webnovel

0568 เร่งความเร็ว

ตอนที่ 568 เร่งความเร็ว

“อุ๊…ปวดหัวจัง”

“นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?”

เธอลืมตาขึ้นปากอ้าขยับด้วยความงัวเงีย

ในสายตาของเธอ ทุกอย่างที่พร่ามัวค่อยๆ เริ่มจะชัดเจน

ท่ามกลางความมืดมิด ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสลัวสีเหลืองอ่อน

‘จริงสิ นั่นมันโคมไฟในบาร์นี่นา’

มองไปยังขวดเหล้ากองใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของเธอ เจ้าตัวก็เริ่มจะสร่างเล็กน้อย

ตรงกันข้ามกับเธอ สุนัขดำตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ

มันจ้องมองเธอด้วยความเย็นชา

“ในคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยมีใครเลยที่ทำผิดกฎแบบนี้ สงสัยข้าคงต้องย้ำเตือนเจ้าด้วยวิธีรุนแรงดูบ้างแล้ว” สุนัขดำเอ่ยเสียงเย็น

“ฉันทำผิดกฎอะไร?” เธอถามด้วยสมองที่ว่างเปล่า

“ก็เจ้าดื่มตลอดทั้งคืน!” สุนัขดำอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

หญิงสาวที่ถูกด่าจึงเอียงคอ และลองย้อนนึกเกี่ยวกับมันอีกครั้ง

...ดูเหมือนว่าเมื่อวานเธอจะดื่มมากเกินไปจริงๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการดื่มหนักแบบนี้ พอเจ้าเมาจนสลบแล้ว มันจะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ!” สุนัขดำยังคงวิจารณ์เธอต่อไป

“แต่นี่ไม่ใช่บาร์ของคริสตจักรของพวกเราเหรอ?” เธอสวนกลับด้วยความงุนงง

“นั่มไม่เหมือนกัน! เจ้าสลบไปตั้งสี่ชั่วโมง หากไม่มีข้าคอยปกป้อง ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!” สุนัขดำโกรธสุดๆ มันกระโดดลงจากโต๊ะ และเดินออกจากประตูบาร์ไป

แอนนาตะลึงงัน

ทำไมฉากนี้มันดูเหมือนกับว่า...จะมีบางอย่างผิดปกติกันนะ?

หลังบาร์ หญิงมีเสน่ห์คนหนึ่งเดินมาหาเธอพร้อมกับบุหรี่ในปาก

ขณะที่กำลังเช็ดแก้วในมือ เธอก็เอ่ยปลอบประโลม “แอนนา อย่าโกรธไปเลยนะ”

“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่”

“อื้ม ตัวมันก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก่อนหน้าคุณหนึ่งนาทีเท่านั้นเอง”

“ว่าไง...”

“อื้ม และมันก็ดื่มมากกว่าคุณตั้งสามเท่า”

“ถ้าเช่นนั้น”

“และที่สำคัญที่สุด มันยังไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นคุณจะต้องจ่ายในส่วนของมันด้วย และฉันขอแนะนำว่าครั้งต่อไปถ้าคุณจะมาดื่ม อย่าชวนสุนัขขี้เมามาเป็นเพื่อนจะดีกว่า”

“ไอ้หมาสารเลวนั่น!”

“มันหนีไปไกลแล้ว คุณคงไล่ไม่ทันหรอก”

“…โธ่ เข้าใจแล้ว เช็กบิลด้วย”

แอนนาหยิบเอาเพชรูปกะโหลกออกมา และวางมันลงบนโต๊ะ

หญิงมีเสน่ห์กวักมือเข้าหาตน แล้วเพชรรูปกะโหลกก็ลอยมาตกลงบนปลายนิ้วเธอ

“ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่คุณสามารถได้รับเจ้าสิ่งดีๆ แบบนี้เอาไว้ในครอบครอง” เธอเอ่ยสรรเสริญอย่างราบเรียบ

เมื่อได้รับเพชรกะโหลกมา หญิงมีเสน่ห์ก็ขบคิดก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงแล้ว คุณสามารถวางใจได้นะ เพราะที่นี่เองก็อยู่ไม่ไกลจากตัวโบสถ์สักเท่าไหร่ คงไม่มีใครกล้าที่จะมาอุ้มคุณไปหรอก แต่ถ้าเป็นในสถานที่อื่น คุณก็ไม่สมควรที่จะดื่มจนเมาสลบไปแบบนี้”

“อีกอย่าง อย่าลืมนะว่าถ้าเมาเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้ของคุณ”

“รู้หรอกน่า ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น” แอนนาพูดด้วยความโกรธเคือง

“ว่าแต่เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ ถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้?”

“ก็แค่มาฉลองเล็กๆ น้อยๆ น่ะ”

“หืม? ฉลองเรื่องอะไรเหรอ?”

“พิธีกรรมปลุกวัตถุโบราณของโบสถ์น่ะ”

“เอ๊ะ” ดวงตาของหญิงมีเสน่ห์เปล่งประกาย น้ำเสียงของเธอยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ตามกฎแล้วฉันไม่ควรจะถามอะไรไปมากกว่านี้ แต่ดูจากท่าทีมีความสุขของเธอ ดูเหมือนว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะแห่งความตายชิ้นนั้นคงจะเป็นของดีไม่น้อยเลยใช่ไหม?”

“ก็คงประมาณนั้นแหละ ขอบคุณนะ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

“ด้วยความยินดี”

แอนนาโบกมือบ๊ายบายและเดินออกจากบาร์ไป

ข้างนอก เป็นเวลากลางวัน

บนถนนในเขตสงคราม คึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย

ม่านตาของแอนนาถูกทิ่มแทงด้วยแสงสว่างอันร้อนแรงจากบนท้องฟ้า ประจวบกับอาการมึนเมา ส่งผลให้เธอเซไปมา จนเกือบจะสะดุดล้มลงอยู่หลายครั้ง

หลังจากส่ายศีรษะอย่างแรง ในที่สุดแอนนาก็สามารถหยั่งเท้า รักษาสมดุลตัวเองจนได้

“หนังสือพิมพ์จ้า หนังสือพิมพ์หมดแล้วหมดเลย! ข่าวล่าสุดของวันนี้ อาการบาดเจ็บของแบรี่หายดีแล้ว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ในโลกมิติอนันต์พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”

คนขายหนังสือพิมพ์ โบกพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งผ่านหน้าเธอไป

อืม...

แบรี่เหรอ...

เขาเป็นใครกัน?

แต่ด้วยสมองที่วิงเวียน และดวงตาที่พร่ามัว ส่งผลให้เธอไม่อาจเห็นภาพในพาดหัวข่าวได้อย่างชัดเจน แอนนาจึงโยนความสงสัยนี้ทิ้งไป และสิ่งแรกที่อยู่ในหัวของเธอคือกลับไปนอน

เมื่อคิดได้แบบนี้ แอนนาก็พยายามมองหาทิศทางของโบสถ์ ลากตัวเองไปตามท้องถนน

สภาพที่ดูไม่ได้ของเธอ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในทันที

สายตาชั่วร้ายมากมายกวาดมองเธอ แต่เมื่อพวกเขาพบว่าหญิงงามคนนี้คือแอนนา

สายตาเหล่านั้นก็เบนหนีออกไปทันที

ผู้คนบนถนนจู่ๆ ก็กลายเป็นรีบร้อน หลายคนเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้หรือขวางทางเธอ

ในตอนนั้นเอง มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้จักเธอได้ก้าวออกไปข้างหน้า แต่เขาก็ถูกเพื่อนร่วมงานดึงกลับมา และลากตัวออกจากถนนซะก่อน

ในตรอกที่อยู่ห่างไกลออกไป

“แล้วแกจะลากฉันมาทำบ้าอะไร? นั่นมันหญิงงามชั้นยอดเลยนะ! ดูจากอายุแล้วก็ยังสาวอยู่เลย นี่มันสินค้าคุณภาพดีที่แสนจะหายากนะเว้ย” คนที่ถูกดึงตัวบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ

ขณะที่คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน และยิ้มออกมาอย่างขมขื่นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

“ลืมเรื่องนี้ไปเถอะพี่น้อง นี่ก็เพื่อชีวิตของตัวนายเองนะ” หัวหน้าของพวกเขากล่าว

“พี่ใหญ่ ทำไม...”

“เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งความตาย”

พอได้ยิน ชายคนนั้นก็หดคอกลับทันที

แต่สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เถียงออกไปอย่างดื้อรั้น “คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ทางคริสตจักรแห่งความตายคงไม่ยอมให้เหล่าผู้ศรัทธามาคร่าชีวิตของผู้อื่นตามใจชอบ ..”

คราวนี้ แม้แต่หัวหน้าก็ยังยิ้มด้วยความขมขื่น

“ครั้งสุดท้าย กลุ่มคนที่พยายามจะเข้าไปลักพาตัวเธอขณะเมา นายรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ทุกคนในกลุ่มจู่ๆ ก็ร่วงลงกับพื้น พร้อมกับหัวที่ถูกแยกออกจากลำตัวกลิ้งไปมาบนท้องถนน ตายลงทั้งๆ อย่างนั้นเลย!”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้คนที่สามารถมาถึงดินแดนชิงอำนาจได้ ล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในบรรดาตัวตนทรงอำนาจ แล้วพวกเขาจะไปตายโง่ๆ แบบนั้นได้อย่างไร” เขาสวนกลับด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

แต่ไม่มีใครตอบ แม้กระทั่งหัวหน้าของเขาก็ปิดปากเงียบ

เวลานี้ ชายคนนั้นจึงตระหนักได้ว่านี่มันเป็นเรื่องจริง

ดูเหมือนว่าเขาจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเริ่มจะซีดเซียว พร้อมกับเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาจากหน้าผาก

“กฎแห่งการกระทำ[footnoteRef:1]สินะ…มีเทพวิญญาณแห่งความตายอยู่ข้างๆ เธอ…” [1: กฎแห่งการกระทำ คือ กรรม]

“ถูกต้อง ดังนั้นถ้านายไม่ต้องการที่จะโยนตัวเองลงสู่ความตาย ก็ขอให้อยู่ห่างจากเธอซะ”

หัวหน้าตบลงบนไหล่เขา และกล่าวอย่างแผ่วเบา

ม้าทมิฬวิ่งผ่านเข้าไปในป่า

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไกลออกไป บางครั้งก็ปรากฏลวดลายเป็นวงสีทองแผ่ขยายออกมา

ซึ่งนั่นคือปฏิกิริยาจากกำแพงอุปสรรคของทวยเทพ เมื่อผีแห่งความอลหม่านบุกเข้ามา

ตามข้อมูลของเหลาเจียว ผู้เข้าสู่วิถีมารเบื้องบน ยังคงทำการอัญเชิญผีแห่งความอลหม่านผ่านพิธีกรรมอันซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ทางฝั่งเบื้องล่าง มีผู้คนไม่มากพอที่จะหยุดผู้เข้าสู่วิถีมารจากพิธีอัญเชิญนี้

กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขาออก และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ลอยมาตามสายลม

“อีกนานแค่ไหนจะถึงสถานที่ๆ คุณกล่าว” เขาถาม

“ถ้าด้วยความเร็วระดับนี้ น่าจะอีกสักราวๆ สิบนาทีได้” เหลาเจียวตอบเสียงดัง

สิบนาทีสินะ

แต่หนทางข้างหน้ามันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเนี่ยสิ

กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน และตบลงบนตัวม้าทมิฬ “ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ต้องสนใจนะ ขอแค่วิ่งต่อไปก็พอ”

“เข้าใจแล้ว” ม้าทมิฬรับคำ

มันเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น

เห็นแค่เพียงภาพติดตาสีดำวิ่งเป็นสาย ราวกับลูกศรที่หลุดจากคันธนู พุ่งข้ามผ่านผืนป่า

กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนหลังม้า ตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

เขาใช้สองมือพรม คลิกๆ ลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

เห็นแค่เพียงแสงสวรรค์เรืองรองปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า ครอบคลุมไปทั้งตัวม้าทมิฬและกระดองเต่าเบื้องหลัง

ทันทีที่แสงสวรรค์หายไป ก็ปรากฏพลังวิญญาณที่อัดกันแน่น แต่มันก็ถูกปกปิดไว้ในทันที

ค่ายกลต่อสู้ถูกจัดวางแล้ว

แต่สองมือของกู่ฉิงซานยังไม่หยุดลงเพียงแค่นี้

ไม่นานนัก แสงสวรรค์ก็ได้สาดสว่างข้ามผืนป่าอีกครา

กู่ฉิงซานได้จัดตั้งค่ายกลลงอีกชุดหนึ่ง

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” เหลาเจียวถาม

“จัดตั้งค่ายกลต่อสู้”

ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ถูกจัดวางลงในที่สุด

“มีศัตรูรึ?” เหลาเจียวเริ่มกังวล

“วางใจเถอะ ตอนนี้คุณจะปล่อยมือจากเชือกไม่ได้ แถมอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดีอีก ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าอยู่เฉยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลเดิมปริซ้ำออกมา”

“แต่พวกเขาจะไม่เพ่งเล็งมาที่ข้าหรือ?” เหลาเจียวถาม

ลอร่าพอได้ฟังก็เอ่ยออกมา “เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่เราเอง”

เห็นแค่เพียงมือของเธอที่ถูกวาดออกไป

และบนกระดองเต๋าเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ในไม่ช้า กระดองเต่าขนาดเล็กก็แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว

เปลือกเต่าเล็กๆ เหล่านี้ ราวกับเป็นเกราะชิ้นน้อยๆ พวกมันเริ่มประกบและยึดติดตามบนตัวของเหลาเจียวโดยอัตโนมัติ

จนสุดท้าย

กระดองเต่าขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนศีรษะของเหลาเจียว เป็นหมวกเกราะให้แก่เขา

“นี่มัน ” เหลาเจียวก้มๆ เงยๆ มองดูชุดเกราะทั้งหมดของเขาด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ต้องกังวลไป กระดองเต่านี้แข็งมาก ต่อให้เจ้าถูกโจมตีโดยศัตรู การโจมตีนั้นก็ไม่อาจเข้าถึงตัวเจ้าได้” ลอร่ากล่าว

ระหว่างอธิบาย จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น

โครม!

มอนสเตอร์ตัวใหญ่ที่สูงพอๆ กับตึกห้าชั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และพุ่งเข้ามา ปะทะกับค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายโดยตรง!

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นม้าทมิฬหรือศัตรูต่างก็เร่งความเร็วเต็มที่ ส่งผลให้มอนสเตอร์ตัวนั้นปะทะเข้ากับค่ายกลที่กำลังเคลื่อนที่อย่างแรง ทั้งตนทั้งร่างของมันปลิวกระดอนออกไป

เมื่อครู่นี้ มันคงไม่ทันจะได้คาดคิดโดยสมบูรณ์ ว่าจะมีค่ายกลที่ถูกกลบร่องรอยไว้โดยสมบูรณ์ซ่อนไว้ในอากาศที่ว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นค่ายกลที่สามารถป้องกันตัวมันเองได้อีกด้วย!

“นั่นผีแห่งความอลหม่าน!” เหลาเจียวสูญสิ้นเสียงของตนเอง

เบื้องหลังกู่ฉิงซาน ในอากาศที่ว่างเปล่า ดาบที่สาดแสงดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงปรากฏขึ้น มันระเบิดสายฟ้าออกมา และวูบหายไป

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโหยหวนน่าอนาถก็ดังขึ้นสั้นๆ และสงบลงในที่สุด

ดาบบินลอยกลับมาอย่างช้าๆ และหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอีกครา

“เจ้าไล่ผีแห่งความอลหม่านไปได้แล้วหรือ?” เหลาเจียวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

“เปล่า ไม่ได้ไล่ แต่ฆ่ามันไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับสั้นๆ

…………………………………..........