webnovel

1059 ดาบที่ไม่หลงเหลือร่องรอยไว้บนโลก

ตอนที่ 1059 ดาบที่ไม่หลงเหลือร่องรอยไว้บนโลก

กู่ฉิงซานและเหล่าต้ายืนอยู่ไกลจากสมรภูมิมากขณะสังเกตสถานการณ์ของการผสานวิชาทั้งหมด

เหล่าต้าตั้งใจดูจริงๆ กู่ฉิงซานอดที่จะชำเลืองสายตามองไปในความว่างเปล่าไม่ได้

แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กบนหน้าต่างระบบเทพสงครามยังคงปรากฏขึ้น

“เนื่องจากท่านได้เรียนรู้วิชาต่อสู้ของเผ่าอสุรา ท่านจึงใช้พลังวิญญาณเพียงสามล้านแต้มเพื่อทำความเข้าใจวิชาที่ใช้จากดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์”

ข้อความแจ้งเตือนแรกทำให้กู่ฉิงซานพูดไม่ออกเล็กน้อย

โชคยังดีที่เขาเคยติดต่อกับเผ่าอสุราจนได้รับมรดกจากราชาอสุรา ทำให้เขาหยิบยืมและเรียนรู้วิชาดาบอสุรามามากมาย

ไม่อย่างนั้น เกรงว่าพลังวิญญาณคงจะไม่มากพอ

วิชาดาบปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในใจของเขา ในเวลาเดียวกัน ข้อความแจ้งเตือนที่ปรากฏขึ้นหน้าต่างระบบเทพสงครามกะพริบอยู่ตลอดเวลา

“วิชาดาบพื้นฐานของราชวงศ์อสุรา (ขั้นต้น)”

“ท่านเชี่ยวชาญวิชาดาบประเภทนี้แล้ว”

“ประสบการณ์การต่อสู้ด้วยดาบของราชาอสุรา (ขั้นกลาง)”

“ท่านเชี่ยวชาญวิชาดาบประเภทนี้แล้วและกำลังผสานเข้ากับวิชาดาบของท่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

“วิชาดาบของราชาเทพอสุรา (ขั้นสูง)”

“ท่านต้องใช้เวลาสักพักเพื่อค่อยๆ ย่อยและทำความเข้าใจวิชาดาบ”

“คำอธิบาย: นี่คือวิชาดาบพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผ่าอสุราและยังหมายรวมถึงประสบการณ์กับการฟาดฟันด้วยวิชาดาบในสถานการณ์การต่อสู้ที่หลายหลากอีกด้วย”

“การทำความเข้าใจวิชาดาบข้างต้น ท่านต้องใช้พลังวิญญาณห้าหมื่นแต้ม”

วิชาดาบเหล่านี้มีรูปแบบการต่อสู้และคุณลักษณะของเผ่าอสุรา

ในฐานะนักดาบเผ่าพันธุ์มนุษย์ กู่ฉิงซานไม่เคยสัมผัสกับวิชาดาบของราชาเทพอสุรามาก่อน ทำให้มีอุปสรรคด้านความรู้ความเข้าใจ

แต่ด้วยพื้นฐานวิชาดาบของเขา ทันทีที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง วิชาดาบพื้นฐานเหล่านี้ย่อมสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้นการใช้พลังวิญญาณห้าหมื่นแต้มมันออกจะมากเกินไปเสียหน่อย

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในความว่างเปล่าขณะทำความเข้าใจวิชาดาบพื้นฐานของราชาเทพอสุราอย่างละเอียด เมื่อทำการยืนยันด้วยวิชาดาบตัวเอง ไม่ช้าก็ได้รับมันมา

ราชาเทพอสุราเคยต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา เคยข้องเกี่ยวกับวิชาดาบของเผ่าพันธุ์มนุษย์และอาณาจักรสวรรค์มาก่อน วิชาดาบของเขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งระดับวิชาดาบได้มากมาย

ราชาเทพอสุรายอมรับระดับนักดาบนิรันดร์ของวิชาดาบมนุษย์ เพราะระดับการใช้ดาบขั้นนั้นสามารถนับว่าเป็นความเชี่ยวชาญวิชาดาบในสามภพของสวรรค์ มนุษย์และอสุรา

เขาเชื่อว่าการฝึกฝนวิชาดาบจนมาถึงระดับนี้คือการทำลายพันธนาการของความสามัญอย่างแท้จริงก่อนเข้าสู่ลู่ทาง

ส่วนระดับหนึ่งดาบตอนนี้ของกู่ฉิงซาน พูดตามตรง มันถึงกับเป็นการหลอมรวมพละกำลังดาบแดนนิรันดร์ทั้งหมดให้เป็นดาบเดียว

เพื่อมาถึงระดับนี้ วิชาดาบจะต้องไร้ใครเทียบ แถมยังเป็นจุดสูงสุดของระดับนักดาบนิรันดร์อีกด้วย

เพียงแต่ว่าหากมีใครบางคนสามารถไปถึงระดับหนึ่งดาบได้ นั่นหมายความว่าเขาสามารถพัฒนาสู่ระดับต่อไปได้อีกครั้ง

ระดับต่อไปคือการใช้ดาบในฐานะเทพ มันจึงเป็นนักดาบเทพ

ราชาเทพอสุราเชื่อว่าเมื่อผู้ใช้ดาบพัฒนาระดับดาบจะสามารถแบ่งดาบได้ครั้ง ดาบนับพันจะออกมา ดาบแต่ละเล่มเหนือกว่าพลังสูงสุดของดาบนิรันดร์เพื่อตอกย้ำถึงการพัฒนาจากระดับนักดาบนิรันดร์สู่ระดับนักดาบเทพ

นักดาบเทพ!

กู่ฉิงซานอดที่จะรู้สึกทึ่งเมื่อเห็นสิ่งนี้ไม่ได้

ในอดีต เซี่ยกูหงผู้เป็นนักดาบเผ่าพันธุ์มนุษย์มีดาบหลายพันเล่มรวมเป็นดาบเดียว ดาบเดียวนั้นก็กลายเป็นเจ็ดดาบ เขาก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางระดับนักดาบเทพแล้ว

แม้พรสวรรค์จะน่าทึ่ง แต่เพราะการกัดกร่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์จากสัตว์ประหลาดนิรันดร์ ในที่สุดเขาก็สิ้นหวังจนถึงแก่ความตาย

ตอนนี้ เขายืนอยู่จุดสูงสุดของนักดาบนิรันดร์เช่นกัน สักวันเขาจะเหนือกว่ารุ่นก่อนจนกลายเป็นนักดาบเทพอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของวิชาดาบราชาเทพอสุราที่เขาได้มามันมากกว่านั้นอีก

นอกจากวิชาดาบพื้นฐานแล้ว ยังมีวิชาดาบอสุราอีก ยิ่งเขาเข้าใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดอันทรงพลังมากเท่านั้น

มันคือวิชาดาบลับหรือ

กู่ฉิงซานมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม ไม่ช้าก็อดที่จะกลั้นหายใจไม่ได้

คำอธิบายเกี่ยวกับวิชาดาบเพิ่งปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครา

“วิชาดาบอสุรา: เคลื่อนตะวันบดบังจันทรา”

“วิชานี้ถูกแบ่งออกเป็นดาบสามเล่ม ดาบเล่มแรกคือดาบแห่งไฟ ดาบเล่มที่สองคือดาบเยือกแข็ง; สร้างธาตุไฟและเยือกแข็งเรียบร้อย ดาบอีกเล่มคือดาบบดบังตะวันจันทรา”

“แยกไฟ: วิชาดาบทำลายเปลวไฟ เป็นวิชาฟาดฟัน”

“ประกายเยือกแข็ง: วิชาดาบทำลายพลังเยือกแข็ง เป็นการก่อรูปร่าง”

“บดบังตะวันจันทรา: ดาบที่ไม่หลงเหลือร่องรอยไว้บนโลก โดนเป้าหมายแน่นอน”

“กล่าวได้ว่านี่คือวิชาดาบที่ราชาเทพอสุราใช้ต่อกรกับจักรพรรดิสวรรค์ในการต่อสู้อันดุเดือด”

“เพื่อทำความเข้าใจวิชาดาบนี้ ท่านต้องใช้พลังวิญญาณทั้งสิ้นสองล้านเก้าแสนห้าหมื่นแต้ม”

“การใช้แต่ละวิชาต้องการพลังวิญญาณดังต่อไปนี้ พลังวิญญาณสองหมื่นแต้มสำหรับแยกไฟ พลังวิญญาณสามหมื่นแต้มสำหรับประกายเยือกแข็ง พลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้มสำหรับบดบังตะวันจันทรา”

“หมายเหตุพิเศษ: ยิ่งพละกำลังของท่านแข็งแกร่งเท่าไหร่ ความยิ่งใหญ่ของพลังจากวิชาที่ท่านใช้จะยิ่งมากตามไปด้วย พลังวิญญาณที่ต้องใช้ก็จะมากขึ้นเช่นกัน”

เมื่อกู่ฉิงซานเห็นส่วนนี้ เขารู้สึกได้ว่าโลหิตจับตัวเป็นก้อน

ตำนานกล่าวไว้ว่าตอนอสุราต่อสู้กับสวรรค์ มีราชาเทพอสุราที่สามารถบดบังตะวันและจันทราได้ด้วยมือ

คาดไม่ถึง เขาจะได้เห็นวิชาที่ข้องเกี่ยวกับมันด้วยตาตัวเอง

กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้ว่าวิชาดาบที่เขากำลังทำความเข้าใจทรงพลังยิ่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะข้องเกี่ยวกับวิชาเช่นนี้!

กลายเป็นว่ามันคือสกิลเทพ!

เป็นความจริงที่เขาเชี่ยวชาญวิชาดาบลับดีๆ หลายอย่าง อาทิ กระแสพลัง ตามติดชีพ มังกรพเนจรเจ็ดดารา

เขายังใช้ค่ายกลดาบไท่อี่อันทรงพลังได้อีกด้วย

ทว่าในชีวิตของกู่ฉิงซาน เขาไม่เคยเชี่ยวชาญสกิลเทพของวิชาดาบมาก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้เกี่ยวกับวิชาดาบและสกิลเทพที่เหนือกว่าวิชาดาบลับและค่ายกลดาบ

ถึงแม้สกิลเทพจะต้องใช้พลังวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม ถึงในอนาคตมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะดูแค่สิ่งที่จ่ายอย่างเดียวไม่ได้

หากสังหารศัตรูทรงพลังด้วยสกิลเทพนี้ พลังวิญญาณที่ได้รับมาจะเป็นหลักประกันความสมดุลของสิ่งที่ได้และสิ่งที่จ่าย เผลอๆ สิ่งที่ได้จะมากกว่าด้วยซ้ำ!

ทว่า คำอธิบายของสกิลเหล่านี้ออกจะคลุมเครือไปหน่อย ส่วนผลจากการใช้มัน มีแต่ต้องลองเท่านั้นถึงจะรู้

กู่ฉิงซานกระตือรือร้นที่จะลอง แต่ก็อดที่จะมองพลังวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่ได้

“พลังวิญญาณที่เหลืออยู่: 19,998 / 600”

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาใช้พลังวิญญาณไปบางส่วนอย่างการฟันเส้นไหมอักขระสีดำที่ต้องจ่ายพลังวิญญาณเจ็ดถึงแปดแสนแต้ม ในตอนท้าย เขาใช้พลังวิญญาณอีกสามล้านแต้มเพื่อฝึกวิชาดาบอสุรา นี่จึงเป็นพลังวิญญาณที่เขาเหลืออยู่

…ดีมาก ขาดพลังวิญญาณอีกสองแต้มถึงจะใช้ “แยกไฟ” ได้

กู่ฉิงซานปลอบกับตัวเองเงียบๆ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อจิตของเขาขยับ เขาก็พลันคิดถึงสิ่งอื่น

เคลื่อนตะวันบดบังจันทราคือสกิลเทพทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในเผ่าอสุรา

และอสุราคือส่วนหนึ่งของหวนคืนชาติภพหกวิถี

อาจารย์ก็รู้สกิลเทพของอสุราเช่นกัน!

ในอดีตที่โลกเซินหวู่ อาจารย์ใช้สกิลเทพของอสุราอย่างวิมาลาซิตราเพื่อขับไล่สัตว์ประหลาดในพายุออกไป

ภายหลังในตำหนักร้อยบุปผา ภายใต้การข่มเหงของผู้อาวุโสสมาพันธ์การฝึกฝน เขาเตรียมที่จะใช้สกิลเทพนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ เขายังรู้สึกสกิลเทพของยมโลก: ลืมเลือนวิญญาณ อีกด้วย

เมื่อพูดถึงสกิลเทพของยมโลก เมื่อครู่เขาได้หยิบยืมชักนำผู้คนเพื่อควบคุมซากศพราชาเทพอสุราโดยตรง

ทำไมหกวิชาแห่งยมโลกถึงแข็งแกร่งกว่าของโลกเก้าร้อยล้านชั้นกันล่ะ

หวนคืนชาติภพหกวิถีมาจากไหนกันแน่

หัวใจของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสับสน

ไม่สิ พวกเรายังต้องหาเวลากลับไปคุยดีๆ กับอาจารย์เรื่องหกวิถีนั่น

ตอนนี้เหล่าต้าสัมผัสเขาก่อนกระซิบว่า “ดูนั่น!”

กู่ฉิงซานรวบรวมความคิดทันทีก่อนปล่อยจิตเทพออกไปดูด้านหน้าสมรภูมิ

โลงศพสีดำไม่ตกลงมาอีกแล้ว

ซากศพเทพจำนวนมากที่ล้อมงูสีดำสวมเปลือกสีม่วงบีบอัดเข้าด้วยกันแน่น

หมอกสีดำเหนือความว่างเปล่าหายไป ใบหน้าชายผมเขียวน่าสะพรึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ชายผมเขียวพ่นลมออกจมูกใส่งูสีดำ

ในจิตเทพของกู่ฉิงซาน เงามายาขนาดใหญ่ถูกจับเอาไว้ก่อนตกลงไปในร่างของงูสีดำเพียงอึดใจเดียว

เปลือกสีม่วงบนศีรษะของงูสีดำส่องแสงออกมา

ตอนนี้ เสียงพึมพำดังขึ้น

“คาดไม่ถึง การเตรียมการมาช้านานถึงกับเสร็จสิ้นแล้ว”

สิ้นเสียงดังกล่าว ในเวลาเดียวกัน คนคนหนึ่งมายืนอยู่บนแผ่นหลังของงูสีดำ

ชายคนนี้สวมหน้ากากและมีกรงเล็บสีเขียว มือข้างหนึ่งถือกระดองเต่าเอาไว้ มืออีกข้างออกแรงบีบอย่างรวดเร็ว

“เขากำลังทำอะไรน่ะ” เหล่าต้าถามด้วยความสงสัย

“วิชาทำนาย เขากำลังคำนวณอยู่” กู่ฉิงซานตอบ

กู่ฉิงซานสงสัยมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้พบคนทางฝั่งฝึกฝนที่นี่

แถมคนคนนี้สวมหน้ากากเหมือนกับราชาเทพอสุราด้วย

หน้ากาก…

ผู้คนช่วยปกปิดตัวเองอย่างนั้นเหรอ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้น อีกสองร่างเคลื่อนลงมาจากท้องนภาก่อนลงมาอยู่บนแผ่นหลังของงูสีดำ

คนหนึ่งสวมหน้ากากซีด อีกคนสวมหน้ากากสีดำสนิท

พวกเขาคุกเข่าอยู่ด้านหลังชายคนนั้นก่อนกระซิบว่า “นายท่าน”

“อืม หนทางที่พวกเราตระเตรียมเอาไว้เมื่อนานมาแล้วประสบผลสำเร็จก่อนจะหายไป” ชายสวมหน้ากากที่มีกรงเล็บสีเขียวกล่าว

“นายท่านหมายความว่าไง” คนสวมหน้ากากสีขาวถาม

“มีข่าวลือว่าศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของโลกอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่านี้ ถึงแม้มันจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ยังควรค่าที่จะทำการสำรวจ”

“เรื่องนั้น…” คนสวมหน้ากากสีดำกล่าวด้วยความสงสัย

ชายสวมหน้ากากที่มีกรงเล็บสีเขียวเงยหน้าขึ้นขณะมองชายผมเขียวที่อยู่ด้านบนแล้วกล่าวว่า

“วิชานี้ผ่านมาหลายปี อย่างไรเสีย มันก็นานมากแล้ว แถมยังเหลือโลงศพที่สำคัญที่สุดที่ยังไม่ถูกอัญเชิญออกมา… เตรียมวิชาให้เรียบร้อย”

“ขอรับ”

………………………….