ตอนที่ 393 อสุรกายไล่ล่า
ตะขอเกี่ยววิญญาณทิ้งตัวลง และอนุญาตให้กู่ฉิงซานถือมัน
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นทันที
“ค้นพบ ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน กล่าวได้ว่านี่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ เป็นอุปกรณ์เฉพาะของเทพวิญญาณ”
“คุณไม่อาจทราบถึงคุณสมบัติทั้งหมดของสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ และคุณจะไม่ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆ กับมัน เว้นเพียงแต่ว่าคุณจะได้รับการยอมรับเป็นนายของมันเท่านั้น”
กู่ฉิงซานไม่สนใจที่จะอ่านมัน เขาหันหลังกลับและเริ่มต้นใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วทันที
แล้วเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนอกวิหาร
ขณะเดียวกันจิตสัมผัสเทวะแปลกๆ ก็กวาดเข้ามาปะทะเขาจากเบื้องหน้า
ในโลกมนุษย์ คนอื่นๆ จะไม่ใช้จิตสัมผัสเทวะกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงสามารถใช้มันทั้งจับตำแหน่ง ตรวจสอบ หลบหนี ฯลฯ...หรือเรียกง่ายๆ ว่าโกงคนอื่นได้อย่างไร้ยางอาย
ทว่ากับที่นี่ ที่ซึ่งมารแมงมุมเขมือบวิญญาณกำลังควบคุมจิตสัมผัสเทวะอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงจิตสัมผัสนี้ เขาจึงถอนจิตสัมผัสเทวะทั้งหมดของตัวเองกลับคืน
เขาจะไม่ยอมปล่อยให้จิตสัมผัสเทวะของตนออกจากร่างกาย แล้วไปปะปนเข้ากับของมันเด็ดขาด
“ข้าจะหยุดมันเอง!” ชูร่าชายตะโกนขึ้นและทะยานออกไป
“เจ้าก็รีบหนีไปเร็วเข้า!”
ชายชราตะโกน และกระโจนไปยังทิศทางมารแมงมุม
ทว่าไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆ ทั้งสองก็หายวับไป!
ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับเรียกกลับไปแล้ว!
พอเห็นฉากนี้ มารแมงมุมก็หัวเราะออกมา “เจ้าพวกคนตายที่ชวนปวดหัว ในที่สุดก็หมดไปซะที”
คู่ดวงตาแนวตั้งของมันจดจ้องกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ก่อนที่สายตาของมันจะตกลงไปยังตะขอเกี่ยววิญญาณที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นหนอนแมลงจากโลกมนุษย์สินะ จู่ๆ ก็บุกมาที่วิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะ ข้าสมควรชื่นชมเจ้าว่าช่างหลักแหลม...หรือว่าไร้เดียงสาดี?”
ร่างใหญ่ของมันงอตัวลงเล็กน้อย และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง เหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตาในตำแหน่งเดิมอย่างฉับพลัน
บังเกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระพือ ปากมารแมงมุมอ้าคำราม ขณะที่เท้าทั้งแปดย่ำพื้นดินพรวดเข้าหากู่ฉิงซาน
ช่างว่องไวจริงๆ!
กู่ฉิงซานลอบพูด
“ข้าจะขวางมันเอง!” วิหคขาวร้องออกมา
“ไม่จำเป็น!”
กู่ฉิงซานเหยียดมือไปคว้ากระบี่ภูตตัดกระดูก และใช้ออกด้วยย่นระยะทันที
ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมามัวต่อสู้ ตัวเขาจำเป็นต้องค้นหาความจริงก่อนเป็นอันดับแรก!
มารแมงมุมปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทางเข้าวิหาร ทว่ากู่ฉิงซานกลับหายไปจากที่นี่ และผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าตรงชายฝั่งบริเวณตีนเขาแทน
เขาพุ่งเข้าไปในสายธารแห่งการหลงเลือน
และสายธารก็แยกออก ยอมรับเขาให้เข้าไปภายในของมัน
หลังจากเขาเข้าไปแล้ว กระแสธารก็หุบปิดกลับคืนดังเดิมทันที
และแทบจะในวินาทีต่อมา เสียงหอนด้วยความเดือดดาลก็ดังลงมาจากทางบริเวณชายฝั่ง
มารแมงมุมเคลื่อนกายอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นบนชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน
มันโน้มตัวลงมาข้างหน้า เพื่อพยายามจะดูว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน
เห็นได้ชัดว่าเกือบจะจับเจ้ามนุษย์นั่นได้อยู่แล้ว!
น่าแปลกใจนัก อีกฝ่ายมีกลิ่นอายของการฝึกยุทธแท้ๆ แต่เพราะเหตุใดกันมันจึงมิได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา?
มารแมงมุมคืบคลานไปทั่วชายฝั่ง ทว่ามิกล้าที่จะก้าวลงสู่สายธารแห่งการหลงเลือน
เพราะสายธารแห่งการหลงเลือนคือกฎเกณฑ์แห่งปรภพที่น่าหวาดกลัวที่สุด มันเป็นตัวแทนของดินแดนแห่งการเกิดใหม่และความตาย
นี่คือกฎดั้งเดิมของปรภพ
กระทั่งมาร ก็ยังมิอาจต่อกรกับสายธารอันยิ่งใหญ่นี้ได้
กู่ฉิงซานนำตะขอเกี่ยววิญญาณกับกระบี่ภูตทิ้งระยะห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่บินอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็หยุดลง
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่ากู่ฉิงซาน” เขาหันไปกล่าวกับตะขอเกี่ยววิญญาณ
“เจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุหรือผลกระทบที่ตามมา ข้าได้ล่วงรู้ทุกอย่างจนหมดแล้ว แม้กระทั่งเป้าประสงค์ของเจ้าที่มาที่นี่” ตะขอยาวกล่าว
“ข้าคือตะขอเกี่ยววิญญาณ และข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับทุกชีวิตและคนตายในปรภพ ได้อยู่ในจิตใจของข้า”
“นอกจากนี้ข้ายังรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เจ้าประสบพบเจอในปรภพ และสิ่งที่เจ้าต้องการจะถามอีกด้วย”
กู่ฉิงซานพยักหน้า ในที่สุดหัวใจของเขาก็คลายลง
ท่ามกลางสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้นในปรภพ ในที่สุดก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันได้อย่างปกติปรากฏตัวขึ้นเสียที
“เช่นนั้นโปรดสำแดงตัวให้ข้าได้เห็นด้วยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้ากำลังหมายถึงจิตอาร์ติแฟคของข้าใช่ไหม? ข้าก็อยู่ที่นี่นั่นล่ะ เพียงแต่ตัวข้ามิอาจมองเห็นได้ก็เท่านั้นเอง”
บนตะขอเกี่ยววิญญาณ มีรังสีแสงสีเหลืองอ่อนแผ่กระจายออกมาจางๆ
“ตลอดทั้งโลกปรภพ ที่ใดที่มีรังสีแสงนี่ ที่นั่นก็จะมีข้า” มันตอบ
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่าง ช่างเป็นพลังอำนาจที่ร้ายกาจจริงๆ’ กู่ฉิงซานลอบสรรเสริญอย่างลับๆ
“เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ?” เขาเอ่ยถาม
“แน่นอน ขอเจ้าจงเชื่อมต่อกับข้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขา จมลงสู่ตะขอเกี่ยววิญญาณ
หลังจากนั้นไม่นาน เหงื่อเย็นก็เริ่มเปียกชุ่มบนแผ่นหลังเขา ทั้งคนทั้งร่างยืดตัวตรง
ความโศกเศร้าและเสียงของความเจ็บปวดพรั่งพรูเข้าไปในจิตใจของกู่ฉิงซาน
ภาพเคลื่อนไหวค่อยๆ ขยายออกอย่างช้าๆ
บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก ปรากฏมวลกลุ่มแสงที่กระจ่างชัดกำลังลอยนิ่งอยู่อย่างสงบ
บางครั้งมันก็มีแสงหลากสีสันทะยานเข้าหามัน โถมเข้าใส่บอลแสงด้วยเจตนาร้าย
แต่ทุกๆ ครั้งเลย ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ปะทะกันหนึ่งถึงสองกลุ่มแสงก็จะร่วงตกลงมา
กลุ่มแสงร่วงกระแทกเข้ากับภูเขาล้อมเหล็ก และเผยให้เห็นถึงร่างมนุษย์ ก่อนที่ร่างดังกล่าวจะแปรสภาพกลายเป็นเถ้าถ่าน สลายไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานพยายามเบิ่งตาของเขาออกให้เต็มที่ แต่แท้จริงแล้วเขากลับสามารถมองเห็นได้แค่เพียงร่างอันน่าสังเวชของอีกฝ่ายก่อนที่จะสลายหายไปก็เท่านั้น
และร่างสังเวชที่ว่า นั่นคือเทพวิญญาณแห่งปรภพ!
บนใบหน้าของพวกเขา ล้วนเผยถึงความเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วก็ตกตายไป
อีกด้านหนึ่ง สุดปลายของภูเขาล้อมเหล็ก
ปรากฏถึงเผ่ามารที่คลาคล่ำ เบียดเสียกระจุกตัวกันอยู่ฟากฝั่งหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็ก พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยให้เทพวิญญาณตกตายลงโดยสมบูรณ์อย่างเงียบๆ
และตรงพื้นที่ท่ามกลางภูเขาที่ว่างเปล่าระหว่างเทพกับมารนั่นเอง
มีอสุรกายอยู่ตนหนึ่งยืนหยัดอยู่
มันกำลังมุ่งหน้าเดินไปยังทิศทางของเทพแห่งปรภพ และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยที่กล้าจะย่างกรายเข้าไปใกล้มัน
“โฮ่!”
ทุกย่างก้าว อสุรกายจะเปล่งเสียงร่ำร้องออกมา
ขณะนี้ ในมือทั้งสองข้างของอสุรกายกำลังถือหอกเล่มหนึ่งอยู่
สายตาของกู่ฉิงซานมองลงไปที่หอก ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นหนักอึ้ง
นี่คือหอกขนาดใหญ่ ที่แม้กระทั่งอสุรกายก็ยังจำต้องใช้มือทั้งสองข้าง จึงจะสามารถเกาะกุมมันได้
และเมื่อดูจากสีหน้าของอสุรกาย บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่แต่เพียงแต่หนักหน่วง ทว่ามันยังแฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจอันแปลกประหลาดอีกด้วย
ตัวหอกเปล่งประกายหลากสีสัน ส่องแสงงดงามสุกใสขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ฉากนี้แท้จริงแล้วสมควรจำเริญตา
แต่อสุรกายกลับโห่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
กู่ฉิงซานจึงได้ลองเฝ้าสังเกตมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง
แล้วเขาก็พบว่าแม้มันจะเปล่งแสงสุกสกาวสาดส่องจนแสบตาออกมา ทว่าตามตัวหอกกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
บนตัวหอก ถูกแกะสลักไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูบิดเบี้ยวและซับซ้อนมากมาย ขณะเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายอำนาจอนันต์อันหาผู้ใดเทียบเปรียบได้ออกมา
ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลตลอดทั้งสวรรค์และโลก ยามเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน จักต้องทิ้งเข่าลงก้มกราบกรานหอกเล่มนี้
บนตัวหอก ถูกแปะไว้ด้วยยันต์ที่กำลังสาดแสงสีทองอยู่
บนตัวยันต์เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างต่อเนื่อง และห่อหุ้มปกคลุมตลอดทั้งหอกเอาไว้
แม้กระทั่งแสงหลากสีสันบนตัวหอก ก็ยังถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยแสงสีทองนี้ ขณะเดียวกันก็มีบ้างเป็นครั้งคราวที่แสงและเงาหลุดลอยออกมาจากมัน ทิ่มแทงไปยังตำแหน่งที่เทพวิญญาณอยู่บนภูเขา
และยามเมื่อเทพวิญญาณถูกมันทิ่มแทง พวกเขาก็จะตกตายลงทันที
กู่ฉิงซานเฝ้ามองภาพเบื้องหน้าเขา สมองหมุนเร็วจี๋ ขณะที่เขาหัวใจของเขาสั่นไหว
เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของตลอดทั้งสองช่วงชีวิตของเขา ชัดเจนว่าหอกนี้ไม่ได้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นอาวุธของเผ่ามาร
เนิ่นนานสักพัก อสุรกายก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า
บนภูเขาล้อมเหล็ก หลากหลายเทพวิญญาณก็เร่งฉวยโอกาสนี้ พุ่งเข้าหาอสุรกายอย่างรวดเร็ว
อสุรกายบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างทันท่วงที มันดึงยันต์สีทองออกจากหอกในฉับพลัน!
ทันใดนั้น บนตัวหอกก็ระเบิดเฉดแสงและเงาหลากสีออกมา จ้วงแทงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า กระจายไปยังทุกทิศทางรอบกาย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมหลากสีสันของหอกนี้ เหล่าเทพวิญญาณก็ล้มตัวลงกับพื้น สิ้นใจอย่างมิอาจต้านทาน
ทว่าดูเหมือนจะมิใช่เทพวิญญาณเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของอสุรกาย บัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพมารนับพันหมื่น!
แม้กระทั่งอสุรกายเอง ที่กำลังถือหอกมากสีสันนี้ ก็ยังต้องคุกเข่าลงกับพื้น
ตามด้วยชิ้นส่วนของเลือดและเนื้อหนังที่ร่วงตกลงจากตัวมัน
ต่อให้เปิดใช้งานยันต์ทองคำแล้วก็ตามที ทว่าอสุรกายก็ยังมิอาจทานทนต่ออานุภาพของหอกที่มันกำลังใช้อยู่ได้
ทั้งคนทั้งร่างของมันกำลังพังทลายลง
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย!
เพียงแค่ลอกยันต์สีทองออก มารตนนั้นก็สามารถใช้หอกสังหารเทพได้! แม้กระทั่งเผ่ามารนับพันหมื่นก็ยังต้องสิ้นชีพลง!
นี่นับว่าช่างเป็นอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว น่าสะพรึงเกินไปแล้วจริงๆ
ในช่วงเวลานั้นเอง หลากหลายอสุรกายร่างใหญ่ก็วิ่งฝ่าออกมาจากกลุ่มมาร ทุกตนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือวิ่งตรงเข้าหาหอก แต่ทว่า
ขณะเดียวกัน เฉดแสงและเงาขอหอกหลากสียังคงสาดประกายออกมาอย่างต่อเนื่่อง ส่งผลให้เหล่าอสุรกายร่างใหญ่ถูกเฉดสีเหล่านั้นทิ่มแทงเอาระหว่างทาง ร่วงกลิ้งลงกับพื้น บังเกิดเสียงร่ำร้องโหยหวนไปทั่ว
จนกระทั่งหลงเหลืออสุรกายตัวสุดท้าย มันเลือกที่จะหลบซ่อน และใช้ร่างของสหายเบื้องหน้าเป็นชั้นป้องกัน ทำให้สามารถรอดชีวิตมาได้
และท้ายที่สุดมันก็มาถึงใจกลางของภูเขา มือเร่งคว้ายันต์ทองคำที่ตกอยู่ขึ้นมา และแปะมันกลับคืนลงบนหอกหลากสี
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง แสงและเงาทั้งหมดบนตัวหอกก็จางหายไป
ตลอดทั้งหอกได้ถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีอร่ามอีกครั้ง
อสุรกายตนใหม่คว้าจับหอกหลากสีขึ้นมาในมือ และทำเฉกเช่นเดียวกับตนก่อนหน้า ย่ำฝีเท้าก้าวเดินกดดันเทพวิญญาณที่อยู่อีกฟากฝั่งของเขาล้อมเหล็กต่อไป
เบื้องหลังมัน ที่แต่เดิมพลุกพล่านไปด้วยอสุรกายที่วิ่งเข้ามาหมายจะคว้าจับหอก บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือด เอ่อล้นหลั่งไหลลงไปตามสายธารแห่งการหลงเลือน
เพียงแค่หอกเล่มเดียว...ทว่ากลับสามารถโจมตีอสุรกายมากมายถึงตายได้มากมายขนาดนี้!
อสุรกายตนใหม่ยืนหยัดขึ้น แบกหอกในมือ และเริ่มก้าวเดินต่อไป ทว่ามันก็ได้เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น
เพราะจู่ๆ เทพวิญญาณจากอีกฟากภูเขาก็กระจายตัวแยกจากกัน ทั้งคนทั้งร่างของพวกเขาสาดแสงสีขาวนวลออกมา กวาดปกคลุมออกไปทั่วฟ้า
และแสงสีขาวที่ว่านี้ก็กดทับลงไปทางอสุรกาย
อสุรกายกระชากยันต์ทองคำออกทันที! และจ้วงปลายหอกไปทางแสงสีขาว!!
ฟุบ!ๆๆ
เฉดแสงและเงาอันคมชัดทะยานออกจากตัวหอก
พร้อมกับแสงที่ขาวที่กระเจิงออกไป
บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับคมหอกนี้ เทพปรภพตนแล้วตนเล่าก็พากันตกตายลง ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
ขณะเดียวกัน กระทั่งอสุรกายผู้ใช้หอกเล่มนี้ มันก็ได้ตกตายลงไปด้วยเช่นกัน
และแน่นอน ว่าไกลออกไปเบื้องหลังอสุรกายที่ใช้หอก เผ่ามารอีกหลายหมื่นตนก็ตกตายลงอีกคราภายใต้เฉดแสงและเงาของคมหอกนี้
พื้นที่โดยรอบถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือดอีกครั้ง!
กู่ฉิงซานสูญสิ้นกระแสเสียงของเขา “การโจมตีนี้…มันไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู!”
เห็นเพียงแค่อสุรกายตนนั้นล้มลง และอสุรกายอีกหลายตัวได้วิ่งเข้ามา
อสุรกายตนใหม่คว้าจับยันต์ทองคำ แปะกลับคืนบนหอกหลากสี ยกถือมันในมือ รับช่วงต่อก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า
โดยไม่ไยดีอสุรกายตัวก่อนหน้าที่ล้มลงกับพื้น ที่ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไปเลยแม้แต่น้อย
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
ฉากตรงหน้านี้ ได้อยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของเขาไปไกลแล้ว
ทำลายสิ้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู กระทั่งอสุรกายและทวยเทพก็ยังไม่มีข้อยกเว้น!
อาวุธนี่มันอันใดกัน!?
อสุรกายเดินไปทั่วภูเขาล้อมเหล็กอยู่สักพักหนึ่ง
ทว่าจนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีเทพวิญญาณคนใดพุ่งเข้ามาโจมตีมัน
อย่างไรก็ตามขณะที่มันกำลังย่ำเดินกดดันอยู่นั้นเอง จู่ๆ ฝีเท้าของมันก็เริ่มซวนเซ
ไม่นานนักมันก็จำต้องคุกเข่าลงกับพื้น…และสิ้นใจลง
ถึงแม้ว่าจะมียันต์ทองคำคอยปรามพลังอำนาจเอาไว้ ทว่าพลานุภาพของหอกก็ยังค่อยๆ เอ่อล้นออกมาภายนอก สังหารอสุรกายที่ถือจับมันอยู่ดี
พลังอำนาจนี้ มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เมื่อถึงฉากนี้ อสุรกายร่างใหญ่อีกตนที่เปี่ยมไปด้วยพลังก็ก้าวออกมาข้างหน้า
อสุรกายตนใหม่รับช่วงต่อหอกมา และก้าวเดินสำรวจภูเขาล้อมเหล็กต่อไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก มันก็คุกเข่าลงกับพื้น และตกตายจากไป
ทว่าอสุรกายก็ตนใหม่ก็ยังมารับช่วงต่อหอก และเริ่มทำการสำรวจอย่างหาร่องรอยของเทพวิญญาณต่อไปอย่างรอบคอบ
กล่าวได้ว่าบัดนี้ หลังจากที่สูญสิ้นอสุรกายไปกว่าร้อยตน พวกมันก็สามารถกดดันเทพวิญญาณจนดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ตกตายกันจนหมดสิ้น
เผ่ามารที่ถึงขั้นยอมจ่ายราคามหาศาลหนักหน่วงเช่นนี้ออกมา ในที่สุด ก็ได้มาถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการลงทุนของพวกมันแล้ว!
…………………………………………….