webnovel

0529 ชายหัวล้าน

ตอนที่ 529 ชายหัวล้าน

ท่ามกลางพายุหิมะ คนกลุ่มนั้นเว้นระยะห่างจากซูเซี่ยเอ๋อและทะเลสาบเลือด

อย่างไรก็ตาม แม้จะล่าถอย แต่พวกเขาก็มิได้คิดหลบหนีใดๆ

เห็นแค่เพียงเจ็ดถึงแปดผู้จมลงสู่วิถีมาร ทั้งหมดกำลังวางมือลงบนศีรษะของชายหัวล้าน

พวกเขากำลังถ่ายโอนพลังวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองเก็บรวบรวมมาได้มอบให้อีกฝ่าย

ชายหัวล้านยิ้มเยาะหยัน ขณะมองไปยังทะเลสาบเลือด

เวลานี้ เขาไม่หวาดเกรงยักษ์แดงเลือดที่อยู่ตรงกันข้ามอีกต่อไป

เพราะเมื่อแต้มพลังวิญญาณของทั้งแปดคนถูกควบรวมเข้าด้วยกัน เขาก็สามารถทำการร้องขอเชื้อไฟได้ในที่สุด

“สาวน้อยเอ๋ย มันน่าเสียดายจริงๆ นะ ที่คนทั้งสวยและทรงเสน่ห์แบบเธอ จะต้องมาถูกทำร้ายจนต้องตกตายลง”

ชายหัวล้านกล่าวกับซูเซี่ยเอ๋อ

สีหน้าของเขาแลดูมึนเมา คล้ายกับกำลังจินตนาการถึงบางอย่าง

“แอสทารอส ไม่ต้องเสียเวลารั้งรออีกแล้ว ฆ่าพวกมันซะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความรังเกียจ

ยักษ์แดงเลือดโน้มกายลง เกร็งมัดกล้ามช่วงล่าง และบรึ้ม! ถีบตัวพุ่งถลาออกไป

ทุกย่ำก้าวของมันจะทิ้งรอยเท้าจมลึกไว้บนผืนน้ำแข็ง

สีหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาเอื้อมแขนข้างหนึ่งชูขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากเปล่งวาจาอย่างรวดเร็ว “เชื้อไฟ! ฉันขอเสนอแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดให้แก่คุณ เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากอสุรกาย!”

วินาทีต่อมา คล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า

ชายหัวล้านจ้องมองสิ่งนั้นและร่ายคาถาตาม “คีธคล็อป! จิตวิญญาณที่ร่วงหล่นเอ๋ย จงปืนป่ายขึ้นมาจากหุบเหวลึก จงสำแดงพลังของเจ้าแด่ระบบราชามาร!”

ปัง!

บังเกิดมือยักษ์สีเทาพุ่งทะลวงขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็ง

ตามต่อด้วยศีรษะที่ใหญ่โตกว่ายี่สิบห้าเมตร

หัวที่ว่าหมุนหันไปมาๆ สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งหัวมีเพียงตาดวงเดียวกับปากใหญ่

“แด่ระบบราชามาร”

ศีรษะยักษ์คำรณเสียงต่ำ

แล้วผืนทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พลันปริร้าว แยกแตกออกจากพื้นของมัน

จากนั้นร่างกายอันใหญ่โตก็ผุดขึ้นมา

ผิวตามร่างกายของมันหมองคล้ำ กลิ่นสาบที่โชยออกมามิแตกต่างจากกลิ่นศพ

ยักษ์ตาเดียวผุดลุก ก่อนจะโค้งตัวลง แล้วยื่นมือกลับลงไปใต้ดิน และหยิบตะบองหนามขนาดใหญ่ขึ้นมา

มันกวัดแกว่งตะบองหนาม วางพาดลงบนบ่า เฝ้ารอคอยคำสั่งอย่างเงียบๆ

นี่คืออสุรกายดัดแปลง ที่ค่อนข้างจะเหมือนกันกับที่กู่ฉิงซานพบเจอในถ้ำมืด

แต่ยักษ์ที่กู่ฉิงซานพบเจอ มันมีร่างเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ขณะที่ร่างของอสุรกายตนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แถมยังถืออาวุธอยู่ในมือ

“ฆ่าเจ้ายักษ์เลือดนั่นซะ!”

ชายหัวล้านคำรามคลั่ง

“น้อมรับบัญชา”

อสุรกายขานรับคำหนึ่ง

หลายคนจ้องมองไปยังอสุรกาย บนใบหน้าของพวกเขาค่อยๆ แสดงออกถึงความคลั่งไคล้

เจ้าสิ่งนี้มันช่างเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

กระทั่งมารที่แลดูน่าขวัญผวา ก็ยังเชื่อฟังในคำสั่งของพวกตน

อา...ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับได้พิชิตโลกทั้งใบเลย

พวกเขารู้สึกว่า หากตนทะยานขึ้นเป็นคนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ในอนาคต และสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์มาช่วยต่อสู้ในเวลาใดๆ ก็ได้แล้วล่ะก็…ตำแหน่งตัวตนสุดแกร่งของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น หนึ่งในนั้นจะต้องมีที่ว่างให้พวกเขานั่งอย่างแน่นอน

อสุรกายยักษ์พอได้รับคำสั่ง มันก็กระโจนลงไปในทะเลสาบเลือดโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ

แอสทารอสก็ไม่รอช้า ขยับกายเคลื่อนไหว เร่งความเร็วพุ่งเข้าชาร์จใส่ยักษ์ใหญ่ทันที

ไม่นาน ทั้งสองก็ปะทะกัน

ทั้งสอง เริ่มรัวโจมตี ทั้งฟาด ทั้งทุบ ฉีกทึ้งอีกฝ่าย ก่อให้เกิดเสียงหวีดหอนกังวานไปทั่ว

กล่าวได้ว่าในทุกๆ หนึ่งจังหวะโจมตี เสียงหวีดหอนเหล่านี้จะสะท้อนสะท้าน จนชั้นอากาศสั่นสะท้านสะเทือน

นี่มันดูมิแตกต่างไปจากสงครามของยักษ์ใหญ่ในตำนานโบราณเลย

และดูจากผลการต่อสู้ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมิอาจบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลัง มีเปรียบหรือเสียเปรียบในระยะเวลาอันสั้น

“พวกเราก็ลงมือกันบ้างเถอะ ไปจับตัวนังลูกเจี๊ยบคนนั้นกัน เพราะการที่เธอสามารถเรียกมอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่าในร่างกายของเธอ คงจะมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน!” ชายหัวล้านตะโกนเตือนสติคนอื่นๆ

ทันใดนั้นอีกหลายคนก็ได้สติกลับคืนทันใด

นั่นสินะ เพราะมีเพียงแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น ที่จะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟได้!

ทั้งหมดจับจ้องมายังซูเซี่ยเอ๋อด้วยความตะกละตะกลาม

ชายคนหนึ่งอดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกขึ้นมาไม่ได้ ปากอ้าตะโกน “แต้มพลังวิญญาณฉันยกให้แกหมดเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นของฉัน!”

“ไม่ขัดข้อง”

เพียงไม่กี่พริบตา ทั้งหมดก็มาเริ่มมุ่งหน้ามายังซูเซี่ยเอ๋อ และเริ่มแยกย้ายกระจายตัว เตรียมที่จะปิดล้อมอีกครั้ง

ได้ยินที่พวกมันกล่าว ซูเซี่ยเอ๋อโกรธมากจริงๆ

เธอกัดฟัน สองมือง้างคทาและทิ่มปลายมันลงกระแทกกับพื้นเบื้องล่างอย่างแรง

หัวคทาสาดแสงสีแดงเข้ม และระเบิดเปลวไฟสิบสามลูกออกมา

เปลวไฟเหล่านั้นลอยล่อง ก่อนจะค่อยๆ มอดดับลง จางหายไปท่ามกลางพายุหิมะ

เห็นแค่เพียงไพ่ทั้งหมดสิบสามใบปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองดูไพ่ด้วยความลังเลเล็กน้อย

เนื่องเพราะหากใช้มันก็จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าระยะเวลาที่ระบบช่วยปกป้องเธอก็จะลดน้อย ถดถอยลงเช่นกัน

ตอนนี้เธอมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้น

หากตนต้องกระตุ้นไพ่ทั้งใบนี้ ซูเซี่ยเอ๋อเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถยื้อเวลาต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

กลุ่มคนที่เข้าสู่วิถีมารบินใกล้เข้ามา

พวกเขาเริ่มเข้าใกล้ซูเซี่ยเอ๋อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

“ฮ่าๆๆ! นังลูกเจี๊ยบนี่ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย พวกแกอย่ามาแย่งเธอไปจากฉันก็แล้วกัน!”

บางคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น

“แบบนั้นไม่เอาหรอก ต้องให้พวกเราสนุกกับเธอกันก่อนสิ แล้วแกถึงค่อยเอาตัวเธอไปได้”

อีกเสียงที่แยกตัวออกไปตะโกนขึ้น

ประโยคสนทนาของทั้งสอง ส่งผลให้ซูเซี่ยเอ๋อเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

เธอตัดสินใจเด็ดขาด สะบั้นความลังเลเมื่อครู่ทิ้งไปทันที

ถึงแม้ว่าต้องจ่ายออกด้วยราคามากเพียงใดก็ตาม แต่เธอจะไม่ยอมตกอยู่ในกำมือของคนเหล่านี้!

“ทะเลเลือดเอ๋ย! คงได้ยินได้ฟังถึงเสียงเหล่านี้ผ่านทางทะเลสาบเลือดแล้วใช่หรือไม่?”

ซูเซี่ยเอ๋อชูหัวคทาขึ้น ปากอ้าร่ายคาถา “ทะเลเลือดเอ๋ย! เช่นนั้นแล้วก็ขอจงโปรดให้เกียรติลงมายังโลกใบนี้ด้วยเถิด”

ฮู้ม!

บังเกิดคลื่นแต้มพลังวิญญาณอันผันผวนแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง

“ฮี่ๆ!…ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรน่าสนุกรออยู่ด้วยแฮะ”

จู่ๆ เสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงดังขึ้น โดยไม่รู้ว่ามาจากตำแหน่งใด

ขณะเดียวกัน ไพ่ทั้งสิบสามใบก็พลิกตลบโดยพร้อมเพรียง ประกบต่อเรียงกันเป็นภาพเสมือนของหญิงอันงดงามขึ้น

เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร คนแล้วคนเล่าต่างทยอยหยุดฝีเท้าลง

“อ่า…”

“นี่มัน…”

“งดงาม...ช่างงดงามเหลือเกิน…”

“ความงามนี้ ไม่อาจบอกบรรยายออกมาได้เลย”

พวกเขาต่างบ่นงึมงำกับตนเอง

แต่นั่นก็เป็นเพราะหญิงสาวในรูปเบื้องหน้าน่ะ สวยมากจริงๆ

ถึงแม้ว่าเธอจะกำลังหลับตาอยู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่วายถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์เหลืออนันต์ที่เล็ดลอดออกมา

ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารรู้สึกเพียงแค่ว่าพวกเขาไม่สามารถละสายตาได้ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ สูญสิ้นวิสัยทัศน์ในการมองเห็นไป

“สาวน้อย เหมือนว่าสถานการณ์ของเจ้าจะไม่สู้ดีนักนะ”

หญิงงามในรูปเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาทั้งๆ ที่ยังคงหลับตาอยู่

ทว่าช่างน่าฉงนนัก เพราะยามเมื่อเธอเอ่ยปากพูด มันราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ โดยรอบให้ความสนใจกับเธอเลย

ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต่อปากต่อคำกับเธอ

ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงยืนโง่งมอยู่ในตำแหน่งเดิม สายตาจับจ้องมองเธอ แต่มิเอ่ยวาจาร้ายกาจใดๆ เหมือนที่ทำกับซูเซี่ยเอ๋อในก่อนหน้านี้

ตลอดทั่วทั้งบริเวณ หลงเหลือเพียงเสียงสะท้านสะเทือนโลกหล้าจากฝีมือของสองยักษ์ใหญ่ ที่กำลังนัวกันอยู่เท่านั้น

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอบคุณที่ยอมมาปรากฏตัวนะ เอาไว้ข้าจะเตรียมของบูชาไปมอบให้ในภายหลัง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างนอบน้อม

“ของบูชางั้นเหรอ…คราวนี้ไม่จำเป็นหรอก ตราบใดที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ และบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ให้ข้าฟัง แค่นั้นข้าก็พอใจมากแล้ว”

ขณะกล่าว หญิงงามก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ

บังเกิดสายลมหนาวพัดโชย

พร้อมด้วยกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกไป

เส้นผมสลวยของเธอปลิวไสวไปตามสายลม ชุดกระโปรงยาวบางเบาที่สวมใส่เองก็เช่นกัน มันพริ้วไปในทิศทางเดียวกันกับสายลม เผยให้เห็นถึงสัดส่วนเย้ายวน และผิวสีขาวราวหิมะที่มิอาจปกปิดได้ออกมา

แต่เจ้าตัวก็ยังหลับตาอยู่

ราวกับว่ามันไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่ควรค่าเกินกว่าจะให้ตนลืมตาดู

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ความงดงามเบื้องหน้านี้ ได้แผ่กลิ่นอายของเสน่ห์อันแปลกประหลาดออกมา

“เจ้าต้องการรับฟังเรื่องราวของข้าอย่างงั้นเหรอ? ” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างไม่คาดคิด

“ใช่สิ ก็เรื่องแบบนี้น่ะมันหายากจะตาย” ใบหน้าของหญิงงามเผยถึงร่องรอยความสงสาร “เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นโชคชะตาร้ายแรงของผู้อื่น แต่เจ้าก็ยังเลือกเผชิญหน้ากับมัน แบกรับมันเพื่อเขา”

“ข้าอยู่ในสระเลือดมาเป็นเวลานับล้านปี พบพานกับประสบการณ์แปลกประหลาดมามากมาย แต่ตลอดทั้งวันปีที่ผ่านพ้นมาเหล่านี้ กลับไม่เคยพบเจอกับหญิงสาวเช่นเจ้ามาก่อนเลย”

“จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าคนที่มีคุณสมบัติเช่นเจ้า ไม่สมควรที่จะแบกรับโชคชะตาของผู้อื่น ให้มันมากจนเกินไปนัก”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปให้ได้นะ”

กล่าวจบ หญิงงามที่ยังคงหลับตาก็หายไปจากภาพ

แล้วไพ่ทั้งสิบสามใบก็กระจายตัวออก แล้วลอยกลับเข้าไปในคทา

ซูเซี่ยเอ๋อแม้จะกำลังตกใจ แต่ก็ตอบสนองทันที

เธอมองไปยังหน้าต่างระบบ

เวลาที่เหลือ : สี่นาที สามสิบหกวินาที!

ไม่นะ! แต้มพลังวิญญาณมันจะหมดลงเร็วเกินไปแล้ว!

เธอหันไปมองแปดผู้เข้าสู่วิถีมารอีกครั้ง

เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ในสายตาของทั้งหมดกลับคืนมา

“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าจะหมดสติไป”

“เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้กันล่ะ!”

“ว่าไงนะ? เอ๋? ฉันเองก็ขยับเท้าไม่ได้เหมือนกัน”

“ส่วนฉันขยับนิ้วตัวเองยังไม่ได้เลย!”

ทั้งแปด คนแล้วคนเล่าเริ่มโวยวายออกมา

เพราะพวกเขาพึ่งได้เผชิญกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด นั่นคือค้นพบว่าได้สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไป!

…………………………………..........