webnovel

0542 นักดาบเกราะทอง

ตอนที่ 542 นักดาบเกราะทอง

บนพื้นน้ำแข็ง

สายลมหนาวพัดกระพืออย่างรุนแรง

หิมะเริ่มที่จะปกคลุมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ผู้เข้าสู่วิถีมารนับสิบ อยู่ในสภาวะก่อกระบวนทัพป้องกัน เฝ้ารอทานรับการโจมตีที่กำลังจะปะทุขึ้น

ตรงข้ามกับพวกเขา จู่ๆ หมอกหนาอันคลุ้มคลั่งก็พลันสงบลงอย่างกะทันหัน สูญเสียพลังอำนาจและแรงกดดันไปอย่างน่าฉงน

ส่งผลให้หมอกหนาที่เกิดจากการสลายของน้ำแข็งยักษ์แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

“เกิดอะไรขึ้น?” บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ

“ชู่ว! เงียบก่อน!” นักรบเกราะเหล็กดุเขา

ชายคนที่เปล่งเสียงออกมาหุบปากลงอย่างรวดเร็ว

ทุกคนจ้องมองไปยังละอองหมอกเย็นฉ่ำชนิดแทบลืมหายใจ

เห็นแค่เพียงร่างหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในหมอกหนา

ร่างที่ว่ายิ่งมองยิ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นชายที่บนตัวสวมเกราะสีทองซีด ขณะที่บนใบหน้าสวมใส่หน้ากากเงิน เดินออกมาจากหมอกหนา

ชายคนนั้นถือดาบในมือของเขา และก้าวตรงเขามายังฝูงชนทีละก้าว ทีละก้าว

“อ้าว…ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นผู้ชายไปได้?” คนหนึ่งสงสัย

“น่ากลัวว่ามันอาจจะเป็นการอัญเชิญก็ได้” อีกคนพูดในสิ่งที่ตนได้พิจารณามาแล้ว

เทคนิคอัญเชิญ คือการจ่ายบางสิ่งบางอย่างออกไป ทำสัญญากับการดำรงอยู่อันลึกลับ แล้วเรียกอีกฝ่ายออกมาเพื่อช่วยในการต่อสู้

ใช่แล้วล่ะ มีเพียงแค่เทคนิคอัญเชิญเท่านั้นที่พอจะสามารถอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันได้

ทุกคนคิดเกี่ยวกับมันและพยักหน้าเห็นด้วย

นักรบเกราะเหล็กกล่าวว่า “เจ้าพวกโง่ นี่ไม่ใช่เทคนิคอัญเชิญ พวกแกไม่เห็นรึไงว่าผู้หญิงอีกคนได้หายไปแล้ว”

เขากล่าวและมองไปทางอีกฝ่าย

น่าแปลกจริงๆ เมื่อครู่นี้พลังอำนาจอันน่าตื่นตะลึงฟุ้งไปทั่วบริเวณอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้กลิ่นอายนั้นกลับหายไปแล้ว หายไปหมดเลยอย่างกะทันหัน?

แถมเจ้าคนที่ใส่เกราะทองและหน้ากากเงินตรงหน้า ตามร่างกายของมันก็ยังไม่ส่งกลิ่นอายใดๆ ออกมาเลยอีกต่างหาก

หรือว่ามันจะมีวิชาลับบางอย่าง คอยปิดซ่อนกลิ่นอายอยู่ใช่ไหม?

เหล่าลูกน้องอาวุธครบมือ ต่างหันไปมองนักรบเกราะเหล็กด้วยความตกใจ

พวกเขาต่างลองสัมผัสเข้าไปในหมอกหนาอย่างระแวดระวัง แล้วก็ตระหนักได้ว่าไม่อาจพบร่องรอยของผู้หญิงอีกคนได้แล้วจริงๆ

คงจะเป็นอย่างที่บอสว่าจริงๆ เพราะไม่เคยมีเทคนิคอัญเชิญใดๆ ที่จะทำให้ผู้อัญเชิญหายไปซะเฉยๆ ได้หรอก

ดังนั้น หรือว่านักดาบเกราะทองคนนี้ แท้จริงแล้วจะคือหญิงงามคนเมื่อครู่กันแน่?

ไม่น่าจะใช่...เพราะแค่ขนาดรูปร่างมันก็ไม่ตรงกันแล้ว

ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากันและกัน ในหัวใจขบคิดว่าสถานการณ์นี้มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย

“บอส แล้วพวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อ?” บางคนเอ่ยถามอย่างลังเล

 “วางใจเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร สุดท้ายก็จะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณให้กับพวกเราอยู่ดี” นักรบเกราะเหล็กกล่าว

ว่าจบ เขาก็คว้าโล่ที่ใหญ่โตชนิดบดบังทั้งร่างกายขึ้นมาในมือ และก้าวออกมาจากท่ามกลางฝูงชน

“ผู้หญิงอีกคนล่ะ หายไปไหนแล้ว?” นักรบเอ่ยถามนักดาบเกราะทอง

นักดาบเกราะทองที่กำลังก้าวเดิน เอ่ยสวนกลับไป “แกไม่ควรถามคำถามนี้”

“ทำไม?”

 “เพราะเธอเป็นของฉัน”

“เป็นของแกงั้นเหรอ ก็แล้วแกเป็นใครกัน? จะตอบดีๆ หรือว่าจะให้ฉันฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้เลย” นักรบเกราะทองกล่าว

ว่าจบเขาก็กระชับโล่ขึ้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

ส่วนกู่ฉิงซานก็หยุดฝีเท้าลง

เขามองหน้าอีกฝ่าย และเบนสายตาไปยังฝูงชน

นอกเหนือไปจากนักรบเกราะเหล็กที่มีความสูงกว่าสองเมตรแล้ว คนอื่นๆ ก็กำลังตั้งกระบวนทัพอยู่ในรูปแบบป้องกันด้วยเช่นกัน

สังเกตจากท่าทางและรูปแบบการป้องกันของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักรบที่เชี่ยวชาญ และคงผ่านประสบการณ์ต่อสู้ในโลกใบนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต้มพลังวิญญาณสะสมคงได้มามากพอสมควร

นั่นหมายความว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานจะต้องรับมือ ไม่เพียงเป็นอีกฝ่ายที่แข็งกร้าวเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังไม่ให้ศัตรูทำการแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟ ที่สามารถลงมือได้ตลอดเวลาอีกด้วย

ดังนั้นหากจะใช้คำพูดล่อลวงหรือเสียเวลาเล่นแง่กับพวกเขา มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ การต่อสู้ในครั้งนี้...จำเป็นที่จะต้องจบมันลงโดยเร็วที่สุด!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และขยับคอจนเกิดเสียงแกร๊กๆ เล็กน้อย

“ถ้าอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร อย่างแรกเลย แกคงต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้ซะก่อน!”

ทันทีที่เสียงตกลง ร่างของเขาก็หายวับไป

ในเวลาเดียวกัน โล่เหล็กหนาก็ปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา

มันคือโล่ขนาดใหญ่โตที่ถูกวางตั้งไว้เบื้องหน้านักรบเกราะเหล็ก!

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าประชิดนักรบเกราะเหล็กได้ในพริบตา และจ้วง! เสียบทะลุเข้าหน้าอกอีกฝ่ายด้วยคมดาบของตน

นี่คือการจู่โจมที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าใดๆ

ทว่านักรบเกราะเหล็ก พอถูกแทงด้วยดาบ เขาก็กลับยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าฉงน “ต้องการจะฆ่าฉันงั้นเหรอ!? งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง”

กล้ามเนื้อของนักรบหดเกร็งเข้าหากัน หนีบตรึงใบดาบเอาไว้

เอาล่ะ คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถขยับดาบได้อีกต่อไปแล้ว ถ้ามันไม่เลือกที่จะทิ้งดาบและหลบหนีไปให้ทัน ก็จะถูกตนระเบิดกำปั้นหนักเข้าใส่อย่างแน่นอน

นักรบเกราะเหล็กกำลังจะลงมือ แต่ใครจะรู้ จู่ๆ อีกฝ่ายก็กลับชิงเคลื่อนไหวเสียก่อนแล้ว

กู่ฉิงซานยกดาบยาวของเขาขึ้นมา

พร้อมกันกับร่างของนักรบเกราะเหล็กที่ยึดติดอยู่กับใบดาบ ถูกยกสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

แล้วดาบยาวก็ถูกสะบัดอย่างแรงไปยังเบื้องหน้า

นักรบเกราะเหล็กถูกเหวี่ยงอย่างแรง มัดกล้ามฉีกขาดหลุดออกจากดาบ ลอยคว้างไปในอากาศราวกับลูกวอลเลย์ ตกลงยังกระบวนทัพลูกน้องนับสิบที่อยู่เบื้องหลังเขา

“ช่วยกันรับตัวบอสเอาไว้เร็วเข้า!”

คนเหล่านั้นพากันตะกายมาข้างหน้า โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบกระบวนทัพป้องกัน

แล้วนักรบเกราะเหล็กก็ตกลง

โชคยังดีที่ทั้งหมดแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของบอสเอาไว้ได้

ทว่าจู่ๆ นักรบเกราะเหล็กกลับหายวับไปอย่างกะทันหัน

แต่ดันปรากฏหญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่ถือดาบยาวเข้ามาแทนที่เขา โผล่เข้ามากลางดงผู้เข้าสู่วิถีมาร

พร้อมด้วยดาบที่ถูกวาดออกไป

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 ในเสี้ยววินาที ร่างเงาดาบก็เริ่มเบ่งบาน กระจัดกระจายไปในสายลม

 ร่างเงาดาบนับไม่ถ้วนซ้อนทับกันไปมา ทั้งตัดแขน หั่นคอ เสียบขา เฉือนเนื้อหนัง ขึ้นกลางวงคนนับสิบ

“ไม่จริง! เทคนิคมนตราของฉันไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้!” บางคนร้องออกมา

ปัง!

หมอกเลือดพัดกระพือขึ้นโดยรอบในทันใด ขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกด้านหนึ่ง นักรบเกราะเหล็กได้สลับตำแหน่งกับฉานนู่ และเป็นอีกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

ซึ่งนักรบเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ เพราะจู่ๆ ดวงตาของเขาก็พร่ามัวไปครู่หนึ่ง แล้วพออาการพร่ามัวหายไป เขาก็กลับมาหาศัตรูอีกครั้งแล้ว

 นักรบเกราะเหล็กดึงหอกออกมา ปากอ้าคำรามลั่น “แกเจ้ามารร้าย! ฉันจะฆ่า”

แต่มันจะไปทันกู่ฉิงซานที่เตรียมพร้อม เฝ้ารอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้วได้อย่างไร?

ดาบของเขาวูบไหว

ฟุ่บ!

ดาบพิภพแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา กรีดตัดอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว ตัดฉับ! ลงบนต้นคอของนักรบเกราะเหล็ก

หัวมนุษย์กระเด็นลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า

ทั้งคนทั้งร่างของนักรบเกราะเหล็กแข็งค้าง ทั้งที่หอกในมือเขาพึ่งจะถูกยกขึ้นเท่านั้น

ร่างไร้หัวยังคงยืนนิ่งงันโดยสมบูรณ์ ราวกับว่ามันไม่เต็มใจที่จะพร้อมยอมรับชะตากรรมของตนเอง

“เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ? พอดีฉันฟังไม่ทัน” กู่ฉิงซานหยุดดาบและเอ่ยถาม

เคร้ง...

หัวที่สวมหมวกเหล็กร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า หล่นโครม! ลงบนพื้นน้ำแข็งจนปริร้าว เกิดการยุบตัวขนาดเล็กขึ้น

กู่ฉิงซานส่ายหัว “น่าเสียดายจัง ดูเหมือนว่าฉันจะถามช้าไปหน่อย”

ว่าแล้วเขาก็ยื่นนิ้วชี้ออกไป และแตะลงบนร่างเกราะเหล็กไร้หัวอย่างแผ่วเบา

ตึ้ง!

ร่างนั้นล้มฟาดลงกับพื้นทันที

และ ‘ตึ้ง’ ก็เปรียบดั่งเสียงสัญญาณ เพราะกู่ฉิงซานได้หายวับไปอีกครั้ง

เขาปรากฏตัวขึ้นข้างกายของฉานนู่

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่วาดเงาพึ่งจะจบลงพอดิบพอดี

บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารผู้ใช้งานเทคนิคมนตราป้องกัน ถูกคมดาบที่สามารถทำลายทุกกฎเกณฑ์ของฉานนู่สับสังหารตกตายลงโดยตรง

ทว่าผู้ที่สวมใส่เกราะที่ครอบครองอำนาจป้องกันอันทรงประสิทธิภาพก็ยังคงมีอยู่บ้าง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตกตายลง

กู่ฉิงซานชูดาบพิภพขึ้น

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

วาดเงาอีกระลอก!

ร่างเงาดาบสีดำระเบิดเบ่งบาน

หนุนเสริมด้วยดาบพิภพแปดสิบหกจุดสามสิบเจ็ดล้านจิน ที่ทั้งหนักทั้งรุนแรง สามารถทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง

บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารรอบตัวเขา ที่ครอบครองเกราะป้องกันทรงอำนาจ ต่างถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ ด้วยรังสีดาบนี้

ทว่าก็ยังหลงเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารที่สามารถรอดชีวิตมาได้อีกคนอยู่ดี ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาได้ตระหนักว่าความตายกำลังจะมาเยือนเป็นที่แน่นอนแล้ว

ปากจึงเร่งอ้าตะโกน “เชื้อไฟ! ฉันขอใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดแลกเปลี่ยนกับ...”

น่าเสียดายจริงๆ ที่คำว่า ‘อสุรกาย’ ยังไม่ทันได้ผุดออกมา ในสายตาของเขา รังสีดาบขาวนวลผ่องก็พลันเจิดจรัสขึ้นซะก่อน

คมเสี้ยวจันทร์ขนาดใหญ่กวาดทั้งคนทั้งร่างของเขา หายวับไปจากพื้นน้ำแข็งโดยตรง

ซึ่งคราวนี้ไม่หลงเหลือกระทั่งเศษเนื้อหนังหรือเลือดสักหยด

“นายน้อย ท่านมาได้ถูกจังหวะจริงๆ อีกนิดเดียวเขาก็เกือบที่จะทำสำเร็จแล้วเชียว”

ฉานนู่เก็บดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความยินดี

“ข้าตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นย่อมไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาทันใช้แต้มพลังวิญญาณแลกเปลี่ยน กับเชื้อไฟอย่างแน่นอน” 

กู่ฉิงซานกล่าว

เขาเก็บดาบพิภพกลับคืน และหันไปมองรอบๆ

ชั้นน้ำแข็งหนาบนพื้นผิวของทุ่งน้ำแข็งถูกทำลายลง เศษซากของผู้เข้าสู่วิถีมารร่วงตกไป ลอยล่องกระจัดกระจายบนผิวน้ำ

พวกเขาตายกันหมดแล้ว

กระบวนการต่อสู้ทั้งมวลนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงในปัจจุบัน นับเวลาโดยรวมแค่สามลมหายใจเท่านั้น! 

ในช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารส่วนใหญ่ ไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็ตายลงไปแล้ว

และแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกดูดกลืนมายังกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

ฉานนู่ยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง และมองลงไปยังน้ำเบื้องล่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นายน้อย ธารน้ำแข็งนี่มันลึกจนข้ามองไม่เห็นก้นเลย นี่มันช่างคล้ายคลึงกับสายธารในโลกปรภพเสียจริงๆ” เธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“งั้นหรือ แต่เรื่องนั้นค่อยเอาไว้คุยกันทีหลังนะ ตอนนี้ขอข้าจัดการบางอย่างก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

ขณะพูด เขาก็มองไปยังสองระบบ

บนหน้าต่างสถานะ หนึ่งน้ำเงินหนึ่งแดง ได้เด้งเตือนบรรทัดตัวอักษรขึ้นมา

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณสามพันหนึ่งร้อยหกสิบห้าแต้ม”

ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขึ้นมาอีกหลายช่อง

“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณถึงสามพันแต้มได้สำเร็จ ส่งผลให้การสั่งสมแต้มพลังรอบสองของคุณสมบูรณ์ในที่สุด”

“โปรดเลือกสกิลที่คุณต้องการจะเพิ่มความสามารถให้แก่มันด้วย”

“ฉันเลือกเพิ่มความสามารถให้กับค่ายกลดาบไท่หยี” 

“คุณแน่ใจหรือไม่?”

“แน่ใจ”

“ระบบได้ทำการล็อกสกิลนี้แล้ว และครั้งถัดไปที่คุณใช้มันโจมตี พลังอำนาจของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

ว่าจบ ตัวอักษรบนหน้าต่างสีน้ำเงินของระบบเทพสงครามก็ค่อยๆ หายไป

ตามด้วยหน้าต่างเชื้อไฟที่เปล่งเสียงออกมา

“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเวลานี้ คุณสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนไอเท็มต่างๆ จากระบบได้”

ขณะกล่าวบนหน้าต่างเชื้อไฟ ก็ปรากฏถึงแถบไอเท็มเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

ของรางวัลหน้าแรก คือทุกชนิดอันหลากหลายของดาบยาว

“ดาบพวกนี้ ดูท่าว่าจะไม่ได้มีไว้แค่โชว์เฉยๆ สินะ…”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ

เขาได้ใช้พลังงานไปอย่างมากในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นถึงรางวัลดาบ เขาก็พยายามยับยั้งชั่งใจตนเองที่จะไม่มองมัน

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ฉันต้องการสะสมแต้มพลังวิญญาณมากกว่านี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่แต้มพลังวิญญาณที่คุณมี มันสามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนกับดาบทรงพลังอันมีชื่อเสียงเกือบทุกชนิดในรายการรางวัลของฉันได้แล้วนะ ถ้าคุณไม่ใช่มัน แล้วจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับอะไร?” เชื้อไฟอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานเยาะหยัน

ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากฉันนักใช่ไหม?

ฮ่าๆ จัดให้

“พอดีว่าฉันอยากจะสะสมแต้มพลังเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งนี้...” เขาชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของหน้าต่างระบบเทพสงคราม

ฝั่งดังกล่าว คือรายการของบรรดาอสุรกายประเภทต่างๆ

ส่วนที่กู่ฉิงซานชี้ไป คืออสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุด “นี่ไง ฉันต้องการเจ้านี่”

เป็นคือมอนสเตอร์หัวหมาป่าที่สวมมงกุฎ

และกำลังหลับตา ลอยล่องอยู่บนหน้าต่างอย่างเงียบๆ

เบื้องล่างของมัน มีหนึ่งบรรทัดคำอธิบายติดเอาไว้

ราชามารวิญญาณมรณะ อสุรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล การแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้ม!

…………………………………..........