webnovel

0960 ไล่ล่า

ตอนที่ 960 ไล่ล่า

โลกเก้าร้อยล้านชั้น

พื้นที่ควบคุม

โลกทั้งหมดถูกทำลาย

สัตว์ประหลาดหุบเหวคืบคลานอยู่ระหว่างโลกจำนวนมาก

ร่างของพวกมันโอ่อ่า หากมองจากโลก จะเห็นเพียงเท้าขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องนภาก่อนกระทืบพื้นเท่านั้น เมื่อพื้นแตกสลาย เท้าขนาดใหญ่จะยกขึ้นแล้วเคลื่อนไปยังโลกต่อมา

ความเร็วของสัตว์ประหลาดหุบเหวนี้ถือว่าไวมาก เรียกว่าแทบจะไม่หยุดพัก ทันทีที่ผ่านพื้นที่ควบคุมเกือบทั้งหมด มันก็กำลังเข้าสู่ทางพื้นที่จ้าวโลก

บางครั้งมันจะหยุดอยู่ระหว่างโลก

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้

“รอเดี๋ยวก่อน”

เสียงชายหญิงดังขึ้น จากนั้นกล่าวว่า “น่าแปลก ผู้โหลดบัญญัติทั้งหมดถูกข้าฆ่าไปแล้ว ทำไมถึงยังมีความผันผวนในสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาบนโลกใบนี้ได้ล่ะ”

ลำธารข้ามผ่านท้องนภาก่อนตกลงสู่ที่ใดสักแห่งในโลก

เป็นร่างมนุษย์ ใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิง

วิญญาณกรีดร้อง

มันสาวเท้าเข้าสู่ซากปรักหักพังของอารยธรรม เดินอยู่บนเส้นทางที่แตกสลายเพื่อมุ่งสู่ส่วนลึกของซากปรักหักพัง

ประตูเหล็กกล้าขนาดยักษ์หนาหลายฟุตขวางทางมันเอาไว้

วิญญาณกรีดร้องยื่นมือออกไปเพื่อจะให้กำลังเปิดประตูเหล็กกล้าออก แต่มันหยุดนิ่ง

ดูท่ามันจะมีความคิดบางอย่าง แทนที่จะเอาฝ่ามือแนบกับประตู มันกลับเอานิ้วทั้งห้าจิกลงไปก่อนดึงออกมา

‘ตูม!’

ประตูถูกดึงออกทั้งบานจนเผยให้เห็นข้างใน

วิญญาณกรีดร้องยืนอยู่ที่ประตูขณะมองข้างใน

เขาเห็นมนุษย์เพศหญิงกับเด็กทารกในอ้อมแขน พวกเขามองวิญญาณกรีดร้องด้วยแววตาสิ้นหวัง

“ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตลูกข้าเถอะเขายังเด็กมาก” ผู้หญิงสะอื้น

วิญญาณกรีดร้องก้าวเข้ามาเงียบๆ ขณะก้มมองผู้หญิงและลูกของนาง

“ตอบคำถามข้ามา”

เป็นเสียงผู้ชายที่พูดขณะถามว่า “ข้าจำได้ว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้โหลดบัญญัติราชามาร ทำไมถึงไม่มีกลิ่นบัญญัติในตัวเจ้ากับลูกหลานเลยล่ะ”

ผู้หญิงตอบว่า “เพราะข้าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ข้ากำลังจะตาย ส่วนลูกของข้าเพิ่งเกิดวันนี้”

“ไม่แปลกใจเลย” เสียงผู้ชายของวิญญาณกรีดร้องหายไปก่อนกลายเป็นเสียงผู้หญิง “บัญญัติราชามารจะไม่เหลียวแลสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าเหล่านั้นเด็ดขาด”

วิญญาณกรีดร้องหยุดก้าวมาข้างหน้าก่อนยื่นมือออกไป

“ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย โปรดไว้ชีวิตลูกข้าด้วย” เมื่อรับรู้ได้ถึงความตาย ผู้หญิงกอดลูกเอาไว้แน่นขณะร้องไห้อย่างขมขื่นออกมา

วิญญาณกรีดร้องยื่นนิ้วออกไปแตะศีรษะของผู้หญิงด้วยเล็บคมกริบอย่างแผ่วเบา

โลหิตไหลออกมาจากหน้าผากของผู้หญิงทันที

เสียงผู้หญิงจากวิญญาณกรีดร้องกล่าวว่า

“วางใจได้ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

ผู้หญิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองวิญญาณกรีดร้องอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร

วิญญาณกรีดร้องก้มมองนาง เสียงผู้หญิงแผ่วเบามากขึ้น

“เจ้าคือคนที่ถูกบัญญัติทิ้ง ลูกของเจ้าคือคนที่บัญญัติไม่ได้คาดหวัง หากเจ้าตรงตามเงื่อนไขของข้า เจ้าจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความโกลาหล”

ผู้หญิงกอดเด็กทารกไว้ในอ้อมแขนแล้วถามอย่างขลาดกลัวว่า “เจ้าจะปล่อยพวกข้าไปหรือ”

วิญญาณกรีดร้องตอบว่า “ใช่ ส่วนสิ่งที่เป็นค่าแลกเปลี่ยน เจ้าต้องไปพื้นที่จ้าวโลกกับข้า เจ้าจะต้องถูกข้าซ่อนตัวเอาไว้ในโลกแห่งหนึ่ง คอยสั่งสมพละกำลังเงียบๆ เพื่อการต่อสู้อันดุเดือดในอนาคต มุ่งมั่นสู่ความแข็งแกร่งที่มากขึ้น”

สิ้นเสียงคำพูดของมัน ผู้หญิงพลันรู้สึกถึงเล็บคมปลาบทะลวงลึกเข้าไปในหน้าผาก

ก่อนจะหมดสติ นางคล้ายกับเห็นหน้าต่างระบบมายาของแสงและเงาปรากฏขึ้นตรงหน้า

‘ตุบ!’

ผู้หญิงล้มลงกับพื้นอย่างแรง

วิญญาณกรีดร้องยืนนิ่ง มองผู้หญิงหมดสติกับเด็กทารกตรงหน้าเงียบๆ

มันขยับนิ้วอย่างแผ่วเบา

‘ตูม!’

ซากปรักหักพังล้มลงมาจากทั้งสองฝั่ง แสงสาดส่องลงมา

ผู้หญิงและลูกของนางลอยขึ้นช้าๆ ก่อนลอยเข้าสู่ส่วนลึกของท้องนภา

สัตว์ประหลาดหุบเหวยังอยู่ที่เดิม

วิญญาณกรีดร้องมองท้องนภาหมองหม่นจนกระทั่งผู้หญิงกับเด็กทารกหายไปในหมู่เมฆหนา

มันดูสง่าเล็กน้อยขณะยืนนิ่งอยู่กับที่

“เลือกมนุษย์เพศหญิงกับลูกของนางที่อ่อนแอให้มาแบกความโกลาหลเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังวิญญาณกรีดร้อง

“เพราะพวกเขาไม่ถูกเลือกโดยบัญญัติอย่างไรล่ะ” วิญญาณกรีดร้องตอบ

“ไม่ เจ้าต้องไม่ได้คิดแบบนั้นแน่ๆ”

เสียงนั้นปฏิเสธ

วิญญาณกรีดร้องหันมาเจอเข้ากับใบหน้าของเสียงนั้นอย่างช้าๆ

ชายหนุ่มสวมแว่นกรอบดำกำลังมองด้วยรอยยิ้มเจื่อนบนใบหน้า

วิญญาณกรีดร้องครุ่นคิดสักพักก่อนคำนับแล้วตอบด้วยเสียงผู้ชายว่า “ราชาหุบเหว อัครสาวกผู้ถูกเนรเทศ ผู้ร่วงหล่นที่ตามจับตัวได้ยาก คนแรกที่ได้อยู่บนมงกุฎแห่งดวงดาว ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพลังไร้ขีดจำกัด ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านต้องมาคิดเป็นกังวลเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มยังคงยิ้ม แต่น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ฉายาของข้าคือสิ่งที่เจ้าสามารถเรียกขานได้หรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าไม่กล้าตอบคำถามข้า”

วิญญาณกรีดร้องส่งเสียงผู้หญิงคมปลาบออกมา “ข้าจะเป็นผู้ตอบคำถามให้ เพราะผู้หญิงกับเด็กโหลดความโกลาหลเอาไว้ ข้าจะช่วยให้พวกมันเติบโตเป็นอย่างดี สักวัน ข้าจะให้พวกมันฆ่ากันเอง”

“แล้วจากนั้นล่ะ”

“คนที่รอดในตอนท้ายจะได้รับฉายาโกลาหลพิเศษอันทรงพลังมาครอบครอง”

“อืม อธิบายแบบนี้ออกจะสับสนเกินไปหน่อย ข้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่”

วิญญาณกรีดร้องโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อคำถามของท่านได้รับการตอบแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง”

“เชิญพูดมาได้เลย”

“การต่อสู้ระหว่างโลกคู่ขนานและวันสิ้นโลกเริ่มกระจายตัวแล้ว ตอนนี้ เจ้าไม่ควรไปสร้างปัญหาให้กับบัญญัตินะ”

“นายท่าน…ข้าใช้เวลามากมายมหาศาลจนจะผนึกบัญญัติได้อย่างถาวรแล้ว ถึงตรงนี้ ท่านจะให้ข้าหยุดหรือ”

“ใช่ ถ้าเจ้าผนึกบัญญัติได้อย่างสมบูรณ์และความโกลาหลแพร่กระจายไปทั่วโลก โลกทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างแน่นอน”

“แต่รู้อะไรไหม ผู้ที่โหลดความโกลาหลตั้งใจจะสร้างยุคแห่งความโกลาหลขึ้นมา”

ชายหนุ่มกุมหน้าผากก่อนขมวดคิ้ว “ข้าแค่ไม่อยากเห็นการกำเนิดของยุคโกลาหล โลกที่ไม่มีกฎมันน่าเบื่อเกินไป”

“นายท่าน นี่ท่านอยู่ข้างบัญญัติหรือ”

“ไม่ใช่ ข้าแค่ไม่อยากให้การต่อสู้ของเจ้าส่งผลในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้”

“แต่ท่านตั้งใจจะหยุดข้า นี่ท่านจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับความโกลาหลหรือ”

ชายหนุ่มตกตะลึงก่อนหัวเราะออกมาอีกครั้ง “คาดไม่ถึงว่าคนที่เคยจูบแทบเท้าและกราบอ้อนวอนข้าเพื่อขอชีวิตจะกล้ามาพูดยอกย้อนด้วยน้ำเสียงแบบนี้”

“ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว” วิญญาณกรีดร้องกล่าว

ทันใดนั้น อักขระลึกลับนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนร่างกาย อักขระเหล่านี้คล้ายกับหมู่เมฆวาววับขณะกระจายตัวออกจากร่างกายช้าๆ ก่อนหายไปในความว่างเปล่า

“นายท่าน ดูถ้าท่านจะถูกเนรเทศนานเกินไปจนถึงขั้นกล้ามาจัดการเรื่องระหว่างความโกลาหลและบัญญัติ”

วิญญาณกรีดร้องพูด กลิ่นอายของเขาพลันทะยานขึ้น

เสียงชายหญิงเกรี้ยวกราดขึ้นมาพร้อมกันก่อนคำรามออกมา “ข้าผู้เป็นตัวแทนความโกลาหลอันไม่มีสิ้นสุดกำลังจะยับยั้งบัญญัติได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครจะมาขวางทางข้า มันผู้นั้นถือเป็นศัตรูกับความโกลาหล”

สีหน้าของชายหนุ่มค่อยๆ จริงจังขณะมองการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของเขา

เขาพึมพำออกมา “แสดงว่าเจ้าคือผู้สืบทอดความโกลาหลทั้งหมดของโลกภายใน ร่างแยกนี้คือตัวเจ้าจริงๆ ไม่สงสัยเลยที่เจ้าถึงกล้าตามข้ามา…”

‘ตูม!’

วิญญาณกรีดร้องลงมือก่อน

กลิ่นอายสีเทาเข้มไม่มีสิ้นสุดแผ่ซ่านและกระจายออกขณะปกคลุมโลกทั้งใบ

“เจตจำนงความโกลาหล”

ชายหนุ่มมองความว่างเปล่า บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป

วิญญาณกรีดร้องยังคงเดินเข้าหาชายหนุ่ม จิตสังหารของเขากระจายไปทั่วโลก

“ร่างกายข้าและความโกลาหลทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว” วิญญาณกรีดร้องชี้ไปที่อีกฝ่ายแล้วคำรามออกมา “ท่านเป็นแค่วิญญาณอ่อนแอที่สุดที่แยกออกมาแท้ๆ แล้วท่านยังกล้ามาขวางทางข้าได้อย่างไร”

“มงกุฎหุบเหวจะแตกสลายในอนาคตอันใกล้ ตัวตนที่ทรงพลังเช่นท่านจะเหี่ยวเฉาเมื่อเผชิญกับความโกลาหล”

อีกด้าน

พื้นที่จ้าวโลก

ที่ใดสักแห่งในโลก

เปลวเพลิงสีดำทั่วทั้งสี่ทิศเผาสัตว์ประหลาดทั้งหมดจนเป็นเถ้าถ่าน

เคียวด้ามยาวที่แผ่ความมืดเข้มข้นออกมาถูกดึงกลับมาอยู่ในมือหยกขาว

เจ้าของมือหยกขาวคือนักบุญแห่งความตายผู้มีเส้นผมสีแดงร้อนแรงกับใบหน้างดงาม

นางมองท้องนภาก่อนตะโกนว่า “ใครยังกล้ารนหาที่ตายอีก”

ชั้นเปลวเพลิงสีดำพุ่งออกจากพื้นก่อนระเบิดขึ้นสู่ท้องนภา

สัตว์ประหลาดเหล่านั้นที่ยังล้อมอยู่รีบหลบหนีทันทีด้วยการบินขึ้นสูง

พวกมันหนีแล้ว

เมื่อแอนนาเห็นดังนี้ นางจึงปล่อยไป

เคียวสีดำหายไปในพริบตา

นางหันมามองซูเสวี่ยเอ้อร์แล้วถามว่า “พวกเราควรลงมือตอนนี้หรือไม่ ทำไมสีหน้าเจ้าดูน่าเกลียดจัง”

ตรงข้ามนาง หน้าผากราบเรียบของซูเสวี่ยเอ้อร์เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น นางมองไพ่ในมืออย่างเหม่อลอย

นี่คือไพ่ทำนายในสำรับราชาแห่งชะตากรรม

สุสานถูกวาดบนไพ่

ภูเขาและที่ราบเต็มไปด้วยหลุมศพ

“เชื่อมือข้าได้เลย แอนนา” ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าว

“ทำไมล่ะ” แอนนาถาม

“ข้าไม่ต้องการการปกป้องของเจ้าอีกแล้ว” ซูเสวี่ยเอ้อร์ตอบ

“แต่เจ้าลองดูสภาพของตัวเองสิ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงพลัง ตอนนี้ มันคือช่วงเปราะบางมากและต้องได้รับการสนับสนุนจากใครบางคน” แอนนากล่าว

“ข้าคนเดียวเอาอยู่ แต่ถ้าเจ้ายังตามข้ามา เจ้าจะตายไปพร้อมกับข้า” ซูเสวี่ยเอ้อร์กล่าว

แอนนาตกตะลึง

ซูเสวี่ยเอ้อร์คล้ายกับรู้ทันก่อนเอื้อมมือไปจับใบหน้าของแอนนาอย่างอ่อนโยน “ไพ่ทำนายโชคชะตาไม่มีทางผิดพลาดได้ ครั้งนี้ข้าจะตายจริงๆ มีชีวิตเพื่อข้า จากนั้นช่วยนำคำพูดข้าไปบอกกับเขา”

‘เพี้ยะ!’

แอนนาปัดมืออีกฝ่ายก่อนดึงไพ่กลับ

“เจ้าเชื่อสิ่งนี้หรือ”

นางชี้ไปที่สุสานบนไพ่ขณะถามอย่างเคร่งขรึม

“แน่นอน โชคชะตาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ซูเสวี่ยเอ้อร์ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง

“ข้าขอถามเจ้าเลยนะ ไพ่นี่มันมาจากไหน” แอนนาถามขณะยื่นหน้าเข้ามา

“มันคือไพ่ที่ข้าแลกกับกู่ฉิงซาน ข้าจำได้ว่าเคยบอกเจ้าไปแล้วนะ”

“ถ้าอย่างนั้นบอกข้าซิ ในตอนนั้นอะไรอยู่บนไพ่ ทำไมเจ้าถึงแลกไพ่”

“เพราะไพ่นี้บอกว่ากู่ฉิงซานจะถูกร่ายมนต์จนถึงแก่ความตาย”

แอนนาคว้าคอของซูเสวี่ยเอ้อร์ก่อนกล่าวเสียงดังว่า “เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยคิดว่ามันคือโชคชะตาหรือ แต่ใครกันล่ะที่ตาย”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ตกตะลึง

ใช่แล้ว พวกนางไม่ได้ตาย

ถึงแม้บัญญัติราชามารจะถูกโหลดไว้จริง แต่สุดท้ายพวกนางก็ยังปลอดภัย

การต่อสู้ระหว่างโลกเก้าร้อยล้านชั้นและบัญญัติราชามารจบลงด้วยชัยชนะของโลกเก้าร้อยล้านชั้น

‘หึ!’ แอนนาปล่อยมือแล้วกล่าวอย่างไม่พึงพอใจว่า “ในเมื่อเจ้าอ่อนแอปวกเปียกเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่กับฉิงซาน”

“ทำไมข้าถึงไม่มีคุณสมบัติล่ะ”

“เพราะข้าไม่เคยเห็นเขายอมจำนนต่อโชคชะตามาก่อนอย่างไรล่ะ”

แอนนาตอบอย่างแผ่วเบา

..................................