webnovel

0530 ชายหัวล้าน (2)

ตอนที่ 530 ชายหัวล้าน (2)

ท่ามกลางพายุหิมะ

ทั้งคนทั้งร่างของแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงนิ่งงัน สีหน้าของผู้คนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

“นรกเถอะ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!” คนหนึ่งตะโกนออกมา

ชายหัวล้าน เอ่ยปาก “ฉันได้ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณเพื่อถามเรื่องนี้กับเชื้อไฟไปแล้ว และมันบอกว่านี่คือคำสาปแช่งที่ร้ายแรงนัก!”

เชื้อไฟรู้อย่างงั้นเหรอว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร!

พอได้ยิน บางคนก็ค่อยสงบใจลงเล็กน้อย

“งั้นก็แล้วไป เพราะตราบใดที่เชื้อไฟสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับมันได้ นั่นหมายความว่าพวกเราสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแก้ปัญหานี้”

ชายหัวล้านพูดเสียงดัง แต่แล้วน้ำเสียงของเขาก็ค่อย ๆ เบาลง

พร้อมด้วยสีหน้าที่กลายเป็นขาวซีด

เนื่องเพราะในวิสัยทัศน์ เชื้อไฟได้ทิ้งไว้เพียงหนึ่งเส้นบรรทัดตัวอักษรแก่เขา

“จำเป็นต้องจ่ายหนึ่งแสนแต้มพลังวิญญาณเพื่อแก้คำสาปนี้”

หนึ่งแสนแต้มพลังวิญญาณ!

นี่มันเป็นจำนวนที่ไม่มีทางจะหามาได้!

ขนาดชายหัวล้านที่ฆ่าคนมามากที่สุด แต่แท้จริงแล้วเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณมาเพียงแค่หนึ่งร้อยสิบแต้มเท่านั้น!

และฉากเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน

“ไม่นะ! มันไม่มีหวังที่จะแก้คำสาปเลย! พวกเราจบสิ้นแล้ว!” ชายคนหนึ่งคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง

ส่วนซูเซี่ยเอ๋อ เธอกำลังถือคทา และเดินย่ำผ่านพื้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ

เธอมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย กวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงตรงชายหัวล้าน

ใบหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนกลับกลายอยู่หลายครั้งครา จนในที่สุดเขาก็ฝืนปั้นรอยยิ้มแข็งกระด้างขึ้นมา

“เอ่อ...ฉันขอโทษนะ คุณผู้หญิง จริง ๆ แล้วทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเรายอมรับผิดแล้ว”

พอคนอื่น ๆ เห็นเขาพูดแบบนั้น ทั้งหมดก็รีบพยักหน้าตามอย่างรวดเร็ว “ใช่ ใช่ พวกเราผิดไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”

“พวกเราไม่ควรรีบลงมือเลย หวังว่าเธอจะยกโทษให้พวกเรานะ”

“คุณผู้หญิงทรงพลังมากจริง ๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะ แล้วพวกเราจะคอยเป็นคนช่วยเก็บกวาดพวกที่ขวางทางเบื้องหน้าให้เอง”

ตอนแรกพวกเขาก็ขอความเห็นใจ แต่ตอนหลัง ๆ นี่ชักจะเริ่มประจบประแจงแล้ว

แต่ซูเซี่ยเอ๋อทำราวกับเป็นคนหูหนวก

เธอเบนสายตาออกจากชายหัวล้าน และกวาดไปหยุดอยู่ที่อีกคนหนึ่ง

“เมื่อกี้แกสินะที่บอกว่าต้องการจะเล่นสนุกกับฉัน?”

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามเบา ๆ

ชายคนนั้นสะดุ้งเฮือก ปากสั่นระริกอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกสักทีว่าตนสมควรที่จะตอบกลับไปอย่างไร

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทา และจั่วไพ่ออกมาจากมัน

นี่คือไพ่สีเทา ซึ่งสีเทาหมายถึงไพ่ระดับต่ำสุด

บนหน้าไพ่ มีเพียงกริชอันคมกริบอยู่เท่านั้น

ซูเซี่ยเอ๋อสะบัด ๆ ไพ่ แล้วกริชก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

แน่นอน ว่าชายคนนั้นย่อมรู้ดีว่ามันคืออะไร และสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น ปากอ้าตะโกน ร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่นะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรที่จะคุกคามเธอ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันยังมีอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องคอยเลี้ยงดู...”

ซูเซี่ยเอ๋อ “ที่พูดมามันควรค่าแก่การเห็นใจจริง ๆ น่ะเหรอ แล้วถ้าสลับกัน เป็นฉันที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ล่ะ แกจะ”

แต่ไม่ทันจะจบประโยค เธอก็ส่ายหัว

ตามด้วยกริชที่ถูกปักลงบนหน้าอกชายคนนั้น และค่อยๆแทรกคมแหลมของมัน เชือดฝ่าเนื้อหนังเข้าไปอย่างช้า ๆ

“อ๊า” ชายคนนั้นเริ่มกรีดร้อง

ซูเซี่ยเอ๋อกำด้ามกริชจนแน่น จากนั้นก็ค่อย ๆ ลากมันเฉือนลงมา

ทว่าแม้คมกริชจะตัดเนื้อได้ แต่มันก็ติดกับกระดูก มิอาจเฉือนลงไปได้อีก

ซูเซี่ยเอ๋อลองพยายามอย่างหนัก แต่ก็พบว่าตนเองมิได้แกร่งพอที่จะตัดกระดูกซี่โครงอกของอีกฝ่ายได้

เธอเลยถอนหายใจ และผละมือออก

และทาสรับใช้กายโลหิตก็ก้าวขึ้นมาแทนเธอ

“ตัดมันซะ ลากลงมาจนกว่าจะถึงเป้าของมัน”

ซูเซี่ยเอ๋อสั่ง

ทาสรับใช้กายโลหิตกำด้ามกริช และวูบ! กระชากลากคมแหลม ดิ่งยาวจากอก ตัดมันลงมาถึงตรงกลางหว่างขาอีกฝ่าย

“อ๊าก อ๊า!! นังปีศาจ แกมันนังมารร้าย! ”

ชายคนนั้นคร่ำครวญน่าสมเพช

ขณะเดียวกัน อีกหลายคนที่เฝ้ามองก็บังเกิดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา และเริ่มพากันร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“ทำต่อไป ยังเหลืออีกเจ็ดคน ช่วยทำให้มันเท่าเทียม เอาให้เหมือนกันเป๊ะ ๆ แบบคนแรกด้วย”

แล้วเธอก็ยื่นหัวคทาไปทางชายคนแรกที่พึ่งถูกตัดหว่างขาไป

ในขณะที่เขาคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอก็เริ่มทำการดูดซับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย

นี่นับว่าเป็นการทรมานที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด

ทาสรับใช้กายโลหิตกำกริชในมือ และเปิดผ่าแหวกท้องของทุก ๆ คนที่สังหารเขา

บนแผ่นน้ำแข็ง บังเกิดเสียงร้องระงมดังขึ้นและเงียบลงไปตามลำดับ

เมื่อทาสรับใช้กายโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจตน เขาก็เดินกลับมาหาซูเซี่ยเอ๋อ

เขาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะชูสองฝ่ามือที่มีกริชชุ่มเลือดวางอยู่ขึ้นเหนือหัว

กริชที่คาวไปด้วยเลือดแปรสภาพเป็นไพ่ทันที ก่อนมาบินขึ้นมาลอยอยู่ในระดับสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

“นี่คือมีดปอกผลไม้ของฉัน แต่น่าเสียดาย…ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะล้างอย่างไร มันก็คงจะไม่มีทางกลับมาสะอาดได้อีกแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อพูดในสิ่งที่คิดออกมา

ว่าจบ เธอก็ใช้นิ้วเคาะลงกับไพ่

ไพ่สีเทาบินไปตามพายุหิมะ และหายไปจากสายตาของเธออย่างรวดเร็ว

เธอเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบนั้นไป

“เอาล่ะ คุณผู้หญิง ในเมื่อได้ระบายความโกรธจนสาแก่ใจแล้ว ทีนี้คุณจะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” ชายหัวล้านรวบรวมความกล้า ฝืนพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็มองเขา แล้วยิ้มออกมาทันที

เธอกล่าวสรุป “พวกแกไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณเป็นของตัวเอง แต่กลับสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้นขึ้นมาได้ ในกรณีนี้ คิดว่าทางเดียวที่พวกแกจะได้แต้มพลังวิญญาณมาครอบครอง คงมีเพียงการฆ่าคนอื่น ๆ เท่านั้นล่ะสิใช่ไหม?”

ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังยักษ์ตาเดียวที่ผุดออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งและเอ่ยถามว่า “อัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้น น่ากลัวว่ามันคงจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยสินะ?”

หลายคนหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ก็หวาดเกรงที่จะตอบ

“ถ้าในบรรดาคนที่ถูกฆ่าไป มีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ พวกแกคง … ”

ซูเซี่ยเอ๋อพึมพำแต่ไม่ได้กล่าวต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเหล่านั้น ทั้งหมดก็น่าจะพอจินตนาการได้

เพราะแม้แต่ตนเองก็ยังต้องพยายามอย่างเต็มกำลังจึงจะสามารถโค่นพวกมันลง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวของซูเซี่ยเอ๋อก็ฟุ้งไปด้วยความโกรธ

“จำได้หรือเปล่า ว่าคนไหนที่ฆ่านาย?” ซูเซี่ยเอ๋อหันไปถามทาสรับใช้กายโลหิต

ทาสรับใช้เผยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องก่อนตาย กระผมจำมันไม่ได้เลย แต่ในตอนนี้ที่ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ร่างกายของผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

“งั้นก็กินพวกมันซะ กินเป็น ๆ ก่อนที่พวกมันจะเน่าตายไปเองซะก่อน”

“ขอรับ ขอบคุณสำหรับอาหารนะเจ้านาย”

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูเซี่ยเอ๋อก็จ้องมองบนหน้าต่างระบบด้วยความกังวล

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณบางส่วนมาเสริม ส่งผลให้ระบบยังคงสามารถดำเนินการต้านทานการบุกรุกของเชื้อไฟได้ต่อไป”

“เวลาคงเหลือยี่สิบสองนาที”

ซูเซี่ยเอ๋อมองสองบรรทัดเหล่านี้

เธอยังคงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกยี่สิบสองนาที

หนึ่งมือยกขึ้นปาดน้ำใส ๆ จากสองตา ปากเอ่ยกล่าวกับทาสโลหิต “พวกเรารีบไปกันเถอะ”

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นจากในความมืดมิด

มันเย็น

เย็นยะเยือก

นี่มันหนาวเกินกว่าปกติทั่วไป มากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถต้านทานได้

แถมยังไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย

แต่ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นในหูของเขาอย่างกะทันหัน

“ยินดีต้อนรับสู่โลกสมบัติของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้”

“คุณจะต้องช่วยจัดการแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่เธอ แล้วทริสเต้ก็จะมอบรางวัลให้ตามระดับผลงานของคุณ”

“เมื่อคุณสามารถแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้นแล้ว โลกก็จะส่งคุณไปจัดการอีกปัญหาหนึ่งในสถานที่ต่อไป”

“ยิ่งคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น”

“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มปัญหาแรกกันเถอะ”

“สงครามครั้งแรก : การต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม”

“คุณจะต้องร่วมมือกับทุกคน เพื่อเอาชนะศัตรู และยืนหยัดอยู่ในวงล้อมนี้ให้จงได้”

“นี่คือช่วงเวลาแห่งการทดสอบความสามารถของคุณ ถ้าคุณสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ นี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณมีคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ เหมาะสมแก่การช่วยแก้ปัญหาให้แก่โลกสมบัติของทริสเต้”

“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป

ท่ามกลางความเงียบอันมืดมิด มือน้อย ๆ ยื่นออกมาจับมือของกู่ฉิงซานเอาไว้แน่น

“มีอะไรงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เรากลัวน่ะ” ลอร่าพูดสั้น ๆ

ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน

นอกเหนือไปจากเสียงหวีดหวิวของสายลมและหิมะ ภายนอกก็สะท้อนไปด้วยเสียงที่ฟังแลคล้ายกับเสียงโหยหวนของภูติผี

“ฝ่าบาทได้ยินเสียงประกาศเมื่อครู่หรือไม่?”

“ได้ยินนะ แต่เราได้ทำการตัดขาดตนเอง และไม่คิดลงมือใด ๆ ดังนั้นทริสเต้จึงไม่สามารถค้นพบเราได้ แต่โลกใบนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจจริง ๆ”

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นกระหม่อมจะนำหน้า ส่วนฝ่าบาทก็คอยอยู่เบื้องหลังแล้วกัน”

“เราขอนั่งลงบนไหล่เจ้าจะได้ไหม?”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะทุกครั้งคราว ในยามที่เราหวาดกลัว นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อของเรามักจะ...”

แล้วเสียงของลอร่าก็หายไป

ห้วงอารมณ์ของเธอเหมือนจะดิ่งลง

เพราะท่านพ่อของเธอ ได้ล่วงลับไปแล้ว

ไม่เพียงแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ กระทั่งน้องชาย ตลอดทั้งราชวงศ์ทั้งหมดก็ได้ล่วงลับไปจนสิ้น

ตอนนี้ ในโลกนับเก้าร้อยล้านชั้น หลงเหลือเธออยู่เพียงลำพังผู้เดียว

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เพราะเขาพึ่งค้นพบเมื่อครู่นี้เอง ว่าการนับจำนวนปีของวิหคหนามกับเผ่ามนุษย์น่ะมันแตกต่างกัน

หนึ่งปีของดินแดนอัศจรรย์จะสั้นกว่ามาก

ดังนั้นเจ้าหญิงลอร่าที่อายุสิบสองปี หากคำนวณตามปีของเผ่ามนุษย์ เธอจะมีอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเท่านั้นเอง

กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกตัวเธอขึ้นวางลงบนไหล่ขวา

“ไม่เอา เราชอบนั่งบนไหล่ซ้าย” ลอร่ากล่าว

แล้วกู่ฉิงซานก็วางเธอลงบนไหล่ซ้ายอีกที

พอได้นั่ง ลอร่าก็คล้ายจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ขอบตาของเธอเริ่มที่จะแดงเรื่อ

พอกู่ฉิงซานเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เอ่ยขัด “นี่กระหม่อมจะเล่าอะไรให้ฟังก็แล้วกัน อันที่จริงแล้วกระหม่อมน่ะเป็นเด็กกำพร้า”

“หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นเหรอ?” ลอร่าเริ่มถูกเบี่ยงเบนความสนใจ

“ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว… จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าถูกดึงดูดโดยหัวข้อนี้

“อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้อย่างไรล่ะ”

“นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน...”

“ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่น ๆ กำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้”

“...แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?”

“แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท”

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็ผลักประตูแล้วเดินออกไป

เสียงหวิวของสายลม หวีดเข้าเต็มบ้องหู

มันคือพายุหิมะ

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในใจกลางเมือง

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเริ่มสำรวจรอบ ๆ

ปรากฏว่ามันเป็นเมืองร้างที่ทรุดโทรมมานานแล้ว และเต็มไปด้วยซากศพ

นอกตัวเมืองไป เป็นทุ่งน้ำแข็งอันไร้ที่สิ้นสุด

เสียงเมื่อครู่บอกว่า เขาจะต้องร่วมมือกันกับทุกคน

แต่มันกลับดันไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย

ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายเกินไป ขณะที่คนอื่น ๆ ได้มุ่งหน้าต่อไปกันหมดแล้ว ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถแม้กระทั่งจะหาเพื่อนร่วมทีม

“แค่เริ่มต้นก็ลางไม่ดีแล้ว”

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำเสียงต่ำ

ขณะที่ลอร่านั่งอยู่อย่างสบาย ๆ บนไหล่ของเขา และกล่าว “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ หรือว่าเป็นเพราะมีฝ่าบาทอยู่ที่นี่...”

ตูม!

ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือน อีกทึกคึกโครม

ร่างศพค่อย ๆ ถูกช้อนขึ้น ขณะที่เมืองอันรกร้างเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

ในขณะเดียวกัน มอนสเตอร์บางชนิดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

พวกมันหันขวับ ใช้สายตาที่มีเพียงหลุมดำกลวง ๆ ว่างเปล่ามองมายังกู่ฉิงซานกับลอร่า

ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะตายลง

ทว่าพวกมันทุกตน ได้สูญเสียดวงตาไป

ร่างศพเหล่านั้นกลับมาขยับไหวอีกครั้ง

ลอร่า “อันที่จริงแล้ว เราจะบอกว่าสถานการณ์มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิดต่างหาก”

สิ้นเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็พรวดตรงมายังทั้งสองทันที

“แต่พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับที่นี่แล้ว”

กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่ามาไว้ในมือ

การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

…………………………………..........