webnovel

0367 แอนนากับเทพแห่งความตาย (สาม)

ตอนที่ 367 แอนนากับเทพแห่งความตาย (สาม)

แต่แอนนาก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับมือของเธอนัก เธอเพียงสะบัดๆ มันและขี้เกียจเกินกว่าจะเดินไปพันผ้าพันแผล

เพราะเมื่อเทียบกับบาดแผลในมือของเธอแล้ว เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเยาะเย้ยต่อหน้าคนรักและท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ โดยคู่แข่งของตัวเองเสียมากกว่า…เธอแทบอยากจะลงไปดิ้นตายอยู่แล้วเนี่ย!

“อ้า! ไอ้พิธีบ้านี่ก็ไม่จบสักที ทำเอาโมโหไปหมดแล้ว!”

แอนนาร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

ฟุ่ม!

เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นเบื้องหลังเธอ งอกออกมาเป็นปีกคู่หนึ่ง

แอนนากระโดดขึ้นๆ ลงๆ บินไปในที่สูงกลางอากาศ ดิ่งลงมาที่ต่ำบนพื้นดิน เคลื่อนที่ไปมาอย่างไร้ทิศทางยากจะคาดเดาได้

แล้วเธอก็บินขึ้นไปบนหอคอยเทพแห่งความตาย

ที่ๆ ซึ่งเป็นอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์ และมนุษย์มิสมควรที่จะล่วงล้ำเข้าไป

เธอเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แอนนายืนอยู่บนแท่นสูงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ กวาดสายตาหันไปมองรอบๆ

“ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนอกจากหินแตกๆ ก้อนนี้!”

แอนนาบ่นพึมพำโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

แต่ที่นี่มันก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากก้อนหินที่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติการหลับใหล 

ใช่แล้ว วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายใช้หินสีดำนี้แทนสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติ!

กล่องสมบัติที่หลับใหล คือสมบัติในตำนานของเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ปรากฏขึ้นจริงๆ ที่นี่

บางทีในอดีต อาจจะมีน้อยคนนักที่กล้าหาญ เสี่ยงต่อการดูหมิ่นเทพเจ้า โดยการเลือกที่จะบินขึ้นมาในระดับเดียวกันกับแท่นสูงและเข้าไปใกล้ๆ เพื่อทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ

แต่ไม่มีใครเลยที่ทำเหมือนกับแอนนา ที่ขึ้นมายืนอยู่บนแท่นสูงด้วยสถานะเมามาย และปฏิเสธที่จะลงไป

ฉากนี้ สำหรับประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซีแล้ว นับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

แอนนานั่งลงบนแท่นบูชาเทพแห่งความตายที่หลับใหล

แม้ว่าจะมานั่งที่นี่ แต่มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี

เท้าของเธอแกว่งไปมาในอากาศ ขณะที่ในมือถือขวดไวน์ ในสมองขบคิดอย่างจริงจัง

“พอไปถึงรัฐบาลกลาง ฉันจะใช้เทคนิคที่พึ่งเรียนรู้มาใหม่สยบนังเด็กนั่นก่อนเลย กระบวนท่าแรกให้นังนั่นล้มลง ตามด้วยกระบวนท่าที่สองยัดปากหล่อนให้รู้ซึ้งว่าไม่สมควรพูดจาไร้สาระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วก็จะใช้กระบวนท่าสุดท้ายประทับตรา สร้างความหวาดกลัวฝังลึกไว้ในจิตใจ…”

ขณะที่กำลังวางแผนร้าย เธอก็ยกไวน์ขึ้นเทใส่ปากของเธอ

ยิ่งดื่ม ร่างกายทั้งหมดก็ยิ่งมึนเมา และรู้สึกราวกับว่าตรงบริเวณช่วงหน้าอกจะหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ

 

มันชวนให้รู้สึกอึดอัดมาก เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าอกของเธอ

แอนนาเอื้อมมือขึ้นไป คว้าจับเอารูปปั้นเล็กๆ ของยมทูต…รูปปั้นเทพแห่งความตาย

มันคือสัญญาชีวิตนั่นเอง

นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่บรรพบุรุษของเมดิซีได้รับมา

แอนนาหยิบมันขึ้นมาและวางบนแท่นหินใกล้ๆ กับเธอ

ทันใดนั้นจู่ๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบก็จี๊ดขึ้นมาจากมือของเธอ

“อ๊ะ!”

เธออุทานออกมาคำหนึ่ง

มือของเธอยังคงมีรอยถูกขูดและผิวที่ลอกออก แถมยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาล ดังนั้นในเวลานี้จึงมีเลือดไหลออกมาเป็นระยะๆ

เธอคว้าจับสัญลักษณ์แห่งความตายด้วยมือข้างนั่นอีกครั้ง แล้วเหวี่ยงมันกระแทกลงบนแท่นหินอย่างแรงด้วยความโมโห!

แล้วแผลในมือก็ฉีกขาด เลือดไหลทะลักลงบนรูปปั้นเเทพแห่งความตายองค์เล็กๆ และแน่นอน ว่ามันย่อมไหลลงบนแท่นหินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหีบสมบัติแห่งการหลับใหลด้วยเช่นกัน

เลือด รูปปั้นเทพแห่งความตาย และหีบสมบัติเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

และมันก็บังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น

บางสิ่งที่มองไม่เห็นปรากฏตัวขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างสงบ มันแอบซุ่มอยู่เบื้องหลังแอนนา และเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆ

และแอนนาก็ไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

“โถ่เอ๊ย! เจ็บจัง…ทำอะไรก็แย่ไปหมดเลย!” เธอกุมมือปิดปากแผล คร่ำครวญเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด

แอนนาวางขวดไวน์ลงข้างๆ แล้วพลิกเอากระเป๋าสะพายหลังมาไว้ข้างหน้า จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา และเริ่มจัดการกับมัน

สมองของเธอตื้อตึง แอนนาตอนนี้เกือบจะงีบหลับลงไปแล้ว

“ให้ตายสิ ที่นี่มันอุดอู้จริงๆ ถ้ามีลมแรงๆ พัดมาบ้างสักหน่อยก็คงดี” เธอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

ทันใดนั้นก็บังเกิดลมหนาวพัดโชยมาจากตรงส่วนไหนก็ไม่อาจรู้ได้

มันเป็นสายลมที่พัดเป่าไปถึงจิตวิญญาณของแอนนา

เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าด้วยคำพูดเมื่อครู่ เธอได้ใช้สิทธิ์ร้องขอสิ่งในที่ตนปรารถนากับเทพแห่งความตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยได้รับสายลมนั้นมา

และหากทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ เธอก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาที่เอ่ยขอสิ่งปรารถนาอันด้อยค่าที่สุดในโลกตั้งแต่ที่อารยธรรมมนุษย์เคยถือกำเนิดขึ้นมา!

พอปฏิบัติตามคำร้องขอ การดำรงอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหลังก็กำลังจะกระจายหายไป

แต่ทันใดนั้นเอง แอนนาก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับร่างกายตนเอง

“แย่ล่ะสิ” เธอเอ่ยงึมงำ

ความรู้สึกอันแสนจะคุ้นเคยกระชากขึ้นมาจากกระเพาะ ไหลสวนขึ้นมาบนหน้าอกของเธอ!

“อ๊อก…”

แอนนาปัดขวดไวน์ออกไปอีกทางหนึ่ง และหันไปอ้วกลงใส่หินสีดำที่เป็นตัวแทนของกล่องสมบัติแห่งการหลับใหล

“…บ้าจริง สงสัยฉันจะดื่มมากเกินไปหน่อย”

เธออ้าปากพ่นน้ำหูน้ำตาออกมา ก่อนจะหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งทีมองไม่เห็นกำลังจะจากไปอยู่แล้ว แต่ดันต้องมาเห็นและถูกเธออาเจียนใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว!?

สิ่งที่มองไม่เห็นยืนแข็งค้างอยู่บนแท่นหิน มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้ครู่หนึ่ง…

มันไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน

และแอนนาก็ยังไม่ตระหนักถึงมันเหมือนเคย

หลังจากอ้วกไปสักพัก แอนนาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

เธอหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะสะดุ้งตกใจ “เอ๊ะ? นี่ฉันขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มันไม่เหมาะที่จะเป็นที่นอนนะ เดี๋ยวเผลอตกลงไปคงจะแย่”

ว่าแล้วแอนนาก็คว้าขวดไวน์และบินร่อนลงบนไปพื้น

เธอเดินโซเซไปไปยังที่นั่งเก่าของตัวเอง

ทว่าหลังจากนั้นก็บังเกิดกระแสลมพัดกระพือขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัววิหารก็เริ่มที่จะสั่นไหวเล็กน้อย

‘เอ๋? ฉันพึ่งจะอ้วกไปนี่นา หรือว่าฤทธิ์อันรุนแรงของไวน์กลับคืนมาอีกครั้ง’…นี่คือสิ่งที่แอนนาคิด

ขณะนั้นเอง บนแท่นสูง ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศอันรุนแรงและคมชัดขึ้น

อากาศกรีดร้องหวีดหวิว ก่อนจะบินลงมาหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้าเธอ

ด้วยการกระชากของกระแสอากาศอันพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นรูปปั้นหัวสุนัขทั้งสิบสองที่ยืนอยู่รอบวิหารก็ก้มหัวลงและมองตามไปยังจุดนั้นทันที

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปี ที่พวกเขาเคลื่อนไหว

แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ดันไม่มีใครสังเกตเห็นถึงฉากนี้

กระแสอากาศกลับคืนสู่ความเงียบ ทว่ากลับมีบางสิ่งที่อยู่กลางอากาศกำลังจ้องมองแอนนาด้วยเจตนาร้าย

‘คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก บังอาจล่วงเกินท่านเทพ ฉะนั้นมันจักต้องได้รับโทษ!’

‘แต่เดี๋ยวก่อน?’

‘กลิ่นหอมละมุนชวนเคลิ้มนี่มันคือสิ่งใดกัน?’

กระแสอากาศก้มหน้าลงมองด้วยความสงสัย

แล้วมันก็พบว่าข้างๆ เท้าของมัน เป็นแก้วไวน์ที่ท่วมไปด้วยน้ำเมาที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจออกมา

น้ำเมาที่ว่านี้คือไวน์ชั้นดี…

ตนทำหน้าที่ปกปักสถานที่แห่งนี้มานานนับหลายพันปี แต่กลับไม่เคยได้ดอมดมกลิ่นอันยั่วยวนเช่นนี้มาก่อนเลย

ในเวลานี้ แอนนาได้กลับไปนั่งประจำตำแหน่งเดิมของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และทันใดนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นถึงเงาดำๆ กำลังเลียลงบนแก้วที่เธอวางเอาไว้บนพื้น

ดวงตาของแอนนาราวกับมีไฟลุกพรึบ! เธอลุกพรวดขึ้นด้วยความมึนเมา ก้าวพรวดๆ เป็นฟืนเป็นไฟตรงไปข้างหน้า

เธอตะโกนออกมา “นั่นมันแก้วของฉันนะ!”

เงาดำตกใจ และเผลอก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

ทันใดนั้นแอนนาก็ได้สติกลับคืน ฝีเท้าของเธอหยุดลงอยู่ในตำแหน่งนั้น

ภายในวิหาร…นอกจากตัวเองแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาได้อยู่อีกหรือ?

หรือว่าจะเป็นท่านเทพ!?

เธอตบลงบนหน้าของตัวเองและฝืนบังคับตนให้ใจเย็นๆ ลง แล้วจ้องมองไปที่เงานั้นอีกครั้ง

“ท่านที่เคารพ” แล้วเสียงของแอนนาก็ขาดห้วงไป

เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเห็นเงาดำตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และพบว่ามันไม่ใช่เทพจริงๆ!

เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นหมาดำ!

ใช่ มันเป็นแค่ ‘หมา’

เพราะท่านเทพแห่งความตายจะมานั่งเลียแก้วไวน์เธอได้อย่างไร?

เมื่อคิดได้แล้วแอนนาถอนหายใจโล่งอก

ว่าแต่เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากที่ไหนกัน?

เธอก้าวออกไปข้างหน้า

เจ้าหมาที่ว่ามิได้ขยับเขยื้อน

เธอเดินเข้าไปหาเจ้าหมา

เจ้าหมายังคงยื่นปากเข้าไปในแก้วไวน์ของเธอ สองตาของมันหรี่แคบลงและกำลังจดจ้องมาที่เธอ

กลิ่นอายที่ดูเคร่งขรึมและหนักอึ้งเริ่มปรากฏออกมาจากมัน ค่อยๆ ควบรวมกันเป็นพลังอันลึกลับที่มองไม่เห็น

พลังนี้กำลังจะเอ่อล้นออกมา และยามที่มันถูกปลดปล่อย เมื่อนั้นบุคคลตรงหน้ามันก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมาน!

ขณะที่กลิ่นอายนี้ใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อ แอนนาก็ได้เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่มันไม่คาดฝันออกมา

เธอยื่นขวนไวน์ในมือของเธอให้อีกฝ่าย

“จะดื่มสักหน่อยไหม?” เธอเอ่ยถาม

แม้ว่าเธอจะเมาอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีหมามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่

บางทีเจ้าหมาตัวนี้อาจจะเป็นเบาะแสที่จะใช้อัญเชิญเทพแห่งความตายมาก็เป็นได้

แอนนาตบลงบนหน้าผากของเธอและนึกเสียใจกับมัน

เธอไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะได้รับการตอบสนองจากเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวมาด้วยเลย

ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอ ก็มีแต่ไวน์ขวดนี้นี่แหละ

มันเลยเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถหยิบยื่นให้แก่อีกฝ่ายได้

ตอนนี้เธอยื่นไวน์ออกไปอย่างระมัดระวัง

เจ้าหมามองตามเธอและขวดในมือเธอ

มันชะงักงันไปครู่หนึ่ง

เจ้าหมาอดไม่ได้ที่จะยื่นอุ้งมือออกไป และคว้าจับขวดไวน์มา

แล้วมันก็ยกกระดกขวดไวน์เข้าปาก จิบไปอึกใหญ่

จิบไปอีกอึก

และอีกอึก

อีกอึก

เอิ๊ก!

เจ้าหมาเลียริมฝีปากของมันและทิ้งขวดไวน์ที่ว่างเปล่าลงด้วยความพึงพอใจ

ดวงตาของมันเหลือบมองไปยังแอนนาและตกลงบนแผลบนฝ่ามือของเธอ จมูกของมันขยับฟุดฟิด

ใช่แล้ว นี่คือเลือดของตระกูลเมดิซี

หมาดำพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็นได้

แม้คนตรงหน้าจะดูมีกิริยาไม่ดีอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังนับว่ามีสัญญาผูกพันกับมันอยู่

แถมไวน์นี่ก็ดีไม่เลวเลย

‘ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่เราควรให้อภัยฝั่งตรงข้ามเลยจะดีหรือไม่?’

นี่คือสิ่งที่เจ้าหมากำลังคิด

แอนนาเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มจนหมดแล้ว เธอก็ลังเลอยู่สักพักหนึ่งและในที่สุดก็เปิดปากออกมา

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปีที่ตระกูลเมดิซีสามารถสื่อสารกับเทพแห่งความตายที่พวกเขาเคารพบูชาได้

นอกจากนี้ ยังเป็นการได้สื่อสารระหว่างเทพอันหาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของโลก!

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดไป!

ในวิหารแห่งความตาย รูปปั้นมนุษย์หัวสุนัขทั้งสิบสองก้มหน้าลง และจ้องมองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ

แอนนามองไปยังหมาดำด้วยสีหน้าไม่แน่ไม่นอน

เนื่องจากเธอดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้หัวของเธอมึนงง และคิดอะไรก็เชื่องช้า

แต่เธอก็ยังคงเป็นคนฉลาด และสามารถตระหนักได้ว่าอะไรคือกุญแจสำคัญของปัญหาตรงหน้า

ในที่สุดแอนนาก็เข้าใจถึงปัญหาของเธอ

เธอมองไปที่หมาดำอย่างระมัดระวัง ปากเอ่ยกล่าวด้วยความลังเลว่า “ไม่ใช่หรอกมั้ง...”

หมาดำหูตั้งตรงทันที มันยกหางขึ้นและจ้องไปทางแอนนาด้วยแววตาขึงขัง

“ในพระวิหารมีรูให้หมาลอดผ่านเข้าเดินเล่นได้ด้วยงั้นหรือนี่?” แอนนาบ่นงึมงำ

พอได้ยิน หมาดำก็กลายเป็นโง่งม

…………………………………………….