ตอนที่ 567 ออกเดินทาง
ไฟแห่งการจองจำมอดดับลง
ทั้งผี มอนสเตอร์ และร่างเงาดุร้ายจากแดนชำระล้างได้หายไป
เมืองทั้งเมืองกลับคืนสู่ความเงียบ
กู่ฉิงซานถอนหายใจและยืนไตร่ตรองอยู่ในจุดเดิม
แดนชำระล้างเรียกตนเองว่าเป็นคนกลางอย่างภาคภูมิใจ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขากลับเอนเอียงไปทางฝั่งระบบของราชามารอย่างชัดเจน
หากกระทั่งพวกเขายังเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานเกรงว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น คงจะมีโลกในตำนานอีกมากมายแน่นอน ที่กำลังยืนอยู่ตรงทางแยก และกำลังพิจารณาว่าพวกตน สมควรจะเลือกฝั่งไหนดี
ชายร่างสูงเมื่อครู่บอกว่า ตัวกู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวแทนของระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับระบบของราชามาร
แบบนี้ก็แสดงว่า… ยังมีความลับอื่นๆ ที่ลึกยิ่งกว่า ซ่อนอยู่เบื้องหลังแดนชำระล้างใช่หรือไม่?
“โอย ขาข้าเจ็บอยู่นะเนี่ย นั่งยองๆ นานๆ มันก็ยิ่งเจ็บ!”
เสียงบ่นอุบดังมาจากจุดที่ห่างออกไป ขัดจังหวะความคิดของเขา
กู่ฉิงซานหันไปตามเสียง
ไม่ไกลจากเขา ชายชราเดินออกมาจากตึกปะการัง
ดูเหมือนว่าขาของเขาจะชาไปเล็กน้อย ทำให้เวลาเดินค่อนข้างกะเผลกๆ
“อาการบาดเจ็บของคุณดูจะดีขึ้นมากแล้วนะ แต่อย่างไรคุณก็จะต้องทานยาอีกสักหน่อย ถึงจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่”
กู่ฉิงซานกวาดตามองชายชรา และสรุป
เขาเอื้อมมือไปหยิบเม็ดยาออกมาจากถุงสัมภาระ
“แต่วิธีการรักษาแบบนี้มันทรมานเกินไป ถ้าในมือของเจ้ามีเม็ดยาแบบอื่นที่ไม่ผสมยาระบาย” ชายชราอ้าปากหอบหายใจ
“คุณจะไม่กินมันเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“กินสิ ขอข้าอีกสักเม็ดหนึ่งนะ”
“ … ไม่มีปัญหาหรอก แต่การต่อสู้มันจบลงไปแล้วนะ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยก็ได้มั้ง?”
“ไม่ใช่! นี่แหละคือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ หากข้าสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถกระโจนเข้าสู่สงครามครั้งต่อไปได้”
“แต่ทุกคนตายกันเกือบหมดแล้ว ยังจะมีสนามรบอยู่ที่ไหนอีกหรือ?”
“แน่นอนว่าย่อมมี เจ้าหนู ไปกันได้แล้ว พวกเราจะต้องเร่งออกจากที่นี่ทันที” ชายชราตะโกน
“แล้วจะไปที่ไหน?”
“ไปยังเมืองไห่เช่า เวลานี้มีเพียงสถานที่แห่งนั้น ที่ผู้คนยังรอดชีวิตอยู่ และเป็นเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่สามารถต้านทานการรุกรานของมอนสเตอร์พวกนี้ได้!”
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ผมต้องไปเรียกเพื่อนของผมก่อน”
“สหายหรือ? ช้าก่อน นี่เจ้ามีกำลังคนอยู่อีกหรือ?”
“เปล่า ไม่ใช่กำลังรบ แค่เพื่อนคนเดียว”
ชายชราพอได้ยินก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังเอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “แล้วสหายที่ว่า แข็งแกร่งพอๆ กับเจ้าหรือเปล่า?”
“หากเทียบกันในบางแง่มุม ควรจะบอกว่า เธอเป็นคนที่มีวิธีการที่จะทำให้ผู้คนมากมายเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อเธอซะมากกว่า”
“คล้ายๆ กับเทคนิคมนตราควบคุมอันทรงพลังอะไรแบบนั้นรึเปล่า?” ชายชราถามด้วยความสงสัย
“ก็...จะเรียกว่าประมาณนั้นก็ได้ มันเป็นเทคนิคมนตราที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานล่ะนะ”
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย! ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไปรับตัวสหายของเจ้าก่อน แล้วเริ่มทำการค้นหาทั้งเมืองอีกครั้งด้วยกัน – เพราะบางทีมันอาจจะยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ อยู่อีกก็ได้”
“ค้นหาผู้รอดชีวิตเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าเรามาจัดการเรื่องของคุณกันก่อนดีกว่า”
“เพราะเหตุใด? ทำไมถึงไม่พาสหายของเจ้ามาด้วย หรือว่าคนๆ นั้นกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญอยู่ใช่หรือไม่?”
“ใช่ เธอกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากๆ อยู่”
…
ด้วยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน การค้นหาจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
หลายสิบนาทีต่อมา
บริเวณมุมถนนมุมหนึ่งในตัวเมือง จู่ๆ ก็ปรากฏรังสีแสงสีน้ำเงินยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท่ามกลางช่วงเวลาอันมืดมิด การที่ปรากฏแสงสว่างสดใส ระเบิดขึ้นเช่นนี้ เป็นสัญญาณที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้กู่ฉิงซานกับชายชราเฝ้ารอคอยมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมา
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตายกันหมดแล้ว” ชายชรากล่าวด้วยความเศร้า
เขาส่ายมือตนเอง
แล้วรังสีแสงบนท้องฟ้าก็กลับมาบรรจบกัน
สัญญาณจางหาย ท้องฟ้าคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“เหลาเจียว มีซักกี่คนกันที่สามารถแปลงกายเป็นสายพันธุ์โบราณแบบคุณได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
คนโบราณที่ชื่อว่าเหลาเจียว ในแววตาของเขาดูมืดมัวยิ่งนัก
“หากเป็นตอนนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหลืออยู่มากเพียงใด แต่มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในเมืองนี้”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเมืองอื่นๆ ล่ะ?”
“การสื่อสารจากแต่ละเมืองได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเทพคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
“สงครามมันรุนแรงมากเลยหรือ? กำแพงอุปสรรคของทวยเทพไม่มีผลเลยหรือไร?”
“มีผลอยู่ แต่พวกเราจำเป็นที่จะต้องออกจากกำแพงอุปสรรคไป เพื่อขัดขวางผู้เข้าสู่วิถีมารภายนอกที่อยู่บนเปลือกโลก เพราะพวกเขาเป็นคนรับหน้าที่อัญเชิญผีแห่งความอลหม่านมาบุกโลกของพวกเรา”
เหลาเจียวถอนหายใจ “ซึ่งพวกเราไม่สามารถรับมือกับผีแห่งความอลหม่านได้”
“หากเป็นแบบนั้น หมายความว่า คุณก็เลยจำเป็นต้องออกไปสู้เพื่อทำลายพิธีกรรมอัญเชิญของพวกเขาใช่ไหม?”
“ใช่ พวกเราสายพันธุ์โบราณออกจากกำแพงอุปสรรคไปต่อสู้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ตกตายลงทั้งหมด และในทันทีที่พวกเราปรากฏตัวขึ้นบนผืนน้ำแข็ง ก็จะถูกรุมโจมตีจากบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารนับไม่ถ้วนทันที แม้พวกเราจะสามารถหยุดยั้งพิธีอัญเชิญได้ แต่หลายคนก็ต้องตายลง”
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
ภายนอก มีผู้เข้าสู่วิถีมารเกินกว่าสองร้อยล้านคน
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะออกไปข้างนอกด้วยตนเอง แต่ด้วยจำนวนศัตรูที่มากมายเกินไป ตัวเขาก็คงได้พบจุดจบอันน่าเศร้าสลดไม่ต่างจากชายชราอยู่ดี
“แล้วทำไมเมืองไห่เช่าถึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้?” เขาถามอีกครั้ง
“เพราะเมืองไห่เช่าเป็นเมืองที่ได้รับการเลือกสรรจากทวยเทพให้เป็นเมืองนมัสการ และอีกอย่าง ตอนนี้ก็มีบุคคลที่ทรงพลังจากภายนอกคอยช่วยเหลืออยู่อีกด้วย ”
“คนจากภายนอกหรือ?”
กู่ฉิงซานเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
“ใช่ นางมีมนตราพิเศษที่สามารถควบคุมผีแห่งความอลหม่านได้ในระดับหนึ่ง และเพราะมนตราของนางนี่เอง ที่ช่วยให้ผู้คนที่ยังรอดชีวิต เดินทางไปหลบภัยยังเมืองไห่เช่าได้”
“คนนอกที่ว่า ใช่ชื่อเหมันต์ยามค่ำ เหมันต์ยามค่ำอีเลียรึเปล่า?”
“หือ? นี่เจ้าไปรู้จักชื่อของนางได้อย่างไร?” เหลาเจียวอุทานด้วยความประหลาดใจ
“เพราะผมก็กำลังตามหาตัวเธออยู่เหมือนกัน”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสามารถสรุปข้อข้องใจได้แล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเขาถึงไม่สามารถค้นหาคนๆ นี้ได้ในโลกเปลือกน้ำแข็งชั้นนอก
กลับกลายเป็นว่าตัวเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ก็ได้เข้ามาสู่โลกใบนี้ตั้งนานแล้วนั่นเอง
ความมั่นใจของกู่ฉิงซานเพิ่มขึ้นหลายส่วน
เหมันต์ยามค่ำอีเลีย เป็นตัวตนทรงอำนาจเช่นเดียวกันกับแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ เป็นผู้บัญชาการรบสงครามภายนอกแห่งอาณาจักรหนาม
และเธอให้คำมั่นสาบานว่าจะปกป้องลอร่า
เพียงเท่านี้ หมากสำคัญทางฝั่งตนเองก็พร้อมแล้ว!
เขาจะต้องพาลอร่าไปหาเธอที่นั่นทันที!
“เช่นนั้นก็เร่งฝีเท้ากันเถอะ หลังจากปลุกเพื่อนของผมแล้ว พวกเราจะไปทันที” กู่ฉิงซานตัดสินใจ
“ช้าก่อน ปลุกหรือ?” เหล่าเจียวตะโกน “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าสหายเจ้ากำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากอยู่หรือ?”
“เป็นธรรมดาที่คุณอาจจะไม่รู้ว่าโลกแห่งความฝันน่ะมันน่าหวาดกลัวขนาดไหน จริงๆ แล้วก็มีเทคนิคมนตราของบางเผ่าพันธุ์เหมือนกันนะ ที่จะสามารถเริ่มใช้งานได้เฉพาะในโลกแห่งความฝันเท่านั้นน่ะ”
“เป็นแบบนั้นเองหรอกหรือ?” น้ำเสียงของเหลาเจียวเริ่มจะคล้อยตาม
“นั่นคือสิ่งที่เป็น” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด
“ … ขออภัยจริงๆ เป็นข้าผู้ชราเองที่ขลาดเขลา พวกเราไปกันเถอะ”
ว่าจบทั้งสองก็ออกเดินทางไปด้วยกัน
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงสถานที่ๆ ลอร่าพักอยู่
หลังจากเปิดค่ายกลเกือบร้อย กู่ฉิงซานก็นำเหลาเขียวเข้ามาภายใน
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว” ฉานนู่ยืนขึ้นและกล่าว
“อืม ว่าแต่เธอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นอนหลับสบายดี”
กู่ฉิงซานเดินไปที่เตียง และเริ่มสำรวจลอร่า
เด็กสาวตัวน้อยอยู่ในอาการหลับลึก
มันอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาทั้งวันที่ผ่านมานี้ เธออ่อนเพลียมากเกินไป แต่ละลมหายใจของเธอช่างหนักหน่วง และมีเสียงกรนเล็กน้อย
กู่ฉิงซานยื่นมือของเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ลังเล ก่อนจะถอนมันกลับคืน
“รออีกสักหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้พวกเราก็เก็บของ เตรียมออกเดินทางกันก่อนเถอะ” เขาบอก
ฉานนู่พยักหน้า เธอกลายร่างเป็นดาบยาว แล้วหายเข้าไปในความว่างเปล่า
เหลาเจียวเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ตอนแรก นักดาบที่เหมือนกันกับเขาทุกประการเปล่งเสียงของหญิงสาวออกมา
แต่จากนั้นจู่ๆ คนที่ว่าก็กลายเป็นผู้หญิง ต่อมาก็กลายเป็นดาบ แล้วหายไป!
หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วมีใครมาเล่าให้ฟัง เหลาเจียวคงไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน่ะเป็นความจริง มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมในสายตา
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ขบคิดอย่างลับๆ ‘แท้จริงแล้วโลกช่างกว้างใหญ่กว่าที่ข้าคาดคิดนัก’
แต่พอมาลองคิดดูอีกที เมื่อครู่นี้นักดาบก็ยังกล่าวอีกว่าสหายของเขาสามารถต่อสู้ในโลกแห่งความฝันได้
ดังนั้นหากจะพบเจอกับอะไรที่น่าเหลือเชื่ออีก เหลาเจียวคิดว่าตนคงไม่แปลกใจแล้ว
“สหายของเจ้า ยังคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้ในความฝันใช่หรือไม่?” เหลาเจียวกล่าวสรรเสริญ
“เอ๊ะ? อ่า ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานตอบตะกุกตะกัก
เขามองไปที่ลอร่า
ลอร่านอนหลับสนิทมาก และเขาไม่อยากที่จะปลุกเธอ
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง แต่ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว” เหลาเจียวกล่าว
“ทำไมหรือ?”
“เพราะการป้องกันของเมืองไห่เช่าน่ะเข้มงวดนัก พวกเราจะต้องไปแจ้งให้พวกเขารู้ก่อนล่วงหน้า ว่าเราอยู่ที่นี่ พวกเขาถึงจะให้พวกเราเข้าไปได้”
เขาเอ่ยต่อ “เวลากระชั้นชิดนัก หากสงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว”
“แล้วคุณสามารถติดต่อกับพวกเขาได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกไป และลูบหน้าผากของลอร่าเบาๆ
พลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ตกลงไปในร่างของลอร่า
เจ้าหญิงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา
“มีเรื่องอะไรหรือกู่ฉิงซาน?” ลอร่าลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปากงุบงิบๆ ด้วยความหงุดหงิด
แล้วสายตาของเธอก็ตกลงบนเหลาเจียว
“มีข่าวดีฝ่าบาท พวกเราจะได้พบกับอีเลียแล้ว อ้อจริงสิ ชายคนนี้ชื่อว่าเหลาเจียว เขาเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ และจะเป็นคนพาพวกเราไปหาอีเลีย” กู่ฉิงซานอธิบาย
“เจ้าค้นพบที่อยู่ของอีเลียแล้ว? นี่เรื่องจริงหรือ?” ลอร่าขยี้ตาของเธอ ถามด้วยความเหลือเชื่อ
“ยอดไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น
แล้วทั้งสามคนก็เร่งเก็บของ เตรียมตัวที่จะออกเดินทาง
ทว่าก่อนจะไป สุดท้ายก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้
เพราะม้าทมิฬสามารถนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น
“หรือว่าพวกเราจะบินกันดี ถึงจะช้ากว่า แต่อย่างน้อยก็เกาะกลุ่มไปด้วยกันได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่ เราจะไม่บิน เมื่อครู่เราก็พึ่งฝันว่าร่วงตกจากที่สูงมา”ลอร่าคัดค้าน
“แต่นั่น...”
ลอร่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง หากต้องเดินทางสามคนทางบก เราพอจะมีวิธีอยู่”
ลอร่าขบคิดปัญหานี้ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเปลือกเต่าออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง แล้วมอบมันให้แก่เหลาเจียว
“ขอบพระคุณ นี่เป็นกระดองเต่าโบราณที่ดีจริงๆ ว่าแต่ข้าจะขี่เจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไร?” เหลาเขียวถามด้วยความตื่นเต้น
“การใช้งานมันในการเดินทางก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหรอก แถมเจ้ายังสามารถใช้มันหลบภัยในยามที่พบเผชิญกับอันตรายได้อีกด้วย”
ด้วยประการฉะนี้ ทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินทางทันที
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน? เมืองไห่เช่าเลยไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ พวกเราจะต้องติดต่อกับพวกเขาก่อน” เหลาเจียวย้ำอีกครั้ง
“แล้วสถานที่ติดต่อมันอยู่ตรงไหนกัน? นอกเมืองหรือ?”
“ใช่ เป็นต้นไม้พรายกระซิบที่สามารถเติบโตได้ในป่าใหญ่เท่านั้น”
“ …ฟังดูเป็นวิธีการติดต่อที่แปลกเอาเรื่องอยู่นะ แต่ก็ไปกันเถอะ”
ม้าทมิฬเริ่มควบสี่กีบของมัน ทะยานด้วยแรงทั้งหมดที่มี มุ่งหน้าออกนอกเมืองไป
ความรวดเร็วของมันราวกับสายฟ้าฟาด
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬกับลอร่า
ขณะเดียวกัน ตามตัวของม้าทมิฬก็มีเชือกเส้นยาวๆ มัดเอาไว้ ปลายของมันลากยาวออกไปทางกระดองเต่าที่อยู่เบื้องหลัง
เหลาเจียวที่ยืนอยู่บนกระดองเต่า ใช้สองมือกุมเชือกไว้แน่น ปากเอ่ยตะโกนเสียงดัง “สี่แยกข้างหน้า อย่าลืมเลี้ยวไปทางซ้าย!”
“รับทราบแล้ว” ม้าทมิฬขานรับ
หนึ่งคน หนึ่งวิหค หนึ่งม้า หนึ่งสายพันธุ์โบราณมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่
…………………………………..........