webnovel

0714 ผู้กลืนกินอสุรกาย

ตอนที่ 714 ผู้กลืนกินอสุรกาย

หลังจากกล่าวทุกอย่างจบ มนุษย์แสงก็แตกตัวเป็นจุดดาวนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายออกไป

โลกทั้งใบเงียบงันลงครู่หนึ่ง

และแล้ว ทั้งตลาดมืดก็ระเบิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันใด บังเกิดเสียงสนทนาหนาหู

ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไม่คิดเอื้อนเอ่ยคำใด แต่เลือกเร่งตรงไปยังร้านหนังสือทันที

พวกเขากำลังเร่งไปค้นหาเจ็ดพระคัมภีร์!

พระคัมภีร์แต่ละเล่มได้บันทึกคำพูด การกระทำของเทพวิญญาณเอาไว้ แน่นอน ว่ามันรวมไปถึงความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อโลก และคำพยากรณ์ในอนาคต

ซึ่งหากคุณต้องการหาเขาวงกต คุณจะต้องอาศัยบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดจากในเจ็ดพระคัมภีร์!

โชคยังดี ที่เจ็ดพระคัมภีร์ ของเจ็ดเทพวิญญาณเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยม มีจำนวนเหลือเฟือ หมุนเวียนไปตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น แถมในบางกรณี ทางวิหารของเทพองค์นั้นๆ ยังถึงขั้นมอบพระคัมภีร์เป็นของขวัญฟรีๆ ให้แก่ผู้ศรัทธาเลยอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง ท่ามกลางดินแดนชิงอำนาจ ไม่ว่าร้านหนังสือใด จึงล้วนแล้วแต่มีเจ็ดพระคัมภีร์วางขายอยู่ ทุกคนสามารถซื้อขายมันได้ตลอดเวลา

หลังจากเกิดความวุ่นวายขึ้น คนที่มาก่อนเพื่อนก็สามารถยึดครองพระคัมภีร์ที่ต้องการเกือบทั้งหมดจากในร้านหนังสือเจ็ดถึงแปดแห่ง

ทว่าก่อนจะสายเกินไป ชายทรงอำนาจคนนั้นก็เปลี่ยนใจในท้ายที่สุด ละทิ้งความคิดนี้ไป

เพราะเขาตระหนักได้ว่า หากเขากล้าทำเช่นนั้น เกรงว่าทุกคนคงจะรวมตัวกัน และสังหารตนตกตายลงอย่างสิ้นหวัง

ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือคำพยากรณ์ของทวยเทพ!

มันมิใช่แค่เรื่องของการศรัทธาทั่วๆ ไป แต่ร่างมนุษย์แสงยังกล่าวอีกว่าที่เขาสามารถทำได้ คือการ ‘ซื้อเวลา’ ให้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

หากไม่พบเขาวงกตในท้ายที่สุด และสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่ถูกเปิดใช้งาน ความชั่วร้ายก็จักไม่ถูกปิดผนึก

กรณีที่ล้มเหลวในการค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ และตัวเขาได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตนจะถูกมอนสเตอร์สังหารลง แต่คนอื่นๆ คนรุมทึ้งเขาจะตายไปซะก่อน

ชายทรงอำนาจสูดหายใจลึก และเริ่มทำการค้นหาบทกวีพยากรณ์จากพระคัมภีร์เล่มหนึ่งในอ้อมแขน กวาดอ่านมันอย่างรวดเร็ว

นี่คือพระคัมภีร์แห่งความตาย ที่ได้บันทึกถึงข้อเท็จจริง คำพูด และการกระทำของเทพแห่งความตายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ผสมผสานไปกับหลากหลายสิบคำพยากรณ์เกี่ยวข้องกับอนาคต

แต่ละบทกวี แต่ละคำพยากรณ์ ล้วนมีเนื้อหายาวเหยียดเป็นหนึ่งพันบรรทัด

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์จากเล่มเดียวเท่านั้น

ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่ถึงเจ็ดเล่ม…

เขาสะบัดหัว ขับไล่ความท้อถอย และเริ่มอ่านบทกวีพยากรณ์ต่ออย่างระมัดระวัง

นี่นับว่าเป็นงานใหญ่จริงๆ แต่ไม่ว่ามันจะยากเย็นขนาดไหน เขาก็ต้องรีบหาบทกวีที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้เจอ ให้จงได้!

ตลอดทั้งตลาดมืดกลับคืนสู่ความสงบ

ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือกระทั่งใกล้ตาย ต่างก็ยกหนังสือมากุมไว้ในมือ หมกมุ่นสมาธิ จดจ่ออยู่กับมัน

นั่นเพราะหนทางสู่การเป็นกึ่งเทพ กำลังอยู่ตรงหน้าแล้ว!

ตอนนี้ ไม่มีใครคิดจะฆ่าแกง หรือต่อสู้กันเพื่อสมบัติธรรมดาๆ อีกต่อไป

พวกเขาขมวดคิ้ว เค้นสมองอย่างหนัก เพื่อค้นหาเบาะแสของบทกวีพยากรณ์

ณ ขอบท่าเรืออวกาศ

กู่ฉิงซานยกชาร้อนมาให้ซีน้อย ส่วนเจ้าตัวเอนกาย หลังพิงเก้าอี้ อ่านหนังสือพิมพ์ในมือ

นี่คือหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

หลังจากที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็มีข่าวใหม่ขึ้นมา

“นายไม่คิดจะไปตีความบทกวีพยากรณ์เลยเหรอ?” ซีน้อยเอ่ยถามเขาขณะดื่มชา

สมาธิของกู่ฉิงซานจมอยู่กับเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ แต่เขาก็ยังตอบอย่างจริงจังว่า “อืม ไม่ไปหรอก เพราะฉันได้ละทิ้งสถานะผู้ศรัทธาไปแล้ว”

“อันที่จริงมันไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องสนใจฉัน นายสามารถทดลองดูก็ได้นะ” ซีน้อยสนับสนุน

“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น?”

“เพราะถ้าอ้างอิงตามคำพูดของเทพวิญญาณ มันสามารถตีความได้ว่า ต่อให้นายไม่เป็นผู้ศรัทธาของเจ็ดวิหาร แต่ถ้านายปฏิบัติภารกิจลุล่วง นายจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้ นายจะกลายเป็นกึ่งเทพโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”

“หา? เทพวิญญาณจะใจดีถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” กู่ฉิงซานยังคงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ปากเอ่ยถาม

“เชื่อฉันเถอะ ฉันรู้จักเทพวิญญาณดี” ซีน้อยกล่าว “พวกเขาหวาดระแวงเกี่ยวกับผนึกที่ไม่รู้จัก และบาปที่ทรงพลังดุร้าย ฉะนั้น หากใครก็ตามที่สามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการได้ เทพวิญญาณย่อมต้องโปรดปราน และมอบรางวัลให้แน่นอน”

กู่ฉิงซานลังเล “แต่การกลายเป็นกึ่งเทพอย่างกะทันหัน จิตวิญญาณอาจจะต้องแบกรับภาระมากเกินไป”

ซีน้อยยิ้ม “กึ่งเทพมันไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายนักหรอก เพราะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางแห่งทวยเทพ มันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะได้กลายเป็นเทพที่แท้จริง”

“แล้วมีกึ่งเทพอยู่ในดินแดนชิงอำนาจบ้างรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อย “แน่นอนว่ามี พวกเขาอยู่ในวิหารทั้งเจ็ด เหล่าผู้รับใช้ทวยเทพ ล้วนเป็นกึ่งเทพทั้งหมด”

กู่ฉิงซาน “ผู้รับใช้เทพ … ”

ตามความรู้ในความทรงจำของกู่ฉิงซาน เขารู้ดีว่าเทพวิญญาณแต่ละองค์ ล้วนมีคนรับใช้เป็นของตัวเอง

สำหรับผู้รับใช้เทพ เขามีหน้าที่จัดการกับกิจวัตรประจำวันของเทพที่แท้จริง และดำเนินการตามคำสั่งของเทพที่แท้จริงอย่างซื่อสัตย์

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงสุนัขดำที่อยู่ข้างกายแอนนา

ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับใดกันนะ?

“กลายเป็นกึ่งเทพ… เธอคิดว่าฉันควรจะลองงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อย “ใช่ เพราะถ้านายสามารถเป็นกึ่งเทพได้ มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของนายได้อย่างมหาศาล น่ากลัวว่าถ้านายตัดผ่านฐานวรยุทธ์ ยกระดับขึ้นไปหลายขอบเขตโดยตรง ยศไพ่ของนายก็จะตัดผ่านสีเทา ข้ามขึ้นไปอีกหลายระดับด้วยเหมือนกัน”

“โอ้...มันก็ฟังดูดีนะ” กู่ฉิงซานไตร่ตรองพลางรับคำ

เอาจริงๆ แล้วแม้จะได้ฟังเรื่องนี้ แต่ท่าทีของเขากลับดูตื่นเต้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ซีน้อยลุกขึ้นและกล่าว “ไปเถอะ พวกเราไปตามหาบทกวีพยากรณ์ในเจ็ดพระคัมภีร์กัน ฉันรู้จักเทพวิญญาณเป็นอย่างดี ฉะนั้นการจะหาบทกวีทั้งยี่สิบเอ็ด ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

เธอพูดต่อ “ฉันสามารถตีความมันในแต่ละบท เพื่อเสาะหาร่องรอยว่าเขาวงกตอยู่ที่ไหน”

“จากนั้นพวกเราก็ไปยังเขาวงกตของเทพวิญญาณ นำสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา และปิดผนึกความชั่วร้าย”

กู่ฉิงซานมองเธออย่างเงียบๆ และเอ่ยถาม “เธอเคยโดนเทพวิญญาณผนึกมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังคิดจะช่วยเทพวิญญาณทำอะไรแบบนี้อีก? เธอสมควรที่จะอยากแก้แค้นพวกเขาสิ”

“แก้แค้น?” ซีน้อยทวนคำ “แก้แค้นหมายความว่ายังไง?”

กู่ฉิงซานส่ายมือบอกอีกฝ่ายให้วางพจนานุกรมที่กำลังจะหยิบลงไป และนึกถึงคำอธิบายที่มันเหมาะสม “มันก็… หมายความประมาณว่า ถ้าคนอื่นทำไม่ดีกับเธอ เธอก็ต้องการที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ในแบบเดียวกัน”

ซีน้อยผุดรอยยิ้มจางๆ “เทพวิญญาณก็แค่กลัวฉัน”

กู่ฉิงซาน “แต่พวกเขาผนึกเธอ”

ซีน้อยมองเขาและกล่าว “นั่นมันเป็นเรื่องก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อพวกเขาอีกแล้ว แต่ฉันแค่อยากจะช่วยให้นายกลายเป็นกึ่งเทพก็เท่านั้นเอง”

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงัน

เขาค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปในครั้งอดีตที่ผ่านๆ มา หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังสีขาว แต่ตลอดทั้งเล่มหนังสือพิมพ์ ในส่วนหน้าของเนื้อหา มันล้วนเป็นสีดำสนิท ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง

ปรากฏบรรทัดตัวอักษรที่กำลังเผาไหม้หน้ากระดาษดำ

“ข่าวร้ายครั้งสุดท้าย”

“สหพันธ์โลก เก้าร้อยล้านชั้นถูกทำลาย”

“โลกนับล้านๆ จมลงสู่ความมืดมิด”

“ขณะนี้ มอนสเตอร์ลึกลับตนนั้นกับระบบของราชามารกำลังห้ำหั่น ทำลายล้างกันและกัน”

“ทว่าต่อให้ฝ่ายใดสามารถคว้าชัยชนะมาได้ สิ่งมีชีวิตทั้งมวล หากไม่ยินยอมเป็นทาสมัน ก็จักต้องตกตายลงอยู่ดี”

“โปรดทราบว่านี่คือการสื่อสารครั้งสุดท้ายจากพวกเรา ก่อนที่สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจะล่มสลายลง”

“ทุกอย่างมันจบสิ้นลงแล้ว”

“ลาก่อนตลอดกาล สหายของฉัน”

เมื่ออ่านถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดอ่านหนังสือพิมพ์อีกต่อไป ตัวอักษรลุกไหม้ที่เขียนลงบนหน้ากระดาษสีดำก็หายไปเช่นกัน

เปลวไฟเผาผลาญ กลืนกินหนังสือพิมพ์ทั้งเล่ม

ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ความรุ่งโรจน์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ได้กลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยหายไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น

สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นเองก็ถูกทำลายลงเช่นกัน

ยุคสมัยได้จบสิ้นลงแล้ว

ม่านแห่งวันสิ้นโลกกำลังค่อยๆ ถูกเปิดฉากอย่างช้าๆ

วันนี้ มีเพียงดินแดนชิงอำนาจที่ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพเท่านั้น ที่ยังคงสามารถยืดลมหายใจต่อไปได้

แต่ก็ไม่มีใครรู้ ว่าโชคดีๆ แบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน

กู่ฉิงซานถอนหายใจหนักหน่วง ในมือจีบเข้าด้วยวิชาลับ

“ฉันมีบางอย่างอยากจะถามเธอสักหน่อย”

เขากล่าวกับซีน้อย

แสงอัศจรรย์พลันผุดออกมาจากมือของเขา ก่อร่างเป็นเค้าโครงใบหน้าที่แสนน่าหวาดหวั่น ลอยท่ามกลางอากาศบางเบา

ใบหน้านี้ประกอบไปด้วยรังสีแสง ครึ่งหนึ่งเป็นชาย อีกครึ่งเป็นหญิง ดวงตาและการแสดงออกของทั้งสองแลดูบ้าคลั่ง ปากอ้าเปิดกว้าง คล้ายกับว่ากำลังกรีดร้อง ชวนให้ดูเจ็บปวดและสิ้นหวัง

เดาไม่ผิดหรอก นี่คือตัวตนที่ดำรงอยู่ในสถาบันเทพ

มอนสเตอร์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านมันได้!

“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อยมองมัน สีหน้าเริ่มเป็นจริงเป็นจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มันมีอยู่หลายชื่อเรียก ผู้ล่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล”

กู่ฉิงซานเริ่มดูมีชีวิตชีวา “เธอรู้จักมันใช่ไหม?”

“ใช่” ซีน้อยพยักหน้าและกล่าว “เจ้าสิ่งนี้มันมาจากยุคโบราณ เป็นยุคก่อนที่เทพวิญญาณจะถือกำเนิดขึ้น”

“เจ้าสิ่งนี้ ครั้งหนึ่งมันเคยทำลายล้างยุคบรรพกาลมาแล้ว หลังจากการถือกำเนิดขึ้นของเทพวิญญาณ แม้ว่าเทพที่แท้จริงจะมีอำนาจที่แสนน่าหวาดหวั่น แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่อาหารของสิ่งนี้”

“ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมทวยเทพถึงไม่หยุดรังสรรค์ทุกสรรพชีวิต ละเมิดกระทั่งข้อห้ามอย่างการรังสรรค์อาวุธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตน ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากความหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนี้นั่นเอง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วในยุคที่ว่านั่น เทพวิญญาณสามารถโค่นเจ้าสิ่งนี้ลงได้รึเปล่า?”

ซีน้อย “เทพวิญญาณได้ทำการต่อสู้ขั้นแตกหักกับเจ้าสิ่งนี้ และช่วงเวลาที่ว่าฉันเองก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”

“เธอได้สู้กับมันด้วยงั้นเหรอ!?”

“ไม่ใช่แค่ฉัน แต่กองทัพอันยิ่งใหญ่ อาวุธทั้งมวลที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพก็ล้วนมีส่วนร่วมในการต่อสู้ขั้นแตกหักนี้ บางตนถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉันซะอีก”

“คว้าชัยชนะมาได้ใช่ไหม?”

“ใช่ แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน เทพวิญญาณส่วนใหญ่ต้องตกตายลง หลายตัวตนที่ทรงอำนาจมากจนฉันรู้สึกว่าการมีอยู่ของพวกเขามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ตกตายลงในการต่อสู้ขั้นแตกหักนี้”

“แล้วเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นล่ะ?”

“พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้ ทำได้เพียงปิดผนึกมัน แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่สำหรับเทพวิญญาณแล้ว นี่นับว่าอย่างน้อยก็สามารถปลอดภัยได้ชั่วคราว”

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ซีน้อยกล่าวซอกแซก “แล้วนายไปรู้จักเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?”

กู่ฉิงซาน “เพราะมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”

ซีน้อยมิได้ตอบเขา แต่แข้งขาของเธอพลันไร้เรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงนั่งอย่างช้าๆ

นี่เป็นครั้งแรกเลยกที่กู่ฉิงซานเห็นเธอแสดงออกถึงความวิตกและหวาดกลัว

“ตอนนี้เทพวิญญาณก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นหมายความว่าเจ้าสิ่งนี้คงเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตายสินะ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่มั่นใจ

“ไม่หรอก” ซีน้อยส่ายหัว “เทพวิญญาณย่อมไปปล่อยให้สถานการณ์น่ากลัวแบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน”

“หลังจากผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ พวกเขาก็ได้ทำการศึกษามันมาเป็นเวลานานปี จนในที่สุดก็ค้นพบวิธี ‘รับมือ’ กับมอนสเตอร์ตนนี้”

ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกาย ปากเอ่ยถาม “วิธีการอะไร?”

“มันเป็นความลับ ความลับของเทพวิญญาณ” ซีน้อยมองเขา ส่ายหัวพลางกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด “ฟังฉันนะซีน้อย เธอจะต้องบอกฉัน มิฉะนั้นผู้คนมากมายจะถูกมอนสเตอร์ตนนี้ฆ่าตาย และโลกทั้งมวลจะต้องถูกทำลายลง”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะบอกนาย แต่ในเวลานั้นเหล่าทวยเทพได้โค่นมอนสเตอร์ตนนี้ลง และอาวุธทรงอำนาจเช่นฉันได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแทน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปล่อยให้ฉันล่วงรู้ถึงความลับนี้” ซีน้อยกล่าว

“มันไม่มีเงื่อนงำอะไรสักนิดเลยเหรอ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่ยินยอม

“แน่นอนว่ามี ฉันรู้ว่าเทพวิญญาณเก็บซ่อนความลับเอาไว้ที่ไหน” ซีน้อยกล่าว

“มันอยู่ที่ไหน?”

“มันคือหมายเลขพิเศษ ที่แสดงถึงความตายอันไม่รู้จบในพระวจนะแห่งทวยเทพ เลขเก้าสี่สี่ ใช่แล้วล่ะ ความลับที่ว่าถูกเก็บไว้ในเหรียญเลขเก้าสี่สี่”

“เหรียญ? เทพวิญญาณซ่อนความลับเอาไว้ในเหรียญเนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานไม่อยากจะเชื่อ

ทว่าในตอนนั้นเอง เขาก็พลันนึกถึงเหรียญหนึ่งศูนย์เก้าที่อยู่ในการครอบครองของตน

เหรียญนี้สามารถเรียกตู้เย็นออกมาได้

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ

บรรดาเหรียญมากมายเหล่านั้น พวกมันล้วนมีฟังก์ชันที่แตกต่างกันออกไปใช่หรือไม่

ซีน้อย “ใช่ เหรียญที่มีเลขมากกว่าเก้าร้อยมันไม่ได้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง หรือถูกใช้หมุนเวียนอีกต่อไป เหรียญเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุนิรันดร์ของทวยเทพ มันใช้เก็บซ่อนความจริง และความลับของพวกเขาที่ไม่ต้องการเอ่ยถึง”

กู่ฉิงซานนิ่งค้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “แล้วเหรียญพวกนี้ มันจะเหมือนกันกับเหรียญที่มีเลขต่ำกว่าเก้าร้อยรึเปล่า?”

“ไม่ นายไม่สามารถวัดความจริงและความลับตามทัศนคติที่ใช้วัดความมั่งคั่งได้ เหรียญเลขที่มากกว่าเก้าร้อย แต่ละเลขล้วนมีความหมายพิเศษ และไม่สามารถแยกแยะได้เลยเหรียญใดมีความสำคัญมากกว่ากัน”

ซีน้อยคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นเสียงของเธอดูจะเบาลงและดูว้าวุ่นใจ

“เหรียญที่อยู่เหนือกว่าเลขเก้าร้อย ทั้งหมดล้วนมีค่าเท่าเทียมกัน แต่ว่ามีแค่เหรียญสามเลขสุดท้ายเท่านั้น ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงหนึ่ง …”

ทว่ากู่ฉิงซานไม่ทันได้ให้ความสนใจกับน้ำเสียงและท่าทีที่แปลกไปของซีน้อยในเวลานี้

เพราะเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการเอาชนะมอนสเตอร์ประหลาดอยู่

ถูกหล่อขึ้นเพียงชิ้นเดียว หรือหล่อขึ้นเป็นจำนวนน้อย นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องเก็บงำความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับกู่ฉิงซานที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ

“เหรียญเลขเก้าสี่สี่…” กู่ฉิงซานพึมพำ “ฉันจะจำมันเอาไว้และตามหามัน!”

เขาผุดลุกขึ้นและกล่าว “สำหรับปัจจุบันนี้ พวกเรามาค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นกันก่อน แล้วออกจากโลกใบนี้กันเถอะ”

ซีน้อยลุกขึ้นตามเขาและกล่าว “พวกเราจะไปที่ร้านหนังสือกันแล้วใช่ไหม?”

“ไม่ พวกเราจะตรงไปที่ทะเลทรายเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยงุนงง “แต่พวกเรายังไม่ได้อ่านบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดเลยนะ แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหาตำแหน่งของเขาวงกตเจอได้ยังไง”

กู่ฉิงซาน “แค่ตามฉันมาก็พอ”

ซีน้อย “นายมีวิธีงั้นเหรอ?”

กู่ฉิงซาน “อืม”

“นายสามารถค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะได้เลยโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาบทกวีพยากรณ์?” ซีน้อยอดไม่ได้ เอ่ยถามอีก

กู่ฉิงซาน “อืม”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายมีวิธี มันคืออะไรช่วยบอกฉันบ้างสิ” ซีน้อยคะยั้นคะยอ

“ก็...ใช้วิธีการเดียวกันกับตัวตนที่เธอเรียกมันว่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลยังไงล่ะ!”

กู่ฉิงซานเฉลย

บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณนับพันถูกจ่ายออกไป

สกิลลึกลับจากสถาบันเทพ ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว!

........................................