webnovel

0478 สุสานแห่งโลก

ตอนที่ 478 สุสานแห่งโลก

ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน

ขณะที่กำลังโบยบินไปอย่างต่อเนื่อง กู่ฉิงซานก็คอยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย

มีฉากแปลกๆ มากมายที่ทำให้ละลานตา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เขาดันไปโผล่เข้าตรงหน้าของสัตว์ร้ายที่กะโหลกของมันลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง

สัตว์ร้ายตนนั้นส่งกลิ่นอายไม่ดีอย่างรุนแรงออกมาชนิดที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเคยเผชิญมาก่อน มันหันขวับ! มามองเขา

มันจ้องค้างมายังกู่ฉิงซาน จนร่างของทั้งสองฝ่ายเกือบจะชนกันอยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุด มันก็จำต้องปลีกตัวออก หลีกทางให้เขาอย่างไม่เต็มใจ

ซึ่งกู่ฉิงซานมั่นใจเลยว่าเดิมทีมันคงตั้งใจที่จะจู่โจมเขาตั้งแต่ครั้งแรกพบสบตากันแล้วแน่ๆ

แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่า มารที่แท้จริงอย่าง ‘เสี่ยวถาย’ ใช้กลวิชาอันใด ถึงทำให้มอนสเตอร์อันน่าสะพรึง ในกระแสมิติยอมถอยออกไปแต่โดยดี

การเดินทางอันยาวนาน ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงไปด้วย ตัวอักษรขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“คุณเริ่มออกห่างจาก ‘สุสานของโลก’ ”

“คุณเริ่มออกห่างจากโลกกระจัดกระจาย”

“คุณอยู่ในชั้นที่หกล้านสามแสนสี่หมื่นสามพันสองร้อยสามสิบสี่ของโลกลำดับชั้น”

“การไหลของกระแสเวลาของคุณได้ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับมิติแล้ว”

“นับจากนี้ไป ทุกเวลาที่คุณเสียไป จะเหมือนกันในทุกๆพื้นที่มิติ”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าฉันใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงที่นี่ มันก็จะเท่ากับผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในโลกจริงใช่ไหม?”

“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”

“ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสุสานแห่งโลก?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

“มันคือสิ่งที่คุณมักจะเอ่ยปากออกมาว่าโลกจริง”

“แล้วทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแบบนั้น?”

แต่คราวนี้ระบบกลับเงียบ และไม่พูดตอบกับเขา

แม้กู่ฉิงซานจะเอ่ยถามไปอีกสองสามประโยค แต่ก็มิได้รับการตอบสนองใดๆ

เขาเลยจำใจต้องยอมแพ้

ขณะที่ยังคงมุ่งบินต่อไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก

เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ

บางครั้งจักรวาลอันมืดมิดก็ห้อมล้อมรอบตัวเขา

แต่หลังจากที่บินไปสักพัก กู่ฉิงซานก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง

แล้วฉากจักรวาลอันมืดมิดนี้ก็หายไป กู่ฉิงซานได้บินเข้าสู่พื้นที่มิติใหม่

กระแสมิติอันเชี่ยวกราดปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ไม่สิ จะบอกว่ามันเป็นกระแสมิติอันเชี่ยวกราดเลยก็ไม่ถูกสักทีเดียว สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันกับจักรวาลอันมืดมิดอีกแห่งหนึ่งจึงจะเหมาะสมกว่า

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างชุลมุนชวนให้สับสน มันไร้ซึ่งระเบียบและมิอาจคาดเดาได้

พอโดนบ่อยครั้งเข้า มันก็เลยทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ในทุกๆ ครั้งที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่มิติชั้นโลกใหม่

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่รอบกายของกู่ฉิงซานมีเพียงความว่างเปล่า

แต่ในที่สุด พื้นที่มิติตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะไม่ว่างเปล่าดั่งที่ผ่านมาๆ ทว่าคราวนี้ ตัวเขากลับไม่สามารถทะลุผ่านมันไปได้เหมือนกับที่แล้วๆมา

กู่ฉิงซานลอยคว้าง ถูกกักขังอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าอันมืดมิด

ขณะที่ม้วนคัมภีร์เหนือศีรษะของเขาค่อยๆหายไป

แล้วอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็เด้งออกมา ค่อยๆกางออกในอากาศ

มันคือเข็มทิศที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์นี้

เข็มทิศหมุนวนไปมาอย่างรุนแรง และในที่สุดมันก็ชี้เฉียงขึ้นไปยังทิศทางเบื้องบน

การระบุเส้นทางพิกัด ได้ถูกกำหนดแล้ว

หลังจากนั้นอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็คลี่ออก

พร้อมกับปีกสีชมพูงดงามคู่หนึ่งที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์ปรากฏสู่สายตา

ม้วนคัมภีร์ได้หายไป

ขณะเดียวกัน ปีกสีชมพูที่สาดรังสีแสงเรืองรองก็ประกบติดกับแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน

“พวกเรากำลังจะไปกันแล้วนะ” ปีกเปล่งเสียงบางเบาราวกระซิบ

สิ้นเสียง คู่ปีกสีชมพูก็กางออก และเริ่มพัดกระพือ

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันเริ่มพัด ชั้นรังสีแสงสีชมพูก็ตัดผ่านมิติที่ว่างเปล่า ส่งผลให้ไม่ว่าใครก็ตาม ที่สวมใส่คู่ปีกนี้ จะดูทรงเส่นห์ขึ้นอย่างไม่อาจพรรณนาได้

แต่นั่นมันเหมาะสำหรับผู้ใช้คนก่อน

กู่ฉิงซานจ้องมองดูปีกด้านหลังตน ในหัวใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก

“นี่เจ้าพอจะช่วยเปลี่ยนสีของมันหน่อยจะได้ไหม?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

“เปลี่ยนสีอย่างนั้นหรือ?” ปีกหยุดกระพือชั่วคราว เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ก็ใช่น่ะสิ เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือว่าสีอะไรก็ได้”

แต่ปีกกลับตอบปฏิเสธ “ไม่! สีของข้าเป็นคอลเลคชั่นรุ่นลิมิเต็ดเชียวนะ มันมีเพียงคู่เดียวจากในบรรดาทั้ง สามร้อยล้านโลก หลังจากที่สวมใส่มัน จะสามารถเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อเพศตรงข้ามได้ -นี่มันของหายากสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”

กู่ฉิงซาน “ … ”

แล้วปีกคู่ก็เริ่มขยับอีกครั้ง นำพากู่ฉิงซานไปตามทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป

ปีกคู่นี้ดูเหมือนจะมิใช่ของทั่วๆ ไปอย่างที่มันกล่าวจริงๆ มันค่อนข้างให้ความรู้สึกถึง พลังอำนาจอันมากล้นเป็นพิเศษ

เห็นได้ชัดว่าตัวกู่ฉิงซานมิได้บินรวดเร็วอะไรมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ปีกกระพือแม้เพียงครั้ง กู่ฉิงซานจะรู้สึกว่าเขาได้ก้าวข้ามผ่านโลกลำดับชั้นไปนับไม่ถ้วน

มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

มันคือค่ายกลระบุตำแหน่งมิติ

ตรงหน้าปัดส่วนบนของดิสก์ค่ายกล ปรากฏเส้นเครื่องหมายจากแปดทิศทางได้ถูกวาดเขียนทิ้งเอาไว้แล้ว

เมื่อนานมาแล้วผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เคยได้ทำการบันทึกพิกัดของต่างโลกในมิติ ที่ว่างเปล่าด้วยดิสก์ค่ายกลนี้เช่นกัน

ตามตำนานตั้งแต่ในครั้งสมัยก่อน กล่าวเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งโลกล่องเวหาเคยได้ค้นพบกับดิสก์ค่ายกล และหนังสือจากภายในท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า

หนังสือเล่มที่ว่า ได้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการใช้งานค่ายกล และอธิบายถึงเครื่องหมายสิบทิศทางบนดิสก์ค่ายกล ซึ่งเชื่อมโยงกับโลกทั้งสิบด้าน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธของโลกล่องเวหาจะทุ่มเทพยายามเท่าใด พวกเขาก็สามารถค้นหาพิกัดของโลก ได้เพียงแปดด้านเท่านั้น

ขณะที่อีกสองพิกัด พวกเขามิอาจค้นหามันได้เลย

แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นเวลายาวนานแล้ว แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งมิติก็ยังทำเครื่องหมาย ได้เพียงแค่แปดทิศทางเท่านั้น

สำหรับอีกสองทิศทางที่เหลือ ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาได้ยอมแพ้ไปแล้ว

มีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลชั้นยอดไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงคิดจะค้นคว้าถึงสองตำแหน่งนี้อยู่ แต่แน่นอน ว่าพวกเขาก็ไม่หลงเหลือโอกาสนั้นอีกต่อไป

กู่ฉิงซานมองดูดิสก์ค่ายกลตำแหน่งมิติ เริ่มรวบรวมลมหายใจของเขา เตรียมพร้อมจะลงมือ

ขณะที่ปีกสีชมเริ่มจะสยายออก และค่อยๆกระพืออย่างช้าๆอีกครั้ง

พริบตานั้นเอง มือของกู่ฉิงซานพลันวูบไหวดั่งสายฟ้า เขาตบลงบนดิสก์ค่ายกลครั้งแล้วครั้งเล่า

แสงสวรรค์ระเบิดออกมาจากตัวดิสก์ค่ายกล

ในเสี้ยววินาที พิกัดก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้โดยสมบูรณ์

ปีกชมพูพัดกระพืออีกครั้ง

แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการบันทึกพิกัดใหม่อีกที ขณะที่เขามุ่งต่อไปข้างหน้า

เขาก้มลงมองไปยังดิสก์ค่ายกล

ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงแค่แปดเส้น ทว่าบัดนี้มันมีทั้งหมดสิบเส้นแล้ว

“โลกทั้งสิบด้าน … ” กู่ฉิงซานงึมงำเสียงต่ำ

โลกทั้งสิบทิศ!!

มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง

มันคือสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน

เขาไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะมีสิ่งใด และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปกันแน่

ปีกสีชมพูเริ่มพัดอีกครั้ง

แล้วกู่ฉิงซานก็ทำการบันทึกพิกัดผ่านดิสก์ค่ายกลอีกครา

หลังจากที่บินมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็รวบรวมพิกัดเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อทำการเปรียบเทียบ

เขาค้นพบว่าความแตกต่างระหว่างพิกัดเหล่านี้มันไกลเกินกว่าระยะห่างระหว่างโลกเทวะกับโลกล่องเวหา

ตามทิศทางแนวตั้งของปีกชมพู มันกำลังพาเขาข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ” สายตาของกู่ฉิงซานจ้องมองอยู่แต่กับดิสก์ค่ายกล ปากเอ่ยพึมพำ “เพียงปีกคู่เดียว แต่กลับสามารถทะลุผ่านมิติมากมายไร้ที่สิ้นสุดได้ แท้จริงแล้วการจะทำเช่นนี้ได้จักต้องบรรลุความแข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน … ”

เขาแหงนคอไปเบื้องหลังเล็กน้อย เพื่อมองดูคู่ปีกสีชมพู

ปีกสีชมพูหวานแหววช่างดูน่ารักน่าชังเสียจริง

ทว่าเมื่อมันถูกประดับไว้บนแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน มันก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

บรรยากาศรอบกายเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป

แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ

เพราะจุดสำคัญก็คือความถี่ในการกระเพื่อมไหวของปีกสีชมพูเริ่มที่จะสม่ำเสมอและเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น

กู่ฉิงซานข้ามผ่านพื้นที่มิติและเวลาไปอย่างไม่รู้จบ ทะยานบินขึ้นไปตามทิศทางเข็มในแนวตั้ง

แสงสีชมพูสาดออกมาห่อหุ้มทั้งตัวเขา และเริ่มที่จะสยายปีกบินเต็มกำลัง

จ๋อม!

ชั่วเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ถูกโยนจมลงไปในน้ำ

ขณะที่ปีกสีชมพูหยุดเคลื่อนไหว และไม่ได้กระพืออีกต่อไป

กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ หันไปมองรอบๆอย่างใจเย็น

เห็นแค่เพียงน้ำสีฟ้าอ่อนในสายตา

น้ำบริสุทธิ์และเย็นสดชื่น

แม้ว่าในขณะนี้กู่ฉิงซานจะไม่สามารถหายใจได้ก็ตามที แต่นี่มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด สำหรับขอบเขตประทับเทพอย่างเขา

คำถามก็คือสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ต่างหาก

กู่ฉิงซานเพียงแค่ขบคิด ทว่ากลับเห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ใบใหม่ที่คลี่ออก

เพล้ง!

ทันทีที่ม้วนคัมภีร์สำแดงผล บางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

และก่อนที่สิ่งนั้นจะลอยจากไปอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานก็ได้เอื้อมมือไปคว้าจับมันไว้ก่อน

มันคือห่วงชูชีพ

กู่ฉิงซานที่กำลังถือห่วงชูชีพขมวดคิ้วอย่างหมดหนทาง

‘มันเป็นสีชมพูอีกแล้ว’

สิ่งของจากม้วนคัมภีร์แต่ละชิ้น ช่างเป็นรสนิยมที่คล้ายคลึงกับเด็กสาวเสียจริงๆ

ตอนนี้เขาค่อนข้างจะเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวถาย’ (ถายน้อย) จึงถูกเฉียนซานเย่หลอกลวงเอาได้

บางทีเมื่อพันกว่าปีก่อน เธอคงเป็นเพียงเด็กสาวที่ปรารถนาจะท่องโลกกว้าง เริ่มออกเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อมองหาโลกที่แปลกตาจากปกติที่ตนได้เคยพบเจอมา

เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เสี่ยวถายต้องพบเจอแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหมองลง

ขณะที่ห่วงชูชีพสีชมพูในมือก็ดูเหมือนจะหมองลงเช่นกัน

เมื่อลองคิดถึงห่วงชูชีพ และน้ำที่อยู่โดยรอบแล้ว กู่ฉิงซานก็เริ่มจะตระหนักได้ว่าสิ่งใดกันที่เขาสมควรจะทำ

กู่ฉิงซานสวมห่วงชูชีพในเอวของตนเอง และเฝ้ารออยู่สักพัก

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เขาก็เห็นว่ามีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ลอยออกมาจากห่วงชูชีพสีชมพู พร้อมมีบางสิ่งที่เขียนอยู่บนมัน

กู่ฉิงซานคว้าจับกระดาษแผ่นนั้นไว้ แล้วอ่านมันอย่างระมัดระวัง

“หากเจ้าต้องการกระตุ้นอุปกรณ์มนตรานี้ ขอจงท่องคาถาว่า มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”

“คาถาเปิดใช้งาน :มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านมัน กระดาษแผ่นเล็กๆก็ค่อยๆลอยกลับไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แล้วก็หายไป มิทราบว่ามันไปซุกไว้ที่ใด

‘มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! อย่างงั้นหรือ … คาถาเปิดตัวนี่มันจะดูเด็กน้อยเกินไปแล้ว’

มองไปยังกระแสน้ำรอบตัวที่ไหลอย่างไม่รู้จบ กู่ฉิงซานก็จำต้องละความคิดนี้ไป

เขาจำต้องกล่าว “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

ลืมไปเลยว่านี่เขาอยู่ในน้ำ ดังนั้นเสียงที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมามันจึงฟังดูค่อนข้างคลุมเครือ

กู่ฉิงซานรีบคายน้ำที่ทะลักเข้ามาในปากอย่างรวดเร็ว

มองไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่มันไม่ถูกต้อง

กู่ฉิงซานกำลังคิดอยู่ว่าจะใช้พลังวิญญาณแยกกระแสน้ำออกจากกัน ขณะที่ในสมองเปล่งความคิดดังลั่น “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

ห่วงชูชีพสีชมพูจึงเริ่มขยับไหวอย่างไม่เต็มใจ

พร้อมกับแผ่นกระดาษลอยออกมาอีกครั้งและแขวนอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

มันขีดเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งใจความว่า

“นี่เจ้าบื้อหรือเปล่า? เสียงที่ร้องออกมามันโคตรจะเบาเลย อย่างกับคนอดอาหารมาหลายวันอย่างงั้นแหละ? เวลาเจ้าท่องคาถาเปิดตัวก็สมควรจะเป็นช่วงเวลาที่ทรงเสน่ห์ที่สุดสิ! เจ้านี่มันทำตัวไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด อารมณ์พลุ่งพล่านน่ะ! เร่าร้อนน่ะ! รู้จักไหม?”

แผ่นกระดาษส่ายไปมาต่อหน้าเขา ก่อนจะบินกลับไป

กู่ฉิงซานนิ่งอึ้งอยู่สักพัก

กระตือรือร้นอย่างนั้นหรือ …

สองมือคว้าจับห่วงชูชีพ ขณะที่สองคิ้วขมวดเข้าหากัน

เขาย้อนนึกไปถึงแผ่นกระดาษใบแรกที่ลอยออกมามันเขียนบอกเอาไว้ว่า “ขอจงเปล่งเสียงร่ายคาถา มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”

คงจำเป็นที่จะต้องเปล่งคำนี้เท่านั้น ตนจึงจะสามารถใช้งานมันได้

กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณในตันเถียน ปากอ้าตะโกนเสียงดังก้อง “มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

เสียงที่สนั่นราวกับระเบิดนี้ถูกเปล่งออกมาโดยตรง จนกระแสน้ำแตกกระจายไปทุกทิศทาง

ห่วงชูชีพสีชมพูเริ่มสั่นไหวทันที

แสงจรัสพวยพุ่งออกมาจากห่วงชูชีพ

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าเฝ้ารอมาเป็นพันกว่าปีแล้ว และในตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นซะที!”

ฟังจากน้ำเสียง บ่งบอกว่ามันดูตื่นเต้นมาก

“ข้าได้อยู่ในสถานะตื่นโดยสมบูรณ์แล้ว เจ้าเด็กน้อย เจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายหรือยัง?”

กู่ฉิงซานขบคิดถึงประโยคที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา ก่อนจะตัดสินใจตามน้ำไปว่า “ข้ายอมรับคำร้องขอ และแน่นอนว่าข้าพร้อมแล้ว”

“ดีล่ะ งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยไหม?” ห่วงชูชีพสีชมพูเอ่ยถาม

“ตกลง” กู่ฉิงซานกางมือออก

“งั้นอันดับแรก เจ้าก็จงถอดเสื้อผ้าออกให้หมดซะ” ห่วงชูชีพกล่าวอย่างราบรื่น

…………………………………..........