดาว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้คือโฉมหน้าที่แท้จริงของหวนคืนชาติภพหกวิถี”

“อารมณ์ปลอมแปลงหรือเปล่า” หลานซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

เขาเพิ่งพูดถึงการสร้างโลกโดยเผ่าพันธุ์เทพ

ทุกคนตกตะลึง

“ทีนี้พวกเราจะทำยังไงต่อล่ะ” กู่เหยียนถาม

“ออกไปก่อน ภูตนำพวกเรามาที่นี่ แสดงว่าต้องมีบางสิ่งแน่ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู่ฉิงซานตอบ

ทุกคนพยักหน้า

“ข้างนอกปลอดภัย ตราบที่เจ้าไม่เต้นและร้องก็สามารถออกไปได้ทันที” กู่เหยียนกล่าว

ดังนั้นทุกคนเดินออกจากการเต้นรำของคนดึกดำบรรพ์ก่อนมายืนอยู่ด้านข้าง

ผ่านไปสักพัก ทุกคนถูกเตะออกจากโลกคัมภีรภาพ

ทันทีที่ออกมา กลุ่มคนแปลกประหลาดก็หยุด

มีคนหนี่งกระซิบว่า “นี่คือการเต้นรำบวงสรวงหรือ?”

อีกคนตอบว่า “ใช่”

อีกคนกล่าวว่า “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”

คนที่สี่ถามว่า “ข้าควรทำยังไงดี?”

คนที่ห้าตอบว่า “ข้าจะแจ้งให้ทราบเอง เจ้าจับตาดูไว้”

“ได้!”

คนที่ห้าวิ่งไปที่สุดขอบคัมภีร์อย่างรวดเร็วก่อนหายไปหลังจากกระโดดออกไป

คนอื่นบีบผนึกแปลกๆ พร้อมกัน

คัมภีรภาพม้วนขึ้นอย่างเงียบงัน จมเข้าไปในความว่างเปล่า กลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ทะลวงเข้าสู่ชุดของกู่ฉิงซานเงียบๆ ติดอยู่บนแขน ก่อเกิดเป็นลวดลายบางอย่างขึ้นมา

คนนอกคัมภีรภาพไม่รู้ตัว

กู่ฉิงซานสัมผัสไม่ได้เช่นกัน

ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับหินแห่งสรรพสิ่ง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

ตอนนี้สกิลบนหินแห่งสรรพสิ่งเปลี่ยนใหม่แล้ว

ถ้าไม่สามารถกลายเป็นแมวได้ก็จะมองไม่เห็นภูต แล้วเขาจะทำอะไรได้

ทันใดนั้น แถวหิ่งห้อยจำนวนหนึ่งปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“เวลาหมดแล้ว หินแห่งสรรพสิ่งจะเริ่มทำการรีเซต”

“ท่านได้รับพลังแห่งความว่างเปล่าใหม่ แปลงกายเป็นแมวปีศาจ”

“แปลงกายเป็นแมวปีศาจ ท่านจะกลายเป็นแมวปีศาจตัวจริง”

“วิธีใช้งานคาถาตระกูลของพวกเราคือแมว”

ยังเป็นวิชานี้!

กู่ฉิงซานรู้อยู่แล้ว

นี่ต้องเป็นฝีมือของภูตแน่ๆ

กู่ฉิงซานเดาว่าภูตน่าจะกลับมาแล้ว เขาจึงร่ายคาถา

“ตระกูลของพวกเราคือแมว”

ทันทีที่สิ้นเสียง เขากลายเป็นแมวสีดำ

กู่ฉิงซานมองสีขนก่อนกล่าวอย่างแปลกประหลาด

“ว้าว แมวสีดำ!” ซูเสวี่ยเอ้อร์อุทานด้วยความตื่นเต้น

มีความกระตือรือร้นอยู่ในน้ำเสียงนาง

กู่ฉิงซานยื่นกรงเล็บสีดำออกมาไว้ตรงหน้าแล้วพึมพำด้วยความสับสนว่า “เหมียวๆ”

“ฮ่าๆ นี่เป็นเพราะเจ้ายิ่งวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อและคาดเดาสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้นวิชาของเจ้าจึงเปลี่ยนไปด้วย… นี่แหละความลึกลับของวิชาล่ะ”

ชายชราเครายาวปรากฏตัวต่อหน้าแมวสีดำขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

………………………………….