webnovel

0263 กลืนกินหวนกลับ

ตอนที่ 263 กลืนกินหวนกลับ

หนิงเยว่ฉานบินมาหยุดลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานเป็นคนแรก หนึ่งฝ่ามือประสานหนึ่งกำปั้น ปากเอ่ยกล่าว “ผู้น้อยนายพลติงหยวน-หนิงเยว่ฉาน ขอขอบน้ำใจสำหรับความช่วยเหลือของสหายเต๋า ความสำเร็จทางกองทัพนี้ข้าได้ทำการจดบันทึกมันเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ทราบว่าสหายเต๋ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นถอดหน้ากากเงินออกและเอ่ยถามกลับ “นี่เจ้าจำข้ามิได้หรือ?”

หนิงเยว่ฉานมองไปยังใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยของอีกฝ่ายและเกือบที่จะสำลักน้ำลายตนเอง

เธอใช้เวลาทำใจอยู่เล็กน้อยจึงค่อยยอมรับสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามด้วยความกังวล “ที่แท้ก็เป็นเจ้า…ว่าแต่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เกิดอาการผิดปกติใดๆ หรือไม่”

เหลิงเทียนสิงวิ่งตามมาดูเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับสูญสิ้นจิตวิญญาณ “เมื่อวานตอนเช้าเจ้ายังอยู่ในขอบเขตก่อตั้งอยู่เลย ไฉนวันนี้จึงทะยานขึ้นสู่ขั้นก่อกำเนิดได้แล้วเสียเล่า?”

ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ นั่นเพราะความเร็วในการยกระดับวรยุทธของกู่ฉิงซานมันน่าทึ่งจนเกินกว่าที่จะทำใจยอมรับได้ในระยะเวลาสั้นๆ น่ะสิ!

ทว่าเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ มิใช่เพียงแค่เรื่องนี้ แต่ยังเป็นเรื่องเขาสามารถเล็ดลอดจากมารสวรรค์ที่ถูกดึงดูดเข้ามาอีกด้วย

ครั้งหนึ่งก็เคยมีผู้ฝึกยุทธที่สามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันความตายก็คืบคลานเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว

นั่นเพราะมารสวรรค์มักจะหาช่วงเวลาที่เหมาะสม และเลือกเข้าสิงร่างของผู้ฝึกยุทธในช่วงเวลาดังกล่าวและกัดกินมันเป็นอาหารนั่นเอง

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ในโลกเทวะมันอันตรายเกินไป ท่านอาจารย์จึงได้มอบของวิเศษชิ้นหนึ่งให้แก่ข้า และด้วยเจ้าสิ่งนั้นนั่นเองที่ทำให้ข้าสามารถตัดผ่านมาถึงขอบเขตนี้ได้”

เหล่าผู้ฝึกยุทธที่รายล้อมต่างพากันตกใจในตอนแรก แต่เพียงชั่วครู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมา

ปรากฏว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะนางเซียนไป่ฮั่วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเขาถึงสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

โชคยังดีที่เขามิใช่อัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาด มิเช่นนั้นเวลานี้คงได้ปรากฏตัวตนดั่งหนิงเยว่ฉานคนที่สองขึ้นมาเป็นแน่

ตัวตนที่ไม่จำเป็นต้องการความช่วยเหลือจากกำลังภายนอก สามารถยกระดับขอบเขตได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวเองเช่นนี้ ในรุ่นเยาว์มีแค่หนิงเยว่ฉานเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

แต่ด้วยคำกล่าวของกู่ฉิงซานที่สรุปว่าการที่เขาก้าวหน้าอย่างเร็วเช่นนี้เป็นเพราะของวิเศษ มิใช่ฝีมือตนเอง นั่นทำให้ความหวาดระแวงในจิตใจของทุกผู้คนสลายไป

เหล่าผู้ฝึกยุทธก้าวออกมายังเบื้องหน้าอย่างกระตือรือร้น ประสานกำปั้นตนไปยังกู่ฉิงซานด้วยความอบอุ่น

“ยินดีที่ได้พบ นายพลกู่”

“ขอขอบพระคุณท่านนายพลสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้”

ไม่ว่าเรื่องราวเริ่มต้นมันจะเป็นมายังไงก็ตาม แต่การที่นายพลกู่สามารถใช้ทัณฑ์สวรรค์ เปลี่ยนทิศทางของสงครามทั้งหมดลงได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ เป็นความกล้าหาญที่กระทั่งคนในสมัยก่อนก็มิอาจกระทำได้!

“เรื่องในครั้งนี้จำต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ แต่การกระทำเช่นนี้มันบ้าบิ่นมากเกินไป เจ้าไม่ห่วงชีวิตของตนเองเลยหรืออย่างไร?” หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยสีหน้าวิตกกังวล

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวว่า “เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็ผ่านมาได้ด้วยดีล่ะนะ”

“แต่ข้ายังไม่วางใจ ขอตรวจสอบดูได้หรือไม่?”

“แน่นอน”

หนิงเยว่ฉานคว้าจับมือของเขา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป กวาดผ่านทั้งแขนขาและกระดูกรอบกาย ก่อนจะค่อยๆ ถอนมันกลับคืนอย่างช้าๆ

“เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ” หนิงเยว่ฉานถอนหายใจโล่งอก

ทว่าเมื่อเธอหันกลับมา กลับเห็นแค่ว่าทุกผู้คนกำลังจดจ้องเธอ ในแววตาของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงประกายของความนัยบางอย่างที่แฝงอยู่

แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจ สีหน้าของหนิงเยว่ฉานกลับกลายเป็นจริงจัง ปากเอ่ยสั่งบัญชาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “เนื่องจากสภาพร่างกายของนายพลกู่ปลอดภัยดี ดังนั้นพวกเราทุกคนจะถอนกำลังกลับไปยังค่ายทหารกันทันที”

“ขอรับ!” เหล่าผู้ฝึกยุทธเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

ณ ค่ายทหาร

ภายในเต็นท์ของหนิงเยว่ฉาน

หนิงเยว่ฉาน กู่ฉิงซาน และเหลิงเทียนสิง ทั้งสามกำลังร่วมหารืออยู่ด้วยกัน

“อาการของนายพลกงซุนเป็นอย่างไรบ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ยังคงตกอยู่ในอาการสิ้นสติ” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“นอกจากเขาแล้ว ยังมีคนอื่นตกอยู่ในอาการสิ้นสติอีกหรือไม่?” กู่ฉิงซานถามต่อ

หนิงเยว่ฉาน “ย่อมต้องมี อย่างเช่นหน่วยลาดตระเวนบางคนที่ค้นพบกระบี่ยาวฝังอยู่ในผนังหิน แล้วพวกเขานำมันออกมา จากนั้นก็ล้มลงและตกอยู่ในอาการสิ้นสติ”

เหลิงเทียนสิง “ข้าได้เรียกหมอผู้เชี่ยวชาญมาตรวจดูอาการของพวกเขาแล้ว และทั้งหมดต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกคนหมดสติเนื่องจากได้รับผลกระทบบางอย่างกับจิตเทวะ จำเป็นต้องใช้เวลาราวๆ สามถึงห้าวันจึงจะค่อยๆ ทยอยกันตื่นขึ้น”

“นอกจากนี้ยังมีนายพลโหยวจี ฮ่าวยี่แห่งกองหน้า ที่บังเอิญหันไปพบหอกยาวตกอยู่บนพื้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเก็บมันขึ้นมาแล้วลองร่ายรำกระบวนท่าดู แต่ใครจะรู้ว่าเขาลองไปได้เพียงไม่กี่กระบวนท่า ทั้งคนทั้งร่างก็ดันตกอยู่ในอาการสิ้นสติลงอย่างกะทันหัน”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงความเป็นไปได้บางอย่าง

เขาเอ่ยถามว่า “ข้าจดจำได้ว่า ในครั้งก่อนที่เจ้าค้นพบโลกเทวะ เจ้ายังได้พบกับศพของนักสู้หวูเต๋าระดับสูงมากมายเลยใช่หรือไม่”

“ใช่” หนิงเยว่ฉานตอบ “พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นขอบเขตประทับเทพ...ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เสียจริงๆ”

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นและกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ข้าว่าข้ามีความคิดบางอย่างแล้ว พวกเราจะไปทำการค้นหาเบาะแสกันที่ซากปรักหักพังกันอีกครั้ง!”

ทว่าเมื่อเขามองไปยังคนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงข้าม ก็เร่งอ้าปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัยทันที “ลืมมันเถอะ ขอแผนที่ให้ข้าด้วย ข้าจะไปเพียงลำพัง”

หนิงเยว่ฉานกับเหลิงเทียนสิงตรากตรำสงครามมายาวนานทั้งวันคืน เพียงแค่มองสีหน้าของทั้งสอง ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกได้ว่าพวกเขากำลังอ่อนล้า

พวกเขาต้องการการพักผ่อน

“เจ้าไปคนเดียวมันอันตรายเกินไป จงเฝ้ารอให้ข้าพักฟื้นสักค่ำคืนหนึ่ง วันพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปด้วยกัน” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าสามารถดูแลตนเองได้ เจ้าจงวางใจ” กู่ฉิงซานกล่าว

“สถานที่แห่งนั้นเป็นหนึ่งในซากปรักหักพังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และยังทำการขุดค้นได้ไม่ดีเท่าที่ควรนัก มันจะต้องมีภยันตรายใหญ่หลวงรออยู่อย่างแน่นอน ข้าขอแนะนำให้เจ้าร่วมเดินทางไปพร้อมกับข้าจะดีกว่า” ใบหน้าของหนิงเยว่ฉานเริ่มเผยร่องรอยของความกังวลออกมา

“ข้าก็จะไปที่นั่นด้วยเช่นกัน ในสถานที่ดังกล่าวอาจมีสิ่งแปลกประหลาดที่พบเจอได้ยากยิ่ง คงจำเป็นต้องการคนที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีดั่งเช่นข้าเข้าไปดูแล” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“ไม่ล่ะ ข้าไปคนเดียวจักรวดเร็วกว่า แล้วจะรีบกลับมาหาพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ไม่รีรอให้คัดค้านอีกต่อไป เขาย่างสามขุมตรงไปยังหน้าประตูทันที

เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินผ่านประตูเต็นท์ทหารออกไป หนิงเยว่ฉานก็ช่วยไม่ได้จำต้องลุกขึ้นยืน

เธอตระหนักได้ทันทีว่าตนเองกำลังสูญเสียการควบคุมอารมณ์ น้ำเสียงยกสูงขึ้น “มีบางคนคิดไม่เชื่อฟังคำสั่งสูงสุด! นายพลเหลิง! จงกล่าวถึงโทษทัณฑ์จากการกระทำที่ว่านั่นออกมาที”

เหลิงเทียนสิง “หากเป็นช่วงเวลาที่เกิดสงคราม แล้วคนผู้นั้นไม่คิดจะทำตามคำสั่ง โทษคือโบยด้วยแส้ลงทัณฑ์อย่างน้อยสิบถึงสามสิบครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของการละเมิดคำสั่ง”

ร่างของกู่ฉิงซานชะงักงัน

หนิงเยว่ฉานค่อยๆ ใจเย็นลง ปากเอ่ยกล่าวด้วยท่วงท่าสองมือไพล่หลัง “นายพลกู่ ท่านคิดเห็นว่าเช่นไรเล่า?”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง “เจ้าสนใจซากปรักหักพังมากเลยหรือยังไง? ข้าก็แค่อยากจะไปค้นหาความจริงเท่านั้นเอง เหตุจึงต้องหยุดข้าด้วย?”

“ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดหมายจะทำสิ่งใด ข้าเพียงแค่ออกคำสั่งก็เท่านั้น” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“ข้าไปแค่ไม่นาน” กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย

“แม้ตัวข้าจะไม่เคยรับหน้าที่ลงแส้มาก่อน ทว่าตอนนี้จู่ๆ ข้าชักอยากจะลองรับหน้าที่นั้นด้วยตนเองดูสักคราเสียแล้ว” หนิงเยว่ฉานกล่าว

กู่ฉิงซานส่ายหัว ปากอ้าถอนหายใจออกมา “วาจาช่างทำร้ายจิตใจข้าเสียจริง โดนฟาดด้วยแส้ลงทัณฑ์มันก็เจ็บปวดจริงๆ นั่นแหละ…ถึงข้าจะยอม แต่เจ้าคงไม่คิดว่าผู้ฝึกดาบเช่นข้า จะหวาดเกรงแส้ลงทัณฑ์หรอกนะ?”

เขาหมุนตัวกลับ และเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย

หนิงเยว่ฉานคร้านเกินกว่าที่จะเถียงกับเขาต่อไป เธอส่งเสียงฮึฮะในลำคอด้วยความพอใจเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงดังเดิม

มองไปยังใบหน้าของกู่ฉิงซานที่เผยถึงความหดหู่ เธอก็เอ่ยปลอบอย่างใจเย็นว่า “เอาเถิด วันพรุ่งพวกเราจะออกเดินทางไปด้วยกัน ตกลงไหม?”

พูดจบ เธอก็ไม่สนใจกู่ฉิงซานอีกต่อไป สองตาหลับลงและเริ่มทำการควบคุมลมหายใจ

“ใช่แล้ว วันพรุ่งค่อยไปด้วยกันทั้งหมดเถอะ” เหลิงเทียนสิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เขายังคงเหนื่อยล้า ในสมองเริ่มวางแผนการของวันพรุ่งนี้ หนึ่งมือคว้าหยิบเม็ดยารักษาทรงเมล็ดข้าวออกมา กลืนมันลงไปแล้วเข้าสู่สภาวะสมาธิทันที

หลงเหลือแค่กู่ฉิงซานที่นั่งเหงาๆ อยู่เพียงลำพัง

เขาถอนหายใจและเปิดหน้าต่างระบบเทพสงครามเพื่อเรียกดูข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เพิ่งจบลง

“ผู้เล่นประสบความสำเร็จในการยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก่อกำเนิด ขีดจำกัดพลังวิญญาณขยายขึ้นเป็นสองร้อยแต้ม”

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบันคือ 7200/200”

“ผู้เล่นสามารถเพิ่มพูนพื้นฐานวรยุทธให้สูงส่งขึ้น ตามหน่วยความทรงจำของผู้เล่น เทคนิคดาบที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อร่างกายและจิตเทวะ จะถูกแสดงขึ้นเบื้องล่าง ดังนี้”

“เทคนิคลับแห่งดาบ...กลืนกินหวนกลับ”

“เนื่องจากผู้เล่นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและถ่องแท้เกี่ยวกับเทคนิคดาบทั้งหมด ดังนั้นพลังวิญญาณที่จำต้องจ่ายในการปลุกเทคนิคดาบจึงลดหลั่นลง”

“การปลุกเทคนิคลับแห่งดาบ...กลืนกินหวนกลับ จำต้องจ่ายสองร้อยพลังวิญญาณ”

“นี่คือเทคนิคลับล่าสังหารระดับสูง ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณที่ต้องจ่ายจึงทะยานสูงขึ้นกว่าที่แล้วๆ มาเป็นอย่างมาก”

“คุณต้องการที่จะปลุกเทคนิคลับแห่งดาบนี้หรือไม่?”

“ปลุก”

“จ่ายสองร้อยพลังวิญญาณ เทคนิคลับแห่งดาบกลืนกินหวนกลับ ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว”

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือของผู้เล่น 7000/200”

ณ จุดนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถครอบครองเทคนิคลับแห่งดาบได้ถึงห้าสกิลแล้ว โดยเรียงตามลำดับคือ ฝ่าวารีเชี่ยว ตัดจันทรา เจ็ดดารามังกรแหวกธารา วาดเงา และสุดท้ายกลืนกินหวนกลับ

ติ๊ง!

เมื่อคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคลับหายไป บรรทัดตัวอักษรใหม่ก็เด้งเตือนขึ้นมา

“คุณได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิด”

“เนื่องจากความว่องไวในการยกระดับของคุณทิ้งห่างจากผู้ฝึกยุทธธรรมดาสามัญไปไกลโข นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าคุณมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ระบบเทพสงครามขอมอบรางวัลยกย่องให้แด่คุณ”

“รางวัลยกย่อง...คุณได้รับสองตัวเลือกพลังศักดิ์สิทธิ์”

“คำอธิบาย...พิจารณาจากพื้นฐานวรยุทธที่ทะยานพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ณ เวลานี้ ภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแก่นทองคำยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับได้รับภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นก่อกำเนิดมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น รางวัลยกย่องนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ”

“คุณสามารถเลือกดำเนินการตามตัวเลือกต่อไปนี้”

“ตัวเลือกที่หนึ่ง บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแก่นทองคำได้เลยทันที และคุณจะได้รับการสกัดในระดับสูงสุด ในขณะเดียวกัน ก็จะสามารถเข้ารับภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นก่อกำเนิดต่อได้เลย”

“ตัวเลือกที่สอง ภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแก่นทองคำและก่อกำเนิดจะผสานควบรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”

......................................................